การกลับมาบ้าน

บทความ : BEN BARRY | ภาพถ่าย : MALCOLM GRIFFITHS

จำนวนที่เพิ่มมากขึ้นของรถ Ferrari คลาสสิกกำลังหวนคืนสู่ Maranello เพื่อซ่อมแซมและรับรองโดยผู้เชี่ยวชาญที่ Ferrari Classiche เราให้ไกด์ช่วยพาเดินทัวร์

 

มันดูราวกับอู่ซ่อมรถในฝันที่เป็นความจริงได้อย่างไม่น่าเชื่อจนทำให้ต้องหยิกตัวเอง Classiche คือ แผนกซ่อมบำรุงที่อยู่ภายใน Ferrari รถ LM 250 คันหนึ่งในพื้นที่ทำงานที่ดูราวกับเป็นโชว์รูมดึงดูดความสนใจเราได้ในทันที เป็นรถแข่งสมบูรณ์แบบที่วางเครื่องไว้กลางลำซึ่งเป็นคันที่ทำคะแนนจนคว้าชัยชนะให้กับ Ferrari เป็นครั้งสุดท้ายในรายการ Le Mans ในปี 1965 ในมุมมิดชิดอีกด้านหนึ่ง Testarossa จาก Piero Ferrari อีกคันรอให้เราหันไปสนใจอยู่ อะไหล่ชิ้นใหม่กับเครื่องไม้เครื่องมือได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้ หรือไม่ก็มีเครื่องยนต์เก่าที่ถูกถอดออกมา วาล์วที่ตอนนี้เป็นสีดำวางอยู่อย่างโดดเด่นบนม้านั่งสำหรับทำงาน ตัวเรือนลิ้นปีกผีเสื้อ (throttle bodies) ถูกวางทับไว้ด้วยตาข่ายโลหะและจัดให้ดูเหมือนไมโครโฟนที่กำลังรอคอยนักร้องคอรัส ถูกจัดวางเอาไว้อย่างปราณีตอยู่โดยรอบ

ด้านหลังโรงซ่อมมีเงาดำทึบที่เห็นได้อย่างชัดเจนซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผ้าคลุมรถสีแดง ซึ่งวัสดุที่ใช้คลุมนั้นถูกดึงจนตึงทำให้ลดความสง่างามของส่วนเว้าส่วนโค้งอันเป็นส่วนสำคัญตามธรรมชาติของ Dino ที่มีฝากระโปรงยาวคันหนึ่ง กับรูปทรงคล้ายฉลามของ SWB GT 250 อีกคันที่ลอกมาจากเส้นดินสอที่ขีดเขียนได้อย่างรวดเร็วโดยดีไซเนอร์ผู้เชี่ยวชาญ เราเปิดผ้าคลุมมุมหนึ่งขึ้นดูทำให้ชั่วอึดใจหนึ่งเราได้เห็นโลหะของ Rosso Chiaro Daytona ที่มีฝุ่นเกาะเต็มไปทั่ว เป็นหนึ่งในรถ Daytona จากทั้งหมดเพียง 15 คันที่มีตัวถังเป็นอลูมิเนียม Scaglietti และคันนี้เป็นรถสำหรับใช้วิ่งบนถนนเพียงคันเดียว ถูกสั่งทำเป็นพิเศษสำหรับ Luciano Conti ผู้เป็นเจ้าของนิตยสาร Autosprint และเป็นเพื่อนกับ Enzo Ferrari มันถูกขายไปด้วยราคา 1.8 ล้านยูโรในการประมูลเมื่อปีก่อนในสภาพที่ถูกทิ้งไว้ให้เสื่อมสภาพ และกำลังจะได้รับการซ่อมแซมเล็กๆ น้อยๆพอให้ใช้งานได้เพื่อเก็บรักษารอยคร่ำของมันไว้

นอกจากนั้นแล้วรถพวกนี้ทุกคัน หรืออันที่จริงคือทุกส่วนประกอบจะทำให้คุณต้องตกตะลึง การที่ถูกรายล้อมไปด้วยสิ่งเหล่านี้ทำให้ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนก่อนดี ต้องขอบคุณที่วันนี้เราได้รับการดูแลและพาเดินทัวร์แนะนำโดย Luigino “Gigi” Barp ที่เป็นหัวหน้าแผนก

Classiche ถูกก่อตั้งขึ้นมาเมื่อ 11 ปีที่แล้วโดย Luca di Montezemolo เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าและทำให้คุณค่าของรถคลาสสิกรุ่งเรืองมากขึ้น Gigi ได้ทำหน้าที่นี้มาเกือบๆ 5 ปีแล้วและได้ทำงานที่ Ferrari มาตั้งแต่ปี 1987 โดยในระยะเวลาดังกล่าวเขาได้เป็นวิศวกรฝ่ายทดสอบ (test engineer) ในแผนกหลังการขายของ Maserati หรือแม้กระทั่งการเปิดแผนกบริการด้านเทคนิค (technical service) ของ Ferrari ในประเทศจีน ย้อนกลับไปเมื่อปี 2003 ในขณะที่การขายรถในภูมิภาคนั้นยังคงมีขนาดเล็กอยู่ ธุรกิจนั้นเติบโตไปได้อย่างรวดเร็วตอนที่ผมเข้ามาทำงาน Classiche จ้างพนักงานมา 12 คนและซ่อมรถ 14 คันต่อปีเขาบรรยายให้ฟังตอนนี้เรามี 23 คน ซ่อมรถประมาณ 85 คันต่อปี ซึ่ง 10-20% เป็นรถที่ต้องซ่อมทั้งคัน

โดยวันที่ใช้ตัดรอบอายุรถที่ 20 ปี รถ Ferrari ที่มีสิทธิในการเข้ารับการบำรุงรักษาของโปรแกรม Classiche ที่มีอายุน้อยที่สุดในขณะนี้คือรุ่น 355 456 และ F50 แต่รถที่มีอยู่มากมายส่วนใหญ่ที่เราได้เห็นในระหว่างการเยี่ยมชมในครั้งนี้เป็นรถรุ่นก่อนยุค 1980 และส่วนมากจะเป็นรถที่ผลิตในยุค 1950 และ 1960 ทั้งสิ้น

Gigi พูดคุยกับผมไปรอบๆ รถในขณะที่พนักงานกุลีกุจอทำงานเดินกันไปมาอย่างเงียบๆ GTE 250 สีขาวคันงามถูกยกขึ้นบนทางลาดในขณะที่พนักงาน 2 คนทำงานกันไปอยู่ด้านล่าง Barp เล่าว่าคันนี้มีเรื่องเล่าที่สวยงามน่าฟังที่สุด” “เจ้าของชาวสเปนจำมันได้เมื่อตอนที่พ่อเขาเป็นเจ้าของ เขาออกตามหามันอีกครั้งตอนเขามีอายุมากขึ้น แต่มันถูกทำเป็นสีฟ้าและจำเป็นต้องได้รับการซ่อมใหม่ทั้งหมด เราเปลี่ยนสีมันให้กลับไปเป็นสีขาวเหมือนเดิม ยกเครื่องใหม่ ใช้เวลาไปประมาณ 6 หรือ 7 เดือนเพื่อซ่อมให้มันกลับไปเป็นแบบเดียวกับตอนที่เขายังเป็นเด็ก ตอนนี้เจ้าของกลับมาหาเราพร้อมด้วยภรรยาและลูกชายของเขาเพื่อมาสร้างเรื่องเล่าเรื่องใหม่ให้กับมันอีกครั้ง

งานซ่อมทั้งหมดจะถูกดำเนินการภายใน Ferrari จะมีก็แต่งานตัวถังรถที่ใช้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่เชื่อใจได้ทำให้ เหตุผลหนึ่งทำเพื่อตัวถังที่ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น เช่น F50 ที่ถูกชนมา 2 คันที่ Classiche ได้ซ่อมให้ ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งทำเพื่อเทคนิคที่เป็นแบบดั้งเดิมมากกว่ารวมถึงการขึ้นรูปแผ่นอลูมิเนียมด้วยมือ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ถูกดำเนินการอยู่ภายในระยะ 50 km จาก Maranello

บันทึกสำคัญอันน่ามหัศจรรย์ของ Ferrari ถือเป็นรากฐานของ Classiche ที่ด้านหลังของห้องประชุมห้องหนึ่งซึ่งสามารถมองเห็นได้จากโรงซ่อม แฟ้มก้านโค้งได้ถูกจัดเรียงตามลำดับตัวเลข Gigi สุ่มดึงออกมาแฟ้มหนึ่งจากชั้นวาง มันรวบรวมเอาข้อมูลการสร้างโดยละเอียดของรถ Ferrari ทุกรุ่นจากตัวเลข 2301 ไปจนถึง 2399 การดูแลเอาใจใส่และคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าทำให้เกิดการเก็บเอกสารรถ Ferrari ทุกคันที่เคยผลิตมาเอาไว้อย่างระมัดระวังนั้นช่างน่าตื่นเต้นมากๆ ที่มีการจดบันทึกด้วยลายมือแบบที่จะทำให้นักประดิษฐ์ตัวอักษรจะต้องมองซ้ำให้แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นจริงหรือไม่บางที่ถูกเขียนขึ้นโดยผู้คนที่เคยทำงานกับผมในอดีต” Gigi ทิ้งท้ายไว้พร้อมกับรอยยิ้ม

Classiche ซ่อมแซม Ferrari ส่วนใหญ่ให้กลับไปเป็นเสปกเดิม ดังนั้นเอกสารการสร้างจึงเป็นข้อมูลที่ประเมิณค่าไม่ได้ ตั้งแต่สีที่มาจากโรงงานไปจนถึงสัดส่วนของเกียร์ หรือแม้แต่ทำแหนบแผ่น (leaf spring) ใน America 340 เสปกอเมริกาชุบด้วยโครเมียมที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้วอยู่ในโรงซ่อม ซึ่งเราจะมาพูดถึงข้อควรระวังต่างๆ ในภายหลัง

ส่วนเอกสารอื่นๆ ก็จะเป็นพวกรายละเอียดผลการแข่งขันต่างๆ ผลการทดสอบสรีระรถ การบริโภคน้ำมันที่ 5,000 rpm ใน 1 ชั่วโมง และการบำรุงรักษาเครื่องยนต์ที่ใช้แข่งแต่ละเครื่อง หนังสือเล่มหนึ่งที่มีป้ายเขียนว่า “1958” บรรจุข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องยนต์ Colombo Type 128 จาก TR 250 คันหนึ่งที่แข่งขันในรายการ 12 hours of Sebring และ Le Mans ภาพวาดเส้นทางเทคนิคก็ไม่สามารถประเมิณค่าได้เช่นเดียวกัน Gigi เอาพิมพ์เขียวของเครื่อง Dino คันหนึ่งให้เราดู เป็นภาพของวัสดุที่ใช้ สัดส่วนต่างๆ หรือแม้แต่สำเนาของเครื่องยนต์ Ansa ทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต่อการสร้างเครื่องยนต์ทั้งเครื่องตั้งแต่เริ่มต้นจากเศษชิ้นส่วนที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำคัญ และบางครั้งพวกเขาก็จำเป็นต้องนับหนึ่งจากเศษชิ้นส่วนกันจริงๆ

เราได้ชมรถคันแรกที่ได้ติดตรา Ferrari S.125 ปี1947 อย่างใกล้ชิด เครื่องยนต์ V12 ขนาด 1.5 ลิตรของมันยังคงใช้งานได้อยู่มาพร้อมกับแชสซี แต่ตัวถังรถต้องถูกทำขึ้นมาใหม่จากภาพวาดเก่าและรูปภาพ Stabilimenti Farina Special Cabriolet คันนี้ก็มีเอกลักษณ์พอๆ กัน หั่นออกเป็นงานถอดแบบจาก Touring barchetta 166 ในยุค 1970 ตอนที่แชสซีของคันนี้ส่งมาถึงมือ Classiche ไม่มีงานตัวถังเดิมหลงเหลืออยู่เลย

มันได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่จากเศษเหล็กตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาโดยใช้ส่วนที่เป็นโลหะเงาของเดิม ภาพถ่ายและภาพวาดเดิมถูกนำมาใช้เป็นแนวทางเพื่อที่จะทำตัวเปลือกตัวถังรถขึ้นมาใหม่ ปัจจุบันมันได้กลับไปเป็นเสปกเดียวกันกับที่ครั้งหนึ่งผู้ที่เข้าไปเยี่ยมชม Paris motor show ปี 1950 เคยหลงใหลได้ปลื้มจนต้องสลบไสลไปเพราะมัน

นอกจากนี้ยังมีบล็อกเครื่องยนต์ใหม่ที่กำลังรอประกอบ ที่สร้างจากต้นฉบับพิมพ์เขียวและถูกตีตราด้วยหมายเลขเครื่องใหม่อีกด้วย การทำงานแบบนี้ใช่ว่าจะไม่มีการทะเลาะกัน ความที่เป็นของแท้มีมูลค่าสูงมากๆ นั้นจึงทำให้เข้าใจได้ว่าคนไฟแรงบางคนก็ชอบที่จะสร้างเครื่องทดแทนขึ้นใหม่จากของเดิมกรณีที่ของต้นฉบับหายไปแล้ว มากกว่าที่จะให้ทางโรงงานหล่ออะไรขึ้นมาให้ใหม่ แต่ Gigi นั้นจะยอมหลีกทางให้กับรถอย่าง Jaguar E-type Lightweight กับ Aston Martin DB4 GT รุ่นล่าสุดที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครันไม่ได้ เขาพูดอย่างหนักแน่นว่ายังต้องคงแชสซีต้นฉบับเอาไว้ต่อไป

การรับรองถือเป็นพื้นฐานสำคัญของธุรกิจ Classiche สิ่งนี้คือเอกสารที่ยืนยันว่ารถ Ferrari คันนั้นๆ เป็นของแท้ตามต้นฉบับ มีศูนย์รับรอง 66 แห่งอยู่ทั่วโลก และรถบางคันสามารถรับการรับรองจากศูนย์ที่เจ้าของรถอยู่ใกล้ที่สุดได้ Gigi อธิบายว่ารุ่น 355 คันหนึ่งอาจจะต้องใช้เงิน 2,000 ยูโรเพื่อการรับรอง และอาจจะดำเนินการขั้นตอนทั้งหมดได้ที่ อย่างเช่น ประเทศเยอรมันแต่ว่าคันนี้เขาเอ่ย พร้อมกับชี้ไปทาง LM 250 คันสีเหลืองมันซับซ้อนกว่านั้นขั้นตอนอาจจะเริ่มจากการตรวจสอบรถโดยศูนย์ในท้องถิ่นแล้วส่งภาพถ่ายโดยละเอียดมายัง Maranello เพื่อให้มั่นใจว่าส่วนสำคัญต่างๆ นั้นถูกต้องรวมไปถึงตัวเลขเครื่องยนต์และแชสซี จากนั้น มันจะถูกขนส่งมายัง Maranello เพื่อทำการตรวจสอบอย่างสมบูรณ์ มันจะถูกตรวจสอบอีกครั้งเพื่อดูลักษณะความเป็นของแท้ ความเป็นต้นฉบับ ความปลอดภัย หรือแม้แต่การแยกหาโลหะผสม ซึ่งขั้นตอนนี้อาจกินเวลาถึง 1 สัปดาห์ ส่วนราคานั้นไม่มีการปกปิดเป็นความลับแต่อย่างใด

ใบรับรองสีแดงเป็นเครื่องยืนยันว่ารถ Ferrari คันหนึ่งๆ สอดคล้องกับเสปกเดิมของมัน แต่ใบรับรองสีขาวก็จะมีไว้สำหรับกรณีพิเศษต่างๆ ใบนี้ใช้เพื่อรับรองว่ารถคันนั้นมีเสปกตรงกับสมัยนั้นแม้จะถูกเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ตอนออกจากโรงงานในทีแรก “Breadvan” คันนี้ได้รับการดูแลโดย Count Volpi และถูกดัดแปลงจากของเดิมที่เป็น SWB GT 250 สำหรับรายการ Le Mans ถือเป็นกรณีตัวอย่าง เช่นเดียวกัน รถที่ได้รับการสร้างใหม่ที่ Classiche เมื่อเร็วๆ นี้ก็จะได้เป็นสมุดรับรองเล่มขาวเหมือนกัน เดิมทีแล้ว P2 330 ซึ่งความสำเร็จครั้งใหญ่ที่สุดของมันมาจากการดัดแปลง P2 275 ตอนที่ Vaccarella และ Bandini ได้รับการยกย่องสูงสุดที่ Targa Florio ในปี 1965 แต่เจ้าของรถได้ทำการบูรณะให้เป็นเสปก 365 P การเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายได้ถูกทำขึ้นโดย Ferrari เพื่อให้ตรงต่อกฎข้อบังคับปี 1966 มันจึงต้องเป็นสีขาว 

การรับรองแสดงถึงการทำธุรกิจอันชาญฉลาดตามแบบฉบับของ Ferrari หากคุณมีรถราคาหลายล้านปอนด์จากต่างประเทศ แล้วทำไมจะจ่ายเพิ่มอีก 2-3 พันปอนด์ให้กับตราประทับยางความเป็นของแท้และ (ค่อนข้างเป็นไปได้ว่า) การที่คนจะรับรู้ถึงมูลค่าที่แท้จริงของมันไม่ได้หรือ?

การรับรองยังช่วยส่งเสริมให้บรรดาเจ้าของรถพึงพอใจกับ Classiche ได้มากกว่าโรงซ่อมรายอื่นๆ อีกด้วย แหล่งที่มาของรายได้ไม่จบอยู่แค่ตรงนั้นเพราะสมุดรับรองของรถแต่ละคันจะต้องประทับตราทุกๆ 24 เดือนเพื่อให้ได้รับสถานะผ่านการรับรองจากโรงงาน สมุดที่ผ่านการอัพเดตเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะได้รับบัตรเชิญไปงานพิเศษต่างๆ ของ Ferrari อย่างงาน Classic Cavalcade อีกด้วย

สิ่งนี้จะฝึกคนบางคนให้เป็นไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควรได้โดยไม่ต้องสงสัย แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ช่วยให้ธุรกิจเติบโตไปได้อย่างรวดเร็วแถมความสามารถที่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ก็ยังมีอยู่อีกมากมาย เช่น ในปัจจุบันมีรถ Ferrari จำนวน 81,000 คัน ที่มีอายุ 20 ปีหรือมากกว่า ซึ่ง 14,000 คันจากจำนวนดังกล่าว Ferrari ได้รู้จักแล้ว และประมาณ 6,000 คันได้รับการรับรองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

จากการที่เทคโนโลยีได้รับการพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้ Classiche สามารถรับมือกับโปรเจกต์ที่ยากมากยิ่งขึ้นได้ Gigi ชี้ไปยังเปลือกตัวถัง Monza 750 อันไร้ที่ติคันหนึ่งที่ถูกยกขึ้นรถลากดูราวกับเป็นผู้ป่วยที่ถูกเข็นเข้าไปในแผนกของโรงพยาบาลมันมาแบบสนิมเขรอะและโลหะผุกร่อน อลูมิเนียมบางส่วนหนาเพียง 0.3 mm บางส่วนหนา 0.2 mm และบางส่วนหนา 0.0 mm!” เขาพูดเยาะเราได้ใช้เทคนิคที่เรียกว่า “flame spray” เป็นครั้งแรกกับรถคันนี้โดยปกติแล้วจะเก็บไว้เพื่อใช้ในงานอย่างเช่นการเคลือบแผ่นใบพัดเครื่องบิน “flame spray” จะไปเคลือบอลูมิเนียมบนตัวถังโดยใช้หัวเชื่อมแก๊สอะเซทิลีน (acetylene torch) เพื่อเติมเต็มโลหะที่ได้รับความเสียหายจากการผุกร่อน ผลที่ได้คือออกมาสม่ำเสมอกันอย่างไร้ตำหนิ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่นานสภาพรถยังดูน่าท้าทายความสามารถอยู่เลย

แล้วก็มีรถสปอร์ต 212 ที่ถูกทิ้งอย่างไม่มีเยื่อใยในทะเลทรายรัฐ Texas อยู่นานหลายปี เครื่องยนต์ใกล้พังเต็มที กระปุกเกียร์เดิมถูกเปลี่ยนไปใช้ของรถ Buick แชสซีถูกตัดออกเพื่อใส่ระบบส่งกำลังแบบดัดแปลง ตัวถังเดิมถูกแทนที่ด้วยวัสดุไฟเบอร์กลาส 

แผนก US Classiche ของ Ferrari ทำหน้าที่ตรวจสอบเป็นครั้งแรกและส่งต่อภาพถ่ายรายละเอียดไปทางอิตาลีเพื่อยืนยันว่า 212 คันนี้เคยได้เข้าเส้นชัยเป็นลำดับที่ 2 ในรายการ Le Mans และเป็น 1 ในรถเพียงหนึ่งหรือ 2 คันที่มีแชสซีที่ได้รับการแต่งเพื่อตัวถังแบบนั้น แต่มันอยู่ในสภาพที่แย่มากจนต้องใส่ลังส่งกลับไป Maranello Gigi เล่าว่าตอนนี้เครื่องยนต์เสร็จไป 80%ตัวถัง 70% และจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3,000 ชั่วโมงไปกับมันกว่าจะถึงกำหนดเสร็จงานในเดือนมีนาคมปีหน้า รอดูการเปิดตัวของมันที่งาน Pebble Beach 2019 กันได้เลย และคาดว่าธุรกิจของ Classiche จะเติบโตไปกว่านี้ได้อีกมากเมื่อถึงเวลานั้น

รถคันสีฟ้า คือ “Tour de France” 250 กับงานต่อตัวถังรถแบบเก่าโดย Pinin Farina; America 340 (ด้านล่าง) เคยเป็นสีแดงตอนมันเดินทางมาถึง Classiche; ตอนนี้ได้รับการเปลี่ยนกลับเป็นสีดำแบบเดิมที่ถูกต้องกับหลังคาที่เป็นสีขาว และแหนบแผ่นที่ชุบโครเมียมอย่างถูกต้อง 

สมุดรับรองรถแต่ละคันจะต้องได้รับการประทับตราทุกๆ 24 เดือนเพื่อที่จะได้รับสถานะผ่านการรับรองจากโรงงาน

Ferrari สามารถสร้างเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมดได้จากเศษเหล็ก แต่คนที่ชื่นชอบความบริสุทธิ์บางคนชอบเครื่องยนต์ที่มาจากยุคนั้นๆ มากกว่า แม้ว่ามันจะมีจำนวนไม่เพียงพอก็ตาม Gigi ให้ Barry ดูต้นฉบับเอกสารการสร้างบางส่วนและทางล่างซ้ายเป็นตัวอย่างหนังสือรับรอง Classiche

Share

ใส่ความเห็น