เราสำรวจวิวัฒนาการของ Ferrari V8 เครื่องวางกลางผ่านรถดังห้ารุ่นกับถนนที่เอื้อแก่การทดสอบเป็นอย่างยิ่ง
อื้ม..นี่คือความตื่นเต้นของการจัดฉากเพื่อถ่ายรูปFerrari เมฆดำทะมึนกับฝนปรอยๆ ตกโปรยปรายลงมาทักทายฝูง Ferrari V8 ของเรา แต่พวกเรารู้ดีว่าที่ North Wales อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ในขณะที่เรากำลังแทรกตัวไปตามการจราจรคับคั่งบนถนน Blaenau Ffestiniog กลางบ่ายวันจันทร์ที่ชุ่มฉ่ำ สิ่งมหัศจรรย์บางอย่างก็กำลังก่อตัวขึ้น มันเป็นเวลาโรงเรียนเลิกพอดีและกว่าที่ผมซึ่งอยู่คันท้ายสุดของขบวนจะไปถึงเซ็ทถ่ายภาพของเรานั้น ปฏิกริยาของเด็กหลายคนที่เห็นก็นับเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ ทั้งการชี้นิ้วระริกระรี้ กระโดดขึ้นลง อ้าปาก และอีกหลายคนที่ยกนิ้วส่งให้รัวๆซึ่งเป็นระดับความกระตือรือร้นที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นที่นอก Maranello คุณแม่ของเด็กคนนึงถึงกับส่งสัญญาณมือแบบชาวอิตาเลียนว่า “ซิ่งมันหน่อยสิ” ให้ผมด้วยซ้ำ
มันเป็นช่วงเวลาที่แปลกสำหรับผมผมกำลังขับ 308 GTB อยู่ รถซึ่งตอนที่ผมยังเป็นนักเรียนจะต้องกระโดดชี้นิ้วและร้องจนเสียงหลงทุกครั้งที่ได้เห็น ตอนนั้นผมคิดว่ามันเป็นรถที่สวยที่สุดในโลกแล้ว และผมก็พิจารณาโมเดลขนาด 1:25 ของ Polistil จากทุกซอกทุกมุมได้ทีละหลาย ๆ ชั่วโมง ตกอยู่ในภวังค์ของความละเอียดอ่อนและความก้าวร้าวที่ผสมผสานกันได้อย่างน่าทึ่งอยู่ในทุกมุมของตัวรถ ในบรรดารถที่เคยผลิตออกมามันคือรถสปอร์ตสองที่นั่งเครื่องวางกลางที่มีสัดส่วนเพอร์เฟกต์ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงตรงนี้แฟนคลับ Dino คงกำลังส่ายหัว แต่ผมจะบอกให้ว่าพวกคุณนั่นแหละที่ผิด Leonardo Fioravanti นักออกแบบวัยละอ่อนที่ Pininfarina นั้นรับงานเกลาดีไซน์ Dino ขั้นตอนสุดท้ายเป็นงานแรกในชีวิต แต่เป็น 308 ต่างหากที่เขาวาดมันทั้งหมดขึ้นมาจากกระดาษเปล่าและเขาก็ใช้โอกาสนั้นปรุงแต่งรถคอนเซปต์จนออกมาเพอร์เฟกต์ เข้าใจตรงกันนะ
นอกจากนี้308 ยังมีจำนวนลูกสูบที่ถูกต้องด้วย “ถูก” ถึงขนาดที่ว่าซูเปอร์คาร์รุ่นเล็กของ Ferrari ในอีก 40 ปีถัดมาก็ยังใช้เครื่อง V8 อยู่ มันเป็นการเดินทางที่ยาวไกลนับจาก308 กับเครื่อง V8 3.0 ลิตร หายใจเอง 255 แรงม้า จนมาถึง 488 GTB กับเครื่อง V8 3.9 ลิตร ทวินเทอร์โบ 661 แรงม้าในตอนนี้ และวิวัฒนาการเหล่านี้ล่ะคือเหตุผลที่เรามาฉลองกันอยู่ที่นี่พร้อมกับรถรุ่นสำคัญที่แทรกอยู่ระหว่างทางทั้งF355, F430 และ 458 Speciale เราเลือก 355 เพราะมันคือการกลับมาคืนฟอร์มของ Ferrari ที่เป็นความหวังของบริษัทหลังจากผิดหวังกับ348 และเพราะว่ามันเป็นเครื่อง V8 ที่ใช้วาล์วห้าตัวต่อสูบเป็นรุ่นแรก430 เพราะมันเป็นรุ่นเปิดศักราชให้กับเครื่อง V8 รหัสF136 และ 458 Speciale เพราะมันคือรถที่ปิดฉากยุคเครื่อง V8 หายใจเองกล้ามโตพร้อมกับม้าป่าคึกคะนองฝูงใหญ่จอมโวยวายถึง 597 ตัว
แต่ก่อนอื่นผมขอย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นกันก่อน เมื่อห้าชั่วโมงที่แล้วเราอยู่กันใน Slough เพื่อไปรับ 488 ในสี ‘Rosso Dino’ อันแปลกประหลาด ผมพอได้ยินคำว่า rosso ก็ปักใจเชื่อทันทีว่ามันต้องเป็นสีแดงแล้วก็ต้องมางงเป็นไก่ตาแตกที่รถสีแดงเปลี่ยนเป็นสีส้มกันไปต่อหน้าต่อตาผมไม่เคยเห็น Ferrari สีนี้มาก่อนคุณลองนึกถึงความรู้สึกไม่เชื่อตัวเองที่เกิดกับผมดูสิ โดยเฉพาะเมื่อก่อนหน้านั้นผมเพิ่งจะเจอ 308 สีเดียวกัน ซึ่งขับจาก Guildford มาห้าชั่วโมง กำลังจอดรอเลี้ยวเข้าถนนสายเดียวกันอยู่ที่นอก Betws-y-Coed มาหมาด ๆ แต่พอรถทุกคันมาอยู่รวมกันเราก็พบว่ามันเป็นความบังเอิญอย่างน่าทึ่งรถรุ่นหัวปีกับท้ายปีเป็นสี Rosso Dino ในขณะที่รถปีกลาง F430 เป็นสีดำ ส่วนF355 กับ458 เป็นสีแดง rosso ดั้งเดิม กลายเป็นว่าพวกมันคือคอลเลกชันรถที่สวยงามที่สุดแม้จะจอดอยู่ท่ามกลางลานจอดที่กำลังวุ่นวาย
มันเป็นเรื่องเข้าท่าที่ผมลองขับรถทีละคันตามลำดับอายุ ความจริงแล้ว 308 จากฝีมือ Fioravanti ไม่ใช่รถคันแรกที่ได้ใช้เครื่อง V8 Four-cam ออกแบบโดย Franco Rocchi เพราะนั่นคือ 308 GT4 สี่ที่นั่งผลงานของMarcello Gandini แห่งสำนักออกแบบคู่แข่ง Bertone ต่างหาก 308 ตามออกมาหลังจากนั้นสองปีในปี 1975 ด้วยแชสซีส์สเปซเฟรมบนฐานล้อสั้นครอบด้วยตัวถังพลาสติกเสริมใยแก้วอยู่จนกระทั่งถึงปี 1977 ซึ่งก็มีเหตุผลที่เป็นเช่นนั้นการเปลี่ยนมาใช้ตัวถังเหล็กในปีถัดมานอกจากจะเพิ่มน้ำหนักตัวรถเปล่าขึ้น150 กิโลกรัมแล้ว ก็ยังเป็นสาเหตุส่วนนึงที่ทำให้สมรรถนะด้อยลงกว่าเดิมอีกด้วยและหลังจากนั้นไม่นานกฎหมายมลพิษก็บังคับให้เปลี่ยนมาใช้หัวฉีด จนทำให้พละกำลังที่ส่งออกมาหดหายจนเหลือแค่211 แรงม้าเท่านั้น
รถคันนี้เป็นรุ่นตัวถังเหล็กปีท้าย ๆ ก่อนเข้าสู่ยุคหัวฉีด ซึ่งถ้าคุณได้เข้ามาดูในระยะประชิดก็จะเห็นว่าสภาพมันเยินอยู่บ้างเพราะมันยังถูกใช้อยู่เป็นประจำ กระนั้นทุกอย่างก็ให้ความรู้สึกสมบูรณ์พร้อม ตัวถังไซส์เล็กบอกถึงปีที่มันผลิตออกมาได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกับรายละเอียดต่าง ๆ บนตัวรถที่ผมสามารถนั่งมองได้เป็นชั่วโมง ๆ แต่เรามีงานถ่ายรูปต้องทำให้เสร็จก่อนพายุจะพัดเข้ามาอีกรอบ จุดหมายแรกของเราคือถนนสาย B4319 ที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดใน North Wales ซึ่งพาเรามุ่งหน้าไปยังภูเขาที่ชานเมือง Ffestiniog และเป็นสาเหตุที่เราทำให้ทั้งเมือง Blaenau หวาดผวาอยู่นิด ๆ
มันเป็นรถพวงมาลัยซ้าย ซึ่งสำหรับผมแล้วยิ่งมีเสน่ห์ โดยเฉพาะแผงเรือนไมล์ Veglia Borletti วงเล็กที่เรียงกันเป็นตับและเขียนด้วยคำศัพท์อิตาลีอย่าง Benzina, Acqua, Olio… ภายในรู้สึกกว้างด้วยความช่วยเหลือจากเสาเก๋งบางเฉียบที่ทำให้ห้องโดยสารดูโปร่ง เครื่องยนต์สำลักตื่นขึ้นมาหลังด้วยการลากมอเตอร์สตาร์ทยาวกว่าปกติเล็กน้อย ก่อนที่จะกลายเป็นเสียงตามฉบับ V8 flat-plane ในรอบเดินเบาที่คุ้นเคย ซึ่งคล้ายกับเครื่องสี่สูบเรียงที่เดินเรียบเป็นพิเศษยัดเกียร์ Dog-leg เข้าเกียร์หนึ่ง กระตุกเท้าออกจากแป้นคลัทช์หนักอึ้งแล้วเราก็เริ่มออกเดินทางชุดแป้นเหยียบอยู่เยื้องไปข้างนึง พวงมาลัยวางเอนไปด้านหน้า แต่ข้อบกพร่องพวกนี้จะถูกลืมไปสนิททันทีที่คุณมาถึงโค้งแรก
308 ลัดเลาะไปตามโค้งด้วยความรู้สึกเป็นธรรมชาติ คำสั่งที่ส่งลงไปผ่านพวงมาลัยกับการตอบสนองที่ส่งกลับมาเที่ยงตรงเข้าขั้นสมบูรณ์แบบ นิสัยของมันเป็นรถที่ขับง่าย เกาะหนึบกับพื้นถนน และวางเฉยโดยยางขอบบางจะคอยส่งข้อมูลทุกอณูที่เป็นประโยชน์ขึ้นมาจากพื้นถนนในระดับที่ไม่มากจนน่ารำคาญ ส่วนน้ำหนักหน่วงมือก็เพอร์เฟกต์
————————————————————————————————————————–
Engine evolution: V8 origins
308 GTB คันของเราเป็นรุ่นแรก ๆ ที่ป้อนน้ำมันด้วย Weber 40DCNF 4 ตัว มันต่างจาก 308 GT4 สี่ที่นั่งตรงที่เป็นระบบหล่อลื่น Dry sump นี่คือ Ferrari V8 อนาล็อกในแบบฉบับดั้งเดิมที่สุด การตอบสนองคันเร่งอย่างโฉ่งฉ่างเป็นผลมาจากส่วนผสมหนาๆ มากกว่าการปรับจูนเครื่องยนต์อย่างละเอียดละออ คันนี้เป็นเครื่องความจุเล็กสุดที่2,926 ซีซี และอ่อนโยนที่สุดที่ 255 แรงม้า ความเก่าของมันสามารถสังเกตได้จากวาล์วที่มีแค่สองตัวต่อสูบและคอยล์จุดระเบิดหน้าทองขาว ไม่นานนักความจำเป็นที่จะต้องรักษาระดับความแรงไปพร้อม ๆ กับการขจัดมลพิษก็เข้ามามีอิทธิพลต่อแนวคิดของทีมวิศวกรของ Ferrari แต่พอหลายปีผ่านไป พวกเขาก็สามารถทำให้มันปล่อยพลังราวกับเค้กก้อนโตโดยไม่เหลือเศษขนมปังหล่นเรี่ยราดเมื่อซิ่งได้แล้ว
เช่นเดียวกับเครื่องFerrari V8 ทุกรุ่นในรถที่แปะตรา Ferrari แท้ๆ ที่แครงก์ชาฟท์จะเป็นแบบ Flat-plane เหมือนกับเครื่องสี่สูบเรียง การจุดระเบิดของลูกสูบแต่ละฝั่งจึงมีระยะเวลาห่างกันเท่ากับแครงก์ชาฟท์หมุน 180 องศา ในขณะที่ตัวเครื่อง V ทำมุม 90 องศา เกิดเป็นจังหวะการทำงานที่ไม่พร้อมกัน ‘Flat crank’ จึงให้กำเนิดเสียงโหยหวนที่เรียบเนียนตามแบบฉบับของ Ferrari V8 ทั้งนี้ เครื่องรุ่นหลังๆ ที่ถูกดัดแปลงมาใส่ Lancia Thema 8.32 จะใช้แครงก์ชาฟท์ ’90 องศา’ ซึ่งยิ่งทำให้เสียง V8 ที่คุ้นหูลั่นออกมาได้ถึงปลายท่อไอเสีย
ลากเครื่องให้ถึง 7000 หรือ 8000 รอบต่อนาทีได้ยิ่งดี เสียงท่อคำรามกับเสียงครางของเครื่องยนต์จะค่อยๆ ดังขึ้นสอดประสานกัน จากนั้นก็หวดเกียร์ผ่านร่องโลหะจนเหล็กกระทบกันดังคลิ๊ก 308 พาคุณเร่งขึ้นไปได้อย่างงดงาม มันไม่ได้เร็วจนน่ากลัว แต่ทุกอย่างในรถคันนี้คือความสมดุล ทั้งแรงยึดเกาะ แรงบิด การควบคุมที่แม่นยำ และความนุ่มนวลของช่วงล่าง (ซึ่งกึ่งนึงน่าจะมาจากยาง Pirelli P7 Cinturatos หนาเตอะ)
แป้นเหยียบถูกจัดเรียงมาเพื่อการทำ Heel-and-toe โดยเฉพาะ และหากใช้มันจนช่ำชองก็จะได้ความสนุกเป็นสิ่งตอบแทนที่ความเร็วสูงหน้ารถไม่ได้เลี้ยวอย่างคมกริบและมีแรงดื้อเล็กๆ แต่ถ้าคุณยกคันเร่งแล้วรอ… มันก็จะกลับมาอยู่ในไลน์ได้สบาย คุณสามารถช่วยย่นกระบวนการนี้และดึงรถให้เลี้ยวเร็วขึ้นได้ด้วยการถอนคันเร่งแรงกว่าและเติมคันเร่งซ้ำลงไป ซึ่งจะจัดท่ารถเข้าที่และเตรียมให้มันพุ่งเข้าโค้งได้ตามสั่งอาการคล้ายกับ 911
มันเป็นรถที่ทำให้คนขับได้มีส่วนร่วมและตอบแทนอย่างคุ้มค่าแถมยังขับได้ดีเหมือนกับหน้าตาของมันด้วยสูตรที่เรียบง่าย ไม่มีทั้งพวงมาลัยพาวเวอร์ คาร์บูเรเตอร์ Weber แบบดูดสี่ตัว โช้คอัพธรรมดา น่าเสียดายที่เบรกตอบสนองช้าไปหน่อย บางคนบอกว่านี่คือ 308 ที่สเปกดีที่สุดในกลุ่ม และดีกว่า 328 QV เครื่องหัวฉีด 3.2 ลิตรที่ออกมาปี 1985 ซึ่งมีวาล์วมากกว่าสองเท่ากับพลัง 270 แรงม้า จากเดิม 255 แรงม้า ด้วยซ้ำ
จากนั้นในปี ’89 ก็ได้เวลาที่รถรุ่นใหม่จะมาถึง348tb ใช้เครื่อง V8 ที่โตขึ้นอีกเป็น 3.4 ลิตร (เดาจากชื่อรุ่นได้เหมือนเดิม) พละกำลังสูงสุดขยับไป 300 แรงม้า แต่การเปลี่ยนแปลงจาก 328 ที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนไปใช้ตัวถังโมโนค็อคและหมุนเครื่องยนต์ที่เคยวางบนซับเฟรมไปอีก90 องศา มาเป็นตามแนวยาว ทำให้สามารถสอดหม้อน้ำลงไปด้านข้างเครื่องกับเปลี่ยนมาใช้เกียร์วางตามขวางประกบเข้าที่ท้ายเครื่องได้ ฉะนั้น 348tb จึงมาจากคำว่า Trasversale Berlinetta และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่รูปแบบการติดตั้งเครื่องยนต์ได้ถูกนำไปทดลองในรถสี่ที่นั่งก่อน โดยคราวนี้เป็น Mondial T
แต่นอกจากโครงสร้างตัวถังใหม่ที่แกร่งขึ้นกับเครื่องยนต์ที่วางต่ำลง 5 นิ้วจากการใช้ระบบหล่อลื่นแบบ Dry sump แล้ว 348 ในยุคแรกๆ ก็ไม่ได้ขับดีขนาดนั้น ผมทำงานอยู่ที่ Performance Car ในตอนที่เราทำคอลัมน์เปรียบเทียบ 328 กับ 348 ขึ้นปกและตั้งชื่อหัวข้อว่า ‘Blood Brothers’ ผลทดสอบปรากฏว่าในเชิงพลศาสตร์แล้ว 328 เป็นรถที่ทำมาได้ดีกว่า ข้อสรุปที่ยิ่งถูกตอกย้ำเมื่อ บก. ของเราในตอนนั้นเอา 348 ไปหมุนและชนจนเสียหายในตอนที่เราพยายามเก็บภาพตอนมันเข้าโค้ง…
ช่วงปลายปี ’93 หลังจากที่ปล่อยรุ่นปรับปรุงใหม่กับเปิดประทุน Spyder ออกมาแล้ว348 ก็กลายเป็นรถที่บังคับควบคุมได้อย่างสวยงามมันจำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเพราะว่าในปี 1990 Honda เปิดตัว NSX ซูเปอร์คาร์เครื่องวางกลางที่ออกแบบมาให้ใครๆ ก็ขับได้ เหมือน Honda ทุกรุ่น
พอตั้งเป้าแบบนี้พวกเขาจึงออกแบบให้การบังคับควบคุมเป็นธรรมชาติเพื่อช่วยประคับประคองนักขับประสบการณ์น้อย การควบคุมทุกอย่างรวมถึงการเปลี่ยนเกียร์จึงเบาแรงและใช้ง่าย โอเคมันอาจจะไม่ได้หน้าตาสวย (แต่ 348 ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันซึ่งน่าแปลกเมื่อคิดว่านี่คืองานออกแบบชิ้นสุดท้ายของFioravanti ก่อนย้ายไป Fiat Group) ไม่ว่า Ferrari จะชอบหรือไม่ก็ตาม NSX ได้แสดงให้เห็นว่าซูเปอร์คาร์ตอนเครื่องยังอุ่นไม่ได้ที่ ก็ไม่จำเป็นต้องท้าทาย และสามารถเข้าถึงได้ง่าย อยู่ด้วยง่าย และใช้งานได้ทุกวันด้วย
ข่าวดีก็คือ Ferrari ตระกูล V8 ในยุคถัดมาทุกคันเป็นอย่างนั้นทุกประการ แถมหน้าตายังสวยและขับดีอีกด้วย F355 คือ 348 ที่แก้ข้อบกพร่องต่าง ๆ มาดีขึ้น เส้นสายด้านข้างถูกขัดเกลาให้อ่อนช้อยลง สิ่งที่หายไปคือครีบด้านข้างแบบ Testarossa ส่วนไฟหน้าสี่ดวงแบบ 308 ก็ถูกปรับปรุงใหม่ ในที่สุดเราก็ได้หงส์งามมาเชยชม มันเคยมีการ Facelift ครั้งไหนที่ได้ผลลัพธ์ออกมาดีเยี่ยมเท่านี้อีกไหม ?
สมรรถนะถูกให้ความสำคัญมากขึ้นด้วยเครื่อง V8 ความจุ 3.5 ลิตร รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับวาล์วจำนวนห้าตัวต่อสูบและพละกำลังที่เพิ่มเป็น 375 แรงม้า สิ่งที่น่าประทับใจไม่แพ้กันคือเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ที่สับได้สนุกกันตั้งแต่เครื่องยังเย็น ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่ารถทั้งคันถูกคิดและพัฒนาขึ้นจาก 348 อย่างรอบคอบ ถ้าจะมีรายละเอียดที่ทำให้กวนใจก็คงมีอยู่เรื่องเดียวคือวิธีการตั้งชื่อรุ่นที่เปลี่ยนไปจากเดิม โดย355 นั้น มาจาก 3.5 ลิตร กับ5 วาล์วต่อสูบ
ทุกวันนี้มันก็ยังเป็นรถที่ดูสวยอยู่ และรถคันที่เห็นอยู่นี้ก็สภาพดีมาก ภายในห้องโดยสารให้ความรู้สึกกว้างมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่า 308 แต่ยังคงมีกลิ่นอายของรถรุ่นเดิมตกทอดมาให้เห็นอยู่บ้าง เช่น รูปทรงของหลุมเรือนไมล์ ตำแหน่งการขับที่เตี้ยราบ และดีไซน์ห้องโดยสารเรียบง่าย ซึ่งเรียบร้อยและไม่ยุ่งเหยิงเหมือนกับพวกรถรุ่นใหม่
แป้นเหยียบยังอยู่เยื้องนิดหน่อยเช่นเคย แต่คราวนี้มันเยื้องแค่สองแป้นเท่านั้นเพราะรถคันนี้เป็นรุ่นเกียร์ F1 ซึ่งใช้คลัทช์ไฟฟ้าแบบแผ่นเดียว และเจ้านี่คือสิ่งที่คุณจะดึงดูดความสนใจของคุณเอาไว้เป็นอย่างแรก แพดเดิลชิฟท์กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเราไปอย่างรวดเร็ว จนบางครั้งก็ลืมไปแล้วว่าFerrari นี่ล่ะที่เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีในสมัยนั้น ทุกวันนี้เราถูกสปอยอย่างหนักด้วยเกียร์คลัทช์คู่และการเปลี่ยนเกียร์อย่างฉับไวจนลืมสิ่งต่างๆ ที่มันเคยเป็นในอดีตไปจนเกลี้ยง ผมยังจำได้ว่าในยุคนั้นการทำงานของพวกมันไม่ได้น่าประทับใจเท่าไหร่ด้วยการเปลี่ยนเกียร์ที่ใช้เวลาเป็นเสี้ยววินาที และวันนี้ผมก็ได้มาฟื้นความจำว่าถ้าคุณจะสนุกกับ F1 คุณก็จะต้องเป็นทำงานเป็นทีมกับมัน (ไม่ได้แซวใครนะ) ยกคันเร่งเล็กน้อยตอนเปลี่ยนเกียร์ขึ้น แช่คันเร่งไว้ระดับนึงตอนเปลี่ยนเกียร์ลง และการเลี้ยงรอบให้พอดีกับเกียร์ถัดไปก็จะช่วยได้มาก หลังจากชินแล้วคุณก็จะเริ่มสนุกกับส่วนที่เหลือของรถ รวมถึงความรู้สึกมั่นใจจากตำแหน่งศูนย์ถ่วงที่ตกอยู่ในโซนระหว่างใต้เบาะกับพื้นรถที่ปิดเรียบสนิทซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก F1
Above and right
F355 ดังเปรี้ยงในทันที การเปลี่ยนแปลงดีไซน์จากบรรพบุรุษ 348 ให้ผลดีอย่างเหลือเชื่อ การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นใต้ผิวนอก เช่น ออพชันเกียร์กึ่งอัตโนมัติ F1 อย่างที่อยู่ในรถคันนี้
‘ความรู้สึกเตี้ยติดอยู่กับพื้นถนนช่วยเพิ่มความมั่นใจ และมันยังเกาะหนึบแม้ในสถานการณ์แบบนี้’
Engine evolution: more vales
ตอนนี้มันเริ่มขยับเข้ามาใกล้เคียงกับรูปแบบสุดท้ายก่อนปลดประจำการมากขึ้น เครื่องยนต์ V8 เวอร์ชันถนนของ Ferrari ใน 355 ได้ฝาสูบใหม่ที่มีวาล์วห้าตัวต่อสูบและสิ่งที่ทำให้บรรดาช่างทั้งหลายโล่งอกกันใหญ่ก็คือการเปลี่ยนมาใช้สปริงวาล์วไฮโดรลิกปรับอัตโนมัติ ซึ่งหมายความว่าไม่ต้องใช้แผ่นชิมอีกต่อไป วาล์วไอดีตัวกลางจากทั้งหมดสามตัวอยู่ในตำแหน่งที่ตรงกับแกนแคมชาฟท์พอดี แต่อีกสี่ตัวที่เหลือไม่ตรง ซึ่งทำให้ตัวลูกเบี้ยวบนแคมชาฟท์ต้องกลึงทำมุมองศาก้านวาล์วจึงถูกแรงกดจากด้านข้างมากขึ้น และทำให้ต้องเปลี่ยนตัวนำวาล์วทองแดงแบบเก่ามาเป็นเหล็ก Sinter
ในช่วงแรกระบบจ่ายน้ำมันและจุดระเบิดจะถูกควบคุมด้วยกล่อง Bosch Motronic 2.7 แยกชุดสำหรับลูกสูบแต่ละฝั่ง แต่ 355 รุ่นหลัง ๆ จะเปลี่ยนมาใช้ระบบ 5.2 รวมชุดเดียว ซึ่งช่วยลดมลพิษได้แต่ก็ลดความคมของคันเร่งไปด้วย ทั้งคู่ใช้วาล์วบายพาสท่อไอเสียเวลาที่ต้องการหายใจโล่งขึ้นกับเสียงที่เร้าใจ ในรุ่น 2.7 จะสั่งการด้วยโหลดเครื่องยนต์ ส่วน 5.2 นั้นใช้รอบเครื่อง

แคทตาไลติคคอนเวิร์ทเตอร์ทำงานตลอดเวลาในรุ่น 2.7 แต่สำหรับ 5.2 มันจะถูกบายพาสผ่านไปตอนกดคันเร่งเต็ม ซึ่งเป็นช่วงการทำงานของเครื่องยนต์ที่ไม่อยู่ในโปรแกรมทดสอบมลพิษ เอ..ผมสงสัยว่านี่พวกคลั่งสิ่งแวดล้อมพลาดโอกาสจับโกหก Ferrari ไปรึเปล่านะ…
มันมีนิสัยของ 308 ติดมามากกว่าที่คิด พวงมาลัยพาวเวอร์ตอบสนองเบามือในตอนเริ่มหักเลี้ยวและช่วงล่างก็ซับแรงสะเทือนได้ดีมาก ทำให้รถดูนิ่งเฉยไร้ความเครียด นั่นคือก่อนที่คุณจะฝังเท้าขวาจมลงไป เครื่อง V8 40 วาล์ว ทำงานได้ราบเรียบและทำอัตราเร่งหวานกว่า V8 16 วาล์ว ใน 308 แต่ต้องรอมากกว่าเล็กน้อย มันจะตื่นขึ้นมาตอน4,000 รอบต่อนาที จากตรงนั้นเป็นต้นไป การกดคันเร่งเต็มจะทำให้เกิดการตอบสนองราวกับปฏิกริยาลูกโซ่ รอบเครื่องไต่ขึ้นพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นจนกระทั่งชี้8,500 รอบต่อนาที พร้อมเสียงกรีดร้องที่บาดลึกจนถึงต้นคอ ยกคันเร่งขึ้นเล็กน้อยแล้วเกียร์ก็จะเปลี่ยนขึ้นได้อย่างว่องไว

ตัวรถที่เตี้ยติดอยู่กับพื้นถนนช่วยเพิ่มความมั่นใจได้และมันก็เกาะหนึบแม้ในสถานการณ์แบบนี้ ปรับโช้คไปที่โหมด Sport คุณจะได้การควบคุมเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้คุณช้าลงก็คือความรู้สึกว่าข้างใต้คุณนั้นคือระยะฐานล้อช่วงสั้น ซึ่งถ้าเกิดไปผ่อนคันเร่งในโค้งก็จะทำให้ท้ายเริ่มหวิวและทำท่าเหมือนจะหลุดออก แต่ก็เปล่า ถ้าคุณกำลังมองหาDNA ที่ถูกส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นอยู่ล่ะก็ อัตราส่วนความยาวต่อความกว้างตัวถังของ 355 นั้นดูเหมือนจะกระโดดข้ามไปอยู่สักหนึ่งยุค เพราะมิติของมันคล้ายกับ 458 และ 488 มากกว่า F430 แล้วเดี๋ยวเราก็จะได้รู้กันว่ารถพวกนั้นใช้ประโยชน์จากโมเมนต์ความเฉื่อยต่ำมาทำให้พวกมันขับได้คล่องแคล่วขึ้น จากนั้นก็ใช้พวกระบบอิเลกทรอนิกส์ควบคุมการทรงตัวมาคานมันไว้ ซึ่งผลผลิตจากยุค ‘90s อย่าง 355 ไม่มีให้ใช้
ในทางตรงกันข้าม F430 ยังคงรู้สึกทันสมัยแม้ว่ามันจะเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2004 ให้หลัง F355 สิบปีและ 360 Modena ที่เป็นพื้นฐานของมันห้าปี360 แตกต่างจาก F355 กันตั้งแต่เรื่องพื้นฐาน และมันยังเป็นรถที่กำหนดแนวทางของงานวิศวกรรมสำหรับรถทุกรุ่นที่ตามมาหลังจากนั้นด้วยรูปลักษณ์ตัวถังจากหัวจรดท้ายถูกบงการด้วยทฤษฎีทางอากาศพลศาสตร์ (รวมถึงการเปลี่ยนมาวางเกียร์ตามแนวยาวเพื่อให้การไหลของอากาศดีขึ้น) ตัวถังทำจากอลูมิเนียม ดังนั้นแม้ว่ามันจะเป็นรถที่ใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่า 355 แต่มันก็หนักขึ้นแค่ราว 40 กิโลกรัมเท่านั้น มันยังเป็นรถที่ปิดฉากยุคไฟหน้าป๊อปอัพ และเปิดฉากยุคการใช้เครื่องยนต์เป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่งตัวรถ โดยมีท่อร่วมไอดีสีแดงสากของเครื่อง V8 40 วาล์ว3.6 ลิตร (ถึงได้ชื่อ 360) โชว์ตัวเด่นหราอยู่ใต้ฝาท้ายที่เป็นกระจกใส
แต่แม้มันจะเจ๋งขนาดไหน 360 ที่มี 395 แรงม้า ก็ไม่สามารถเทียบฝีเท้ากับคู่กัดที่ Lamborghini เตรียมจะปล่อยออกมาในปี 2003 อย่าง Gallardo ที่มีเกือบ 500 แรงม้า ได้แน่ ดังนั้นจึงต้องมีการปรับแผนสักหน่อยFerrari ลงมือปรับปรุงงานวิศวกรรมของ 360 ใหม่หมด รวมถึงการเลิกใช้เครื่อง V8 ในตำนานที่ออกแบบโดยRocchi แล้วหันมาใช้เครื่อง V8 4.3 ลิตร รุ่นใหม่แทน (ใช่…มันก็เลยได้ชื่อ F430 ไง) มันเป็นเครื่องรหัส F136 483 แรงม้า ที่เคยเห็นเป็นครั้งแรกใน Maserati 4200 GTที่มีเบาะคู่หลังแค่เป็นพิธี งานดีไซน์ของ F430 ดูแลโดย Frank Stephenson ชาวอเมริกัน ด้านหน้ามีช่องดักอากาศแบบ‘จมูกฉลาม’จาก Dino มาประยุกต์ใช้ ด้านท้ายมีไฟท้ายที่โผล่พ้นตัวถังขึ้นมาครึ่งดวงอันสวยงามจาก Enzo และกึ่งกลางมีห้องโดยสารที่ออกแบบใหม่หมด โดยรวมมันมีประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์ดีขึ้นและสร้างแรงกดได้มากขึ้นด้วย
มันดูคันใหญ่เวลาจอดรวมอยู่กับคันอื่นๆ หย่อนตัวลงไปบนเบาะที่แน่นและโอบรับลำตัว คุณจะพบกับห้องโดยสารที่มีกลิ่นอายของงานวิศวกรรมอยู่ทุกหนทุกแห่งทั้งก้านเปิดประตูสีไทเทเนียม ป้าย F430 บนแผงหน้าปัดที่ยึดอยู่ด้วยน็อตหัวนูนพวงมาลัยที่หน้าตาคล้ายคลึงกับในปัจจุบันซึ่งอัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์อย่างปุ่มสตาร์ทและสวิทช์เลือกโหมด Manettino ในสมัยนั้นมันเป็นเรื่องแปลกที่ต้องเสียบกุญแจเข้าไปที่ข้างพวงมาลัยแล้วบิดก่อนหนึ่งครั้ง เพื่อเตรียมให้ปุ่มสตาร์ทพร้อมทำงาน (จากนั้นก็ตามด้วยการปลดเบรกมือ) เครื่องยนต์ติดขึ้นมาพร้อมกับแรงสั่นกระเพื่อมที่ส่งไปทั่วทั้งคันรถ ยิ่งให้ความรู้สึกว่ารถถูกสร้างขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งและความคลั่งไคล้ในวิศวกรรมถึงขีดสุด
อีกเรื่องที่น่าประทับใจก็คือ การทำงานที่ลื่นไหลและถูกจังหวะจะโคนของชุดคลัทช์แผ่นเดียวของเจ้าเกียร์ F1 ที่เรียกว่าดีที่สุดและเป็นรุ่นท้ายที่สุดน่าแปลกที่ Ferrari เป็นเพียงบริษัทเดียวที่สามารถจัดการกับเกียร์ชนิดนี้ได้อย่างอยู่หมัด และสามารถขัดเกลาการตอบสนองจนมันทำงานได้ประเสริฐในทุกสถานการณ์ไม่เว้นแม้แต่การสลับระหว่างเกียร์ด้านหน้ากับถอยหลัง ก่อนที่เทคโนโลยีคลัทช์คู่จะมาถึงหลังจากนั้นไม่นานและยกระดับความคาดหวังไปอีกขั้น และนั่นก็ยังหมายความว่า 430 คือรถรุ่นสุดท้ายที่ยังมีเกียร์ธรรมดาให้เลือกด้วย
สวิทช์ Manettino ปรากฏตัวครั้งแรกใน 360 ที่ใช้คันเร่งแบบ Drive-by-wire ช่วงล่างอะแดปทีฟแบบมัลติเซ็นเซอร์ และโหมดการขับขี่ระหว่าง Normal, Sport, Auto และ Low Grip พอมาถึง F430 ก็มีการเพิ่ม E-diff ดิฟเฟอเรนเชียลที่ควบคุมการล็อกด้วยอิเลกทรอนิกส์เข้าไป ทำให้ทีมวิศวกรของ Ferrari สามารถสร้างสรรค์โหมด Manettino ใหม่ ๆ ได้ครอบคลุมขึ้นอีกมาก สำหรับวันนี้ดูเหมือนว่าเราจะควรเลือก Wet และปล่อยมันทิ้งไว้อย่างนั้น แต่หลังจากขับไปได้แค่ไมล์เศษๆ แรงยึดเกาะและความนิ่งของ F430 ก็บอกว่าเปลี่ยนใจดีกว่า
เครื่องยนต์ตัวใหม่ยังคงใช้แครงก์ชาฟท์แบบ Flat-plane เสียงที่รอบเดินเบาจึงเป็นโทนเดิมที่คุ้นเคย แต่มันปล่อยเรี่ยวแรงออกมาได้ไวกว่า V8 ใน F355 มาก (หรือแม้แต่ 360) และยังดูกระตือรือร้นยิ่งกว่าเดิม มันส่งแรงถีบได้ราวกับเพิ่งไปโมโหใครมาตอนที่เข็มแตะ 7,500 รอบต่อนาที และพุ่งกระฉูดไปหาขีดแดง จังหวะเปลี่ยนเกียร์ขึ้นอยู่ที่ 8,500 รอบต่อนาที การตัดเข้าเกียร์ต่อไปเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและหมดจด ยิ่ง Manettino อยู่โหมดท้ารบแค่ไหน เกียร์ก็ยิ่งตัดต่อไวขึ้นเท่านั้น
F430 ยังให้ความรู้สึกเหมือนเป็น Ferrari ในยุคนี้ และมีฮาร์ดแวร์เจ๋งๆ อัดใส่มาเต็มคัน ตั้งแต่แอโรไดนามิกส์ใต้ท้องรถไปจนถึงเบรกคาร์บอนเซรามิกอันเขื่องและ E-diff
F430 คุมง่ายและเรียกใช้สมรรถนะได้อย่างเอร็ดอร่อย แล้วก็ฟินด้วย
ห้องโดยสารของ F430 ดูใหม่กว่า F355 อยู่หลายปีแสง พวงมาลัยในสมัยนั้นมีปุ่มสตาร์ทและสวิทช์ Manettino สำหรับเลือกโหมดการขับแล้วส่วนเครื่องยนต์เป็น V8 4.3 ลิตร ‘F136’ ตัวใหม่
————————————————————————————————————————–
Engine evolution: all change
ชิ้นส่วนหลักในเครื่อง F430 ถูกเปลี่ยนใหม่หมด นโยบายรัดเข็มขัด Maserati ที่บงการโดย Fiat ได้ให้กำเนิดเป็นเครื่องยนต์ V8 F136ตระกูลใหม่ ซึ่งสามารถทำความจุใหญ่ขึ้นและดัดแปลงออกมาได้หลายเวอร์ชันเพื่อให้เหมาะกับทั้งสองแบรนด์ (รวมถึง Alfa Romeo 8C ที่ผลิตออกมาเป็นช่วงสั้นๆ) ทั้งหมดถูกผลิตที่โรงงาน Maranello โดยรุ่นแครงก์ชาฟท์ Flat-plane จะเป็นของ Ferrari และรุ่น90 องศา จะเป็นของ “น้อง” ร่วมตระกูล
จุดหลักที่เปลี่ยนไปจาก V8 รุ่นก่อนซึ่งปลดประจำการไปพร้อมกับ 360 Modena คืออ่างน้ำมันเครื่องที่รวมเป็นชิ้นเดียวกับประกับข้อเหวี่ยงหล่อเพื่อความแข็งแรงมากขึ้น กระบอกสูบเคลือบ Nikasil วาล์วที่กลับไปเหลือสี่ตัวต่อสูบ (แต่ยังเป็นสปริงไฮโดรลิก) และโซ่ที่ใช้ขับแคมชาฟท์ทั้งสี่แท่งแทนสายพานวาล์วฝั่งไอดีและไอเสียมีระบบแปรผันที่สามารถปรับองศาการจุดระเบิดได้กว้างถึง 50 องศา ซึ่งมาแทนที่ระบบเดิมใน 360 ที่มีเฉพาะวาล์วฝั่งไอเสียและปรับได้สองระดับเท่านั้น โดยตัวมันถูกขับด้วยชุดไฮโดรลิกแรงดันสูงถึง 20 บาร์ กล่องควบคุม Bosch Motronic ME7 สองชุดทำหน้าที่ควบคุมการจุดระเบิดและจ่ายเชื้อเพลิง โดยในตอนหลังเครื่องยนต์รหัสนี้เวอร์ชันDirect injection กับระบบหล่อลื่นWet sump ได้มาอยู่ใต้ฝากระโปรงหน้าของ California และมันยังมีเวอร์ชัน 510 แรงม้า สำหรับ 430 Scuderia ออกมาด้วย
คุณคงจะคาดเดาได้ว่าแม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบนี้ F430 ก็ยังให้ความมั่นใจได้เต็มเปี่ยม นี่คือรถที่วิ่งมาน้อยจนน่าทึ่ง แถมยังดูเหมือนกับรถใหม่ เครื่องเคราต่าง ๆ ก็รู้สึกใหม่แกะกล่องอีกด้วย การบังคับควบคุมยังแน่นและแม่นยำ พวงมาลัยหมุนได้คล่องและมีน้ำหนักกำลังดีแม้ว่าจะไม่ได้คมที่สุด ในสภาพถนนนี้ 430 สื่อสารทุกอย่างขึ้นมาได้แจ่มแจ๋วและนิ่งสนิท แทรคชันคอนโทรลทำงานเป็นระวิงเป็นช่วง ๆโดยในโหมด Sport มันจะยอมปล่อยให้ล้อฟรีได้เล็กน้อยก่อนที่จะสั่งการให้ออพชันเบรกคาร์บอนเซรามิคจับตัวเพื่อลดการลื่นไถล แชสซีส์ควบคุมง่ายและเรียกใช้สมรรถนะได้อย่างเอร็ดอร่อย แถมยังฟินอีกด้วย ผมนี่รักมันเลย
เมื่อเดินทางมาจนถึงความสมบูรณ์แบบแล้วFerrari ก็ต้องกลับไปตั้งต้นใหม่หมดอีกครั้งจนได้ออกมาเป็นซูเปอร์คาร์น้องเล็กอย่าง 458 Italia แต่ขอบอกคุณไว้ก่อนว่าด้วยตัวเลข562 แรงม้า กับความเร็วสูงสุด 202 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) คำที่พวกเขาเน้นคงจะเป็น “ซูเปอร์คาร์” มากกว่า “น้องเล็ก” ตัวถังของมันกว้างและหมอบราบกว่า 430 แต่ในความเป็นจริงมิติตัวถังของทั้งคู่นั้นใกล้เคียงกันระดับมิลลิเมตร …เว้นแต่ฐานล้อที่สั้นกว่า 50 มิลลิเมตร เมื่อมาเจอกับพวงมาลัยอัตราทดเร็วจี๋เข้าไป คุณคงจะไม่สงสัยแล้วใช่ไหมว่าทำไมเจ้านี่ถึงได้มีระบบควบคุมอิเลกทรอนิกส์อันซับซ้อนใส่มาให้ชุดใหญ่ไฟกระพริบ
ชื่อรุ่นย้อนกลับไปใช้สูตรเดิมที่ว่ากันตามขนาดความจุของเครื่องยนต์และจำนวนลูกสูบอีกครั้งส่วนการพัฒนาก็เน้นไปที่การดึงประสิทธิภาพสูงสุดออกมา อากาศพลศาสตร์ และบรรดาเครื่องยนต์กลไกทั้งหลายแรงม้าสูงสุดที่ 562 ตัวบนเครื่อง V8 4,497 ซีซี ซึ่งพ่วงเข้ากับเกียร์คลัทช์คู่ 7 จังหวะ แต่เรื่องที่ต้องฉลองนั้นก็คือ ตัวเลขที่ว่าได้มาจากเครื่อง V8 หายใจเอง คันที่เราได้มามีชื่อต่อท้ายว่า Speciale ซึ่งใช้เครื่องอัตราส่วนกำลังอัดสูงกว่าปกติและผลิตแรงม้าออกมาได้ถึง 597 แรงม้า ที่ 9,000 รอบต่อนาที ยังไม่หมดแค่นั้น อัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นจากการใช้ฝาครอบเครื่องยนต์ Lexan ส่วนอื่นๆ ที่อัพเกรดด้วยก็จะมีสปริงและกันโคลงที่หนึบขึ้น ช่วงล่างอะแดฟทีฟ และระบบ SSC หรือ Side Slip Control
ตอนที่ผมปีนเข้าไปในห้องโดยสารที่โล่งโจ้งไร้อุปกรณ์ของ Speciale แล้วหย่อนตัวลงไปอยู่ในอ้อมกอดของบักเก็ตซีท อากาศก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น แถมดูจะแย่ลงด้วยซ้ำเพราะมันเริ่มมีน้ำขังมาเพิ่มอันตรายบนเส้นทางขึ้นไปอีก ภายในตกแต่งด้วยคาร์บอนบางจุดเอาไว้อย่างสวยงาม โดยเฉพาะปุ่มแนวตั้งที่ยื่นออกมาจากคอนโซลกลางและช่องแอร์ฝั่งคนนั่งที่หน้าตาเหมือนขโมยเอาช่องดักลมระบายความร้อนเบรกหลังของ F1 ในยุค ‘80s มาใส่เอาไว้จิ้มนิ้วโป้งลงไปบนปุ่มสตาร์ทด้วยมือที่สั่นเครือ เพราะผมรู้ดีถึงกิตติศัพท์ความร้ายกาจและความพยศของ Speciale แม้ตอนอยู่บนถนนแห้ง…กับยาง Michelin Pilot Cup2 ที่มีดอกยางเพียงเบาบาง
Speciale คือเวอร์ชันที่เร็วขึ้น ดุขึ้น เบาขึ้นของ 458 รุ่นปกติ มันเป็น Ferrari รุ่นสุดท้ายที่ได้รับเครื่อง V8 หายใจเองตกทอดมาด้วย
‘คันเร่งตอบสนองคมที่สุดในบรรดาเครื่องเทอร์โบทั้งหมดที่ผมเคยขับมา’
__________________________________________________________________________
จิ้มคันเร่งอย่างยั้ง ๆ เท้าเอาไว้แค่2-3 ที มันก็จะพาคุณไปพบกับแรงถีบเกินคาดจากเครื่อง V8 ที่แหกปากอย่างหิวกระหาย488 ที่แรงยิ่งกว่านี้อาจจะตอบสนองคันเร่งได้น่าประทับใจกว่าจากการที่มันใช้เครื่องเทอร์โบ และแรงบิดมหาศาลที่เทอร์โบปั่นออกมาในรอบต่ำ กระนั้น Speciale ก็ยังรู้สึกดุดันอย่างน่าทึ่ง และเสียงคำรามจากเครื่อง V8 ก็ใสกังวาลและเร้าอารมณ์สุด ๆโดยเฉพาะตอนที่รอบเครื่องฟาดแรงขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงโหยหวนจนไปสุดที่9,000 รอบต่อนาที นี่อาจจะค้านความรู้สึก แต่คุณสามารถพามันขึ้นไปที่รอบสูงขนาดนั้นได้แม้ว่าถนนใต้ล้อทั้งสี่จะกำลังเปียกชุ่ม ช่วงล่าง Speciale เฟิร์มแต่หนึบ และเมื่อคุณเรียนรู้ที่จะใช้พวงมาลัยอย่างนุ่มนวลเพื่อไม่ให้พวงมาลัยอัตราทดไฮเปอร์ตื่นตระหนกจนเกินเหตุแล้ว คุณก็จะจัดการพื้นผิวทุกสภาพได้อยู่หมัด แชสซีส์ดูดซับแรงกระแทกจากปุ่มถนนในโค้งได้อย่างมือโปรและสื่อสารกับคุณอยู่ตลอดเวลา คุณจึงสามารถซิ่งมันได้อย่างมั่นใจ หรือจะเหวี่ยงท้ายรถออกเล็กน้อยตอนกดคันเร่งก็ย่อมได้ ความคงเส้นคงวาของพละกำลังที่ส่งออกมาจากเครื่องหายใจเองก็ทำให้คุณคุมเกมส์ได้ตลอด แล้วมันก็น่าหลงใหลสุด ๆ
มันดีจนผมสงสัยว่า 488 GTB จะมีโอกาสสู้มันได้หรือ ความสามารถรอบตัวของ Speciale จัดว่าอยู่ในระดับน่าทึ่ง มันเฟิร์มแต่ซับแรงสะเทือนได้ดีห้องโดยสารสะดวกสบาย และการขับแค่เอื่อยๆ ก็ยังสามารถสุนทรีย์ได้ แต่ที่ Fiorano มันกลับทำสถิติแรงจีได้สูงสุดในบรรดาFerrari ทุกรุ่น (1.33g) และทำเวลาต่อรอบช้ากว่า F12 พี่ใหญ่อยู่ 0.5 วินาทีเท่านั้น ถ้าเปรียบเป็นกาแฟ เจ้านี่คือเอสเพรสโซดับเบิลช็อต
488 อาจจะไม่มีสถิติสวยหรูที่ Fiorano แต่มันก็ไม่ใช่กาแฟลาเต้แน่ ความสามารถของมันใกล้เคียงกันมาก และมันยังทำแบบนั้นพร้อมกับคุณสมบัติความสบายและช่วงล่างที่นุ่มนวลที่ความเร็วต่ำด้วย มันเป็นรถที่สามารถใช้ชีวิตด้วยได้โดยไม่ต้องพยายาม ทัศนวิสัยด้านหน้ากว้างขวางห้องโดยสารเงียบสนิทและจังหวะตัดต่อเกียร์ก็ดีเลิศ อาจจะมีแค่หนึ่งหรือสองจุดที่เรียกเสียงบ่นบนทวิตเตอร์ได้บ้าง (เช่นเดียวกับ Speciale) และระบบนำทางที่ยังดีกว่านี้ได้อีกหน่อย แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผม
หลังจากเพิ่งฟังเสียงคำรามที่ปราศจากการปรุงแต่งจากเครื่อง V8 4.5 ลิตร หายใจเองของ Speciale มาหยก ๆ คุณคงจะสบประมาทเสียงของ V8 เทอร์โบ 3,902 ซีซี ใน 488 เอาไว้พอดู (488 มาจาก 488 ซีซี ต่อสูบ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนสูตรตั้งชื่อของ Ferrari อีกครั้ง) บางคนบอกว่ามันมีเสียงสังเคราะห์ปนเข้ามาช่วยส่วนนึง แต่นั่นก็เป็นความตั้งใจของทีมพัฒนาที่ได้ผลลัพธ์อย่างเยี่ยมยอด เช่นเดียวกับคันเร่งที่ตอบสนองได้คมกริบที่สุดตั้งแต่ผมเคยขับรถเทอร์โบมา และช่วยให้ดึงศักยภาพที่แท้จริงของ 488 ออกมาใช้ได้ง่ายขึ้นมาก ตอนอยู่บนถนนแห้งมันจัดการกับแรงยึดเกาะของยางหลังได้อย่างน่าทึ่งจังหวะการแทรกแซงของแทรคชันคอนโทรลก็ทำได้อย่างเทพ เพราะบรรดาแรงต่าง ๆ ทั้งบูสต์ การลื่นไถลของยาง และแรงกดบนโช้คอัพ จะถูกควบคุมไว้ทั้งหมดเพื่อให้ผลลัพธ์ดีที่สุดเสมอไม่ว่า Manettino จะถูกเลือกไว้ที่ตำแหน่งไหน
เมือง Wales ตอนอากาศแบบนี้ไม่ควรจะเป็นที่ที่เหมาะสำหรับซูเปอร์คาร์เทอร์โบขับหลังขนาด 661 แรงม้า แต่ 488 กลับรู้สึกเหมือนกำลังเดินเล่นอยู่ในสนามหลังบ้าน เมื่อคุณเริ่มคุ้นกับระดับความเร็วที่มันทำได้และรับรู้ความสามารถของระบบอิเลกทรอนิกส์ในการจัดการวิถีของรถ รวมถึงจังหวะที่มันเข้ามาจัดการแล้ว คุณก็จะสามารถลดการแทรกแซงลงและรับหน้าที่จัดการ Gripยางหลังเองได้ หาจุดสมดุลระหว่างคันเร่งและการลื่นไถลกับมุมของพวงมาลัย ปล่อยให้ท้ายรถเป๋ออกไปบ้างเป็นครั้งคราว แน่นอนว่าคงมีเจ้าของไม่กี่คนที่ทำแบบนี้ แต่ตัวรถทำได้สบายและนั่นก็เป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก วันที่ผมต้องเอา 488 ไปคืนที่ Slough (อย่างไม่เต็มใจ) ผมเลือกใช้เส้นทางที่เต็มไปด้วยวงเวียนและโค้งคดเคี้ยวที่ไม่ค่อยมีใครใช้ เพราะฝนมันเทลงมาอีกรอบ 488 มันดีขนาดนั้นเลยล่ะ สี่สิบปีแห่งวิวัฒนาการแรงม้าเกือบสามเท่าตัว แต่หัวใจหลักของซูเปอร์คาร์ Ferrari V8 ก็ยังทำได้อย่างที่มันควรเป็น นั่นคือการมอบความตื่นเต้น การมีส่วนร่วม และการเข้าถึงศักยภาพอันเปี่ยมล้นภายใต้ตัวถังขนาดกระทัดรัด
————————————————————————————————————
เครื่อง V8 4.5 ลิตร หายใจเองอันเลื่องชื่อใน Speciale สร้างม้าเร้าใจได้ 597 ตัว พอฟัดพอเหวี่ยงกับ 488 GTB ทวินเทอร์โบรุ่นปัจจุบันได้ตั้งแต่ต้นยันปลาย
‘Speciale น่าหลงใหลสุด ๆ แล้ว 488 GTB จะสู้ไหวไหม?”
Engine evolution: added tech
เทคโนโลยี Direct-injection คือการเปลี่ยนแปลงหลักใน 458 Italia และเมื่อมาเจอกับอัตราส่วนกำลังอัดสูง 12.5:1 ที่ทำได้เพราะเปลี่ยนมาเป็นฉีดตรง ก็ทำให้พละกำลังพุ่งขึ้นเป็น 562 แรงม้า ทั้งที่ความจุเพิ่มขึ้นมานิดเดียวเป็น 4,497 ซีซี มันดูชอบจะเร่งไปชน 9000 รอบต่อนาทีด้วย
รายการพัฒนาต่อยอดจาก F430 มียาวเป็นหางว่าว ลิ้นคันเร่งสามตัววางอยู่ระหว่างท่อร่วมไอดีของลูกสูบแต่ละฝั่ง ซึ่งสามารถทำงานเปิดหรือปิดพร้อมกันก็ได้ เพื่อให้กระแสลมวนภายในท่อไอดีเหมาะสมกับทุกย่านรอบและทุกสภาวะโหลดของเครื่องยนต์ ระบบจุดระเบิดแบบมีตัวตรวจจับอิออนช่วยให้การจุดระเบิดของแต่ละสูบมีประสิทธิภาพสูงสุดเสมอ และยังสามารถควบคุมจังหวะจุดระเบิดได้ก่อนล่วงหน้าอีกด้วย ระบบหล่อลื่น Dry-sump ใช้ปั๊มดูดน้ำมันเครื่องแยกกันสี่ตัว โดยสองตัวในนั้นจะทำงานสอดสอดคล้องกับแรงกระเพื่อมจากแรงดันในแครงก์เคส ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนตัวขึ้นลงของลูกสูบ ทำให้สามารถลดพลังงานที่สูญเสียไปกับการปั๊ม “ลม” ได้
การลดแรงเสียดทานก็ถูกทำกันอย่างใหญ่โต ทั้งแหวนสูบแบบบางพิเศษ หัวลูกสูบชุบกราไฟท์ ลูกเบี้ยวบนแคมชาฟท์แบบขัดมัน… เครื่อง F136 เวอร์ชันสุดท้ายของ Ferrari ที่อยู่ใน 458 Speciale จึงมีกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 597 แรงม้า
Engine evolution: turbocharging
การเปิดตัวของ 488 มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่พื้นฐานอีกครั้ง: เทอร์โบชาร์จเจอร์คู่ Twin-scroll แบบ Low-lag จาก IHI เทอร์โบคือหัวใจสำคัญของเครื่อง V ตระกูลใหม่แบบ 90 องศา ในชื่อ F154 โดยมันมีทั้งเวอร์ชัน V6 สำหรับ Alfa Romeo,V8 สำหรับ Ferrari และ Maserati ส่วนตัวแรงที่สุดคือ 3,902 ซีซี 661 แรงม้า ที่อยู่ใน 488 กับแรงบิดสูงสุด 560 ปอนด์ฟุต ที่เรียกใช้ได้ตั้งแต่ 3,000 รอบต่อนาที นับว่ารอบต่ำมากเมื่อเทียบกับธรรมชาติของเครื่อง Ferrari
หัวฉีดตรง คอยล์จุดระเบิดตรวจจับอิออน และวาล์วแปรผัน คือฟีเจอร์ที่ได้รับตกทอดมาจาก 458 แต่การใช้ลูกกระทุ้ง (Cam-follower) แบบ Roller-finger (ว่ากันว่าแรงเสียดทานที่ต่ำของพวกมันช่วยลดการสูญเสียกำลังเครื่องยนต์ในรอบต่ำไปได้ราว 10 เปอร์เซ็นต์) และการติดตั้งโซ่ไทม์มิ่งบนฟลายวีลนั้นเป็นของใหม่
ในทุก ๆ จุด ทีมเครื่องยนต์ต้องการให้การตอบสนองเป็นไปอย่างเฉียบพลัน และต้องมีบุคลิกและสุ้มเสียงแบบ Ferrari ขนานแท้ เทอร์โบชาร์จเจอร์ Ultra-light ซึ่งใช้เทอร์ไบน์ไทเทเนียม–อลูมิเนียม กับแกนเทอร์โบลูกปืนแรงเสียดทานต่ำ จึงถูกนำมาใช้เพื่อช่วยลดอาการเทอร์โบแล็คลงจนแทบไม่เหลือให้สัมผัส Ferrari เคลมว่ามันสามารถตอบสนองได้ใน 0.8 วินาที เมื่อคุณกดคันเร่งมิดที่ 2,000 รอบต่อนาที ในเกียร์สาม
บทความนี้ไม่มีทางสำเร็จได้ ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าของรถผู้ใจกว้างทุกคนที่ยอมให้เรายืมรถของพวกเขาออกมาซิ่งกันในสภาพอากาศที่ท้าทาย เพราะฉะนั้นเราจึงขอขอบคุณครั้งใหญ่แด่ Simon Tate ที่ลงทุนขับ 308 ลงมาจากเหนือ,Andy Wood ที่ไม่เคยเอา F355 มาวิ่งกลางฝนมาเป็นสิบปีแล้ว (ซึ่งตอนนี้มีข้ออ้างที่จะเอารถไปรื้ออุปกรณ์และซิ่งมันกลางฤดูหนาวได้แล้ว) และ Mike Wood ที่ไว้ใจให้เราเอา Speciale สุดเจ๋งของเขามาล่องกลางฝนแบบนี้ แต่ที่ต้องขอบคุณที่สุดก็คือ Salvatore Albanese เจ้าของ F430 ที่มีความหลงใหลแรงกล้าและผลักดันให้การทดสอบนี้เกิดขึ้นได้
————————————————-
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น