‘…the most beautiful thing I had ever seen…’
275 GTB ถูกยกย่องให้เป็น 1 ในโมเดลที่บรรดาสาวก “ม้าลำพอง” Ferrari พร้อมมอบความจงรักภักดีให้ทั้งชีวิต และเมื่อคุณต้องมนตร์สะกดของรถยนต์คันนี้ไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็แทบจะไม่มีทางหลุดพ้นออกมาได้
ในช่วงชีวิตวัยเด็กบนเกาะเจอร์ซี่ย์ ผมมีความหลงใหลในรถยนต์คันหนึ่ง ไม่ใช่รถยนต์รุ่นใหม่อะไรเลย แต่นับเป็นสิ่งสวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าของคือชายที่มีชื่อว่า Michael Salmon นักแข่งรถมากฝีมือชาวอังกฤษ และภรรยาของเขา Jean ทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะกลายเป็นเพื่อนสนิทของครอบครัวที่คลั่งไคล้รถยนต์มากที่สุดบนเกาะแห่งนี้
ตอนนั้น Michael ทำธุรกิจตัวแทนจำหน่าย Ferrari และเมื่อผมสอบใบขับขี่รถยนต์ได้สำเร็จ เขาโยนพวงกุญแจให้ผมเพื่อให้ขับรถคันไหนก็ได้ที่จอดอยู่ตรงลานด้านหน้าออกไปทานอาหารกลางวัน ปกติจะเป็นรถแฮตช์แบ็กไซส์เล็ก Daihatsu และมีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมพูดความจริงนะ ที่มีโอกาสได้ลองขับ Lamborghini LM002 แต่ความพิเศษมากไปกว่านั้นคือรถอีกคันที่เขาเป็นเจ้าของ และชอบเรียกชื่อสั้นๆ ว่า ‘The Berlinetta’ โดยผู้อ่านส่วนใหญ่ รวมทั้งผมจะรู้จักในชื่อของ 275 GTB/4 ซึ่งเป็นรถที่อยู่เหนือขีดจำกัดในทุกด้านอย่างแท้จริง
Michael เสียชีวิตในปี 2016 โดยอาการป่วยที่เขาเผชิญทำให้จำเป็นต้องขายรถคันนี้ แม้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยบอกว่าจะยอมให้ผมได้ลองขับ (แต่หลังจากผมเป็นนักทดสอบรถอาชีพมานานกว่า 20 ปี) และมันก็ไม่เคยเกิดขึ้น ทั้งหมดมีเพียงเท่านี้ ความฝันในวัยเด็กของผมที่จะมีโอกาสได้ขับ 275 โดยเฉพาะคันของ Michael จบสิ้นลงไปแล้ว
แต่โชคชะตานำความสุขกลับคืนมาให้ผมเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา โดยต้องขอบคุณการช่วยเหลือจากทีมงานของ Bob Houghton Ferrari และแมกกาซีนฉบับนี้ หลังจาก 1 ในรถคลาสสิกชั้นยอดที่อยู่ภายใต้การดูแลของ BH Ferrari มีชื่อของ 275 GTB/4 สีเงินรวมอยู่ด้วย และ John Corrie ผู้เป็นเจ้าของเต็มใจที่จะให้ทีมงานของเรายืมมาขับทดสอบเป็นเวลา 1 วันเต็ม แม้ว่าวันที่เราเลือกจะตรงกับช่วงที่สภาพอากาศเลวร้ายที่สุดของฤดูร้อนนี้ เขาก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจ และในที่สุดความฝันของผม (ท่ามกลางความเปียกปอน) ก็กลายเป็นจริง
ในตอนที่ Ferrari 275 GTB ปรากฏตัวครั้งแรกในปี 1964 ไม่ใช่เพียงแค่รูปทรงอันสวยงามของรถที่ทำให้ผู้คนมากมายรุมล้อมระหว่างงาน Paris Salon ซึ่งถูกใช้เป็นเวทีเปิดตัว แต่ด้วยความเป็นครั้งแรกในหลายๆ ด้านสำหรับ Ferrari: โดยนับเป็นรถที่ผลิตเพื่อขับบนถนนปกติรุ่นแรกของ Ferrari ที่มาพร้อมเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และเป็นรุ่นแรกที่ไม่ได้ถูกสร้างเพื่อเป็นรถแข่งที่ติดตั้งตำแหน่งชุดเกียร์ระหว่างล้อหลัง อีกจุดสำคัญที่ได้รับการพูดถึงเป็นระบบ
มีการเปลี่ยนระบบเพลาหมุนใหม่ Transaxle ที่ไม่ได้เป็นคานแข็ง Rigid และติดตั้งระบบช่วงล่างแหนบ Leaf Spring โดยระบบช่วงล่างด้านหลังของ 275 GTB จะเป็น Double Wishbone แบบอิสระ
พลังขับเคลื่อนมาจากเครื่องยนต์ที่เชื่อถือได้ Colombo V12 ที่เพิ่มขนาดความกว้างกระบอกสูบเป็น 77 มิลลิเมตร หากเทียบกับขนาด 73 มิลลิเมตร ที่อยู่ใน 250 Lusso แต่ระยะช่วงชักของลูกสูบเท่าเดิมที่ 58.8 มิลลิเมตร เหมือนเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรของโมเดล 166MM เมื่อปี 1948 หรือ 1 ปีหลังจากการก่อตั้งบริษัท มีการขยายปริมาตรกระบอกสูบเพิ่มเป็น 3286 ซีซี ทำให้พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมถึงกำหนดชื่อเรียกรุ่นนี้ว่า ‘275’ โดยหากคำนวณกำลังต่อ 1 กระบอกสูบ จะได้เป็นตัวเลขคร่าวๆ 280 แรงม้า แต่เท่าที่ผมสืบหาข้อมูลมาในปัจจุบันยึดถือตัวเลขที่ 260 แรงม้ามากที่สุด
แต่ไม่ได้ส่งผลใดๆ ด้วยคำบรรยายสั้นๆ ‘งดงาม’ หรือไม่อาจหาคำใดมาเปรียบเทียบได้คู่ควรสำหรับรถคันนี้ บางทีด้วยการเปลี่ยนแปลงข้อกฎหมายบางอย่างพร้อมการเปิดตัวโมเดลที่ถูกเรียกว่า ‘Long Nose’ รุ่นที่ 2 ของซีรีส์ ในงานเดียวกันของปีถัดมา แสดงให้เห็นการแก้ไขระบบแอโรไดนามิกจากโมเดลแรกเพื่อการขับด้วยความเร็วสูง ผลลัพธ์ที่ออกมาคือรถยนต์ที่ใกล้เคียงความสมบูรณ์แบบที่สุดบนท้องถนนเท่าที่ผมรับรู้ โดยผมยังคงจดจำตอนที่เดินดูรอบๆ รถของ Michael และมีความสุขกับการได้เห็นสไตล์การออกแบบของ Pininfarina และเอกลักษณ์ของตัวถังที่ผลิตโดย Scaglietti ซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
ถึงอย่างนั้นเพราะการที่ 275 GTB ไม่อาจสวยงามได้มากไปกว่านี้ แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ฝากระโปรงยังคงพัฒนาขึ้นไปได้อีก นั้นคือเหตุผลว่าทำไมซีรีส์ที่ 2 ของโมเดลนี้ มีการติดตั้งกระบอกเพลาเฟืองล้อหลัง Torque Tube จากเครื่องยนต์ต่อเข้าสู่ชุดเกียร์เพื่อลดภาระของเพลาขับ Driveshaft ที่ยังคงเป็นปัญหาจนถึงปัจจุบันในเรื่องแรงสั่นสะเทือน และความเหมาะสม
เพียงเท่านี้สำหรับหลายคนอาจจะเพียงพอแล้ว แต่ Ferrari จะต้องนำคู่แข่งก้าวหนึ่งเสมอ พวกเขาแสดงให้เห็นในงานที่ปารีส ปี 1966 ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดสำหรับผู้เข้าชมคือการค้นหาบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ฝากระโปรง ด้วยความเชื่อว่ามีค่าคู่ควรที่จะสืบหาข้อมูลเพิ่มเติม และได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นอีกสิ่งที่ Ferrari นำมาใช้งานเป็นครั้งแรก ในรถยนต์ที่ขับบนถนนปกติกับการติดตั้งเครื่องยนต์แบบ Twin Overhead Camshaft โดยใช้เพลาลูกเบี้ยว 2 ตัวในแต่ล่ะฝั่งจนกลายเป็นที่มาของชื่อ 275 GTB/4 เป็นการพัฒนาต่อเนื่องจากรถต้นแบบ 275 P2 ในปี 1965 และด้วยเหตุนี้ทำให้มีการใช้ระบบน้ำมันหล่อลื่นแบบ Dry-sump ที่จะมีความแตกต่างกับเครื่องยนต์แบบ Single-cam ในรุ่นธรรมดาของ 275 GTB โดยไม่ได้ถูกพัฒนาเพื่อมาแข่งขันกันเอง
และอีกครั้งที่แม้กระทั่งข้อมูลของรถยนต์รุ่นนี้ที่แสดงในโชว์รูมระบุว่าเครื่องยนต์ใหม่สามารถสร้างกำลังได้ไม่น้อยกว่า 300 แรงม้าที่ 8000 รอบ/นาที หากเทียบกับปัจจุบันถือเป็นความแรงของเครื่องยนต์ที่น่าประทับใจสำหรับรถที่ขับบนถนนปกติ แต่สำหรับปี 1966 คือความน่าตื่นเต้น ทำไมเส้นสีแดงบนหน้าปัดบอกรอบเครื่องยนต์เริ่มต้นที่ 7600 รอบ/นาที และสิ้นสุดที่ 8000 (ข้อมูลที่แสดงสูงสุดของรถยนต์ในเวลานั้น) ผมไม่มั่นใจเท่าไร แต่หากย้อนกลับไปตอนนั้นผู้ผลิตรถยนต์บางแห่งตั้งใจใช้กำลังรอบเครื่องยนต์เพื่อเตือนถึงความเร็วที่ปลอดภัยสำหรับเครื่องยนต์หากขับในระยะเวลาสั้นๆ แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ Ferrari ต้องการสื่อถึง เครื่องยนต์แบบ Six Twin-choke Weber ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นออปชั่นให้เลือกนอกจาก Three Twin-choke Weber ที่ถูกติดตั้งเป็นมาตรฐาน และถึงจะเป็นอย่างนั้น 275 GTB/4 ยังคงเป็นรถในแบบดั้งเดิม และถือกำเนิดมาบนโลกในรูปแบบที่แตกต่าง
สำหรับเจนีวา มอเตอร์โชว์ ในช่วงต้นปีนั้นซึ่ง GTB/4 เปิดตัวเป็นครั้งแรก Lamborghini เผยโฉม Miura ออกมาสู่สาธารณชนเช่นกัน ด้วยการใช้ระบบช่วงล่าง Double Wishbones ทั้งหน้า-หลัง และติดตั้งเกียร์แบบ 5 จังหวะ แต่เครื่องยนต์ V12 ไม่ได้มีขนาดใหญ่ และพละกำลังมากพอจากการติดตั้งเป็นแนวขวางอยู่ด้านหลังคนขับเหมือนกับรถแข่ง Formula 1 แต่สำหรับรถที่ขับบนท้องถนนทั่วไป การติดตั้งเครื่องยนต์แบบวางกลาง Mid-engine นับเป็นการปฏิวัติครั้งสำคัญของ Enzo ที่ทำให้เขาอยู่เหนือกว่าคู่แข่งทุกราย
ที่มากไปกว่านั้นระหว่าง Ferrari ยังคงเลือกสร้างรถยนต์ตามธรรมเนียมดั้งเดิม ด้วยการใช้พื้นฐานจากโครงสร้างตัวถัง Oval-tube ที่ถูกใช้มายาวนานตั้งแต่ทศวรรษ 1950 Miura เปลี่ยนมาใช้โครงสร้างแบบ Monocoque จนทำให้โดดเด่นสะดุดตาในช่วงที่เปิดตัว และอาจทำให้พวก Ferrari รู้สึกเสียหน้า ทำให้ระหว่างที่ Lamborghini กำลังพยายามผลักดัน Miura ให้ได้รับความนิยม Ferrari รีบส่งทางเลือกที่เอาใจคนส่วนใหญ่อย่าง 365 GTB/4 หรือเป็นที่รู้จักในชื่อของ Ferrari Daytona ที่มีกำลังดุดันออกมายึดครองถนน
เป็นความรู้สึกประหม่าสำหรับผู้เขียนในตอนที่เปิดประตู 275 เพื่อเข้าไปนั่งเป็นครั้งแรก แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหักห้ามใจไม่ให้ในหัวของผมคิดว่ากำลังได้พบฮีโร่ที่คุณหลงรักมาทั้งชีวิต การเปิดประตูจะต้องกดปุ่มบริเวณด้ามจับเหมือนปกติไม่ได้ออกแบบพิเศษเป็นตะขอขนาดเล็กอย่างใน Daytona การมีพื้นที่ว่างเหนือศีรษะไม่มากนักแสดงให้เห็นอายุของรถยนต์คันนี้เช่นเดียวกับรอยขีดข่วนบนพวงมาลัยไม้ที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา แต่ทุกอย่างภายในห้องโดยสารยังคงแสดงให้เห็นถึงความน่าประทับใจอย่างชัดเจน
เกจวัดข้อมูลสำคัญทั้งแรงดันน้ำมันเครื่อง และอุณหภูมิจะติดตั้งอยู่ระหว่างเข็มวัดความเร็ว และรอบเครื่องยนต์ตรงกลางคนขับ ในขณะที่อุณหภูมิหม้อน้ำ, กำลังกระแสไฟฟ้า, ระดับน้ำมัน และนาฬิกาจะเรียงยาวเป็นแถวเดียวบริเวณคอนโซลกลาง โดยจะมีปุ่มสวิตช์สีดำอันแสนน่าเกลียดเรียงอยู่ด้านล่าง และอุปกรณ์สำคัญในทุกยุคทุกสมัยคือที่จุดบุหรี่จะอยู่ถัดออกมา ในขณะที่รถพวงมาลัยซ้ายปุ่มควบคุมจะอยู่ใกล้เข้ามาสำหรับคนขับที่ถนัดขวา เช่นเดียวกับตำแหน่งเกียร์ชัดเจนว่าออกแบบสำหรับประเทศที่ขับฝั่งตรงข้าม ทำให้ก้านเหล็กต้องโค้งทำมุมเข้ามาหาคนขับเพื่อให้สับเกียร์ได้ถนัด แต่หากเป็นไปได้ผมอยากให้ตำแหน่งอยู่ใกล้กว่านี้อีกเล็กน้อย
แต่ตำแหน่งการนั่งของคนขับโดยรวมถือว่าดีกว่าที่คาด อย่างที่รู้อยู่ก่อนแล้วว่าพวงมาลัยจะอยู่ห่างออกไป และแป้นคันเร่งจะใกล้กว่าที่คุณคุ้นเคย ถึงจะไม่แตกต่างจากรถอิตาเลี่ยนคันอื่นๆ ในยุคเดียวกัน ผมมั่นใจว่าเครื่องยนต์ต้องมีอาการติดขัดในบางจังหวะ แต่คงไม่มีสิ่งใดจะสง่างามเท่ากับการเร่งรอบเครื่องยนต์เก่าแก่ของ Ferrari ในช่วงที่อากาศเย็นแบบนี้ และผมอยากจะเห็นว่าตัวเองจดจำอะไรได้บ้าง เมื่อบิดกุญแจปั๊ม 3-4 ตัวเริ่มส่งแรงบิดเข้าสู่คาร์บูเร็ตเตอร์ของ Webber พอเครื่องยนต์สตาร์ท แล้วปล่อยเท้าออกจากคันเร่ง คุณจะได้ยินเสียงเหมือนเครื่องยนต์สำรอกบางอย่างออกมาแทบจะทันที เป็นการปลุกให้ชิ้นส่วนต่างๆ ตื่นจากการหลับใหล เสียงที่ได้ยินบ่งบอกถึงการทำงานที่เพอร์เฟ็กต์ ราว 2 วินาทีหลังจากการสตาร์ทเครื่องยนต์ที่สุดจะราบรื่น เครื่องยนต์ 3.3 ลิตร Quad-cam V12 Colombo ฟื้นคืนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยที่ผมไม่จำเป็นต้องกดคันเร่งเพื่อช่วยเหลือใดๆ ลูกสูบทั้ง 12 ตัวทำงานได้ถูกต้องตั้งแต่แรก
น่าเสียดายที่สภาพอากาศไม่เป็นใจ และรถยนต์ก็ต้องการน้ำมัน –ขั้นตอนการเก็บรักษารถยนต์ของ Bob Houghton จะถ่ายน้ำมันออกมาให้เหลือน้อยที่สุดเผื่อกรณีเกิดการเสื่อมสภาพ ทำให้ไฟสัญญาณเตือนน้ำมันเริ่มกะพริบ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะขับ Ferrari เครื่องยนต์ Four-cam ออกไปหาปั๊มน้ำมัน การเดินทางของผมเริ่มต้นจากแนวเทือกเขาเข้าสู่ใจกลางหุบเขาของเวลส์ ก่อนจะเข้าสู่ชั่วโมงเร่งด่วน ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ได้เตรียมพร้อมมาล่วงหน้าสำหรับความสุขของผมในการขับ 275 GTB เป็นครั้งแรก แต่ไม่ได้มีผลใดๆ และต้องผะวงกับการขับเข้ามาใกล้ๆ ของรถตู้สีขาว จนทำให้ผมต้องขับให้ช้าลงท่ามกลางพื้นถนนที่เต็มไปด้วยน้ำ
ถึงอย่างนั้นเจ้า Ferrari คันนี้ไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่เกิดขึ้น นับเป็นสิ่งที่มีความสุขอย่างมาก คงมีเพียงไม่กี่คนที่มีความสามารถพิเศษในการทำให้คาร์บูเร็ตเตอร์มากมายทำงานได้อย่างสอดคล้องกันแบบนี้ รอบเดินเบาของเครื่องยนต์ที่พร้อมจะให้คุณสัมผัสความตื่นเต้นเมื่อกดคันเร่งลงไปเพื่อให้พุ่งทะยาน เสียงจากท่อไอเสียที่สวยงามทำให้ทุกคนอยากจะได้ยินอย่างไม่สิ้นสุด ระบบเกียร์เป็นอีกจุดที่น่าชื่นชม ถึงตำแหน่งจะอยู่ห่างออกไปจนทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนได้ฉับไวเหมือนปกติ แต่ก็ถือว่าไม่ได้ยุ่งยากอะไร การเปลี่ยนเกียร์ทุกครั้งทำได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจ่ายน้ำมันที่ยอดเยี่ยม
และแน่นอนว่ารถคันนี้ยังให้ความรู้สึกสไตล์วินเทจ ผมก็รู้ว่าตัวเองคงไม่เซอร์ไพรส์กับสิ่งเหล่านี้เท่าไร ผมคิดแบบนั้นเพราะการติดตั้งระบบ Transaxle และช่วงล่างแบบอิสระเป็นครั้งแรกในรถ Ferrari ยุคใหม่ ไม่ได้สร้างความพิเศษใดๆ ระบบช่วงล่างอาจจะเป็นงานศิลปะชั้นสูงในปี 1964 แต่องค์ประกอบของโครงสร้างรวมไม่ได้พัฒนาตาม ในวันนี้ผมเลือกจะไม่วิจารณ์ในรายละเอียด แต่ต้องการแสดงให้เห็นว่าหลังจากได้ขับบนถนนจริงท่ามกลางสายฝน หากจะพูดด้วยความสัตย์จริงมันให้ความรู้สึกของรถในยุค 50 มากกว่ากลางยุค 60 จนทำให้ขาดความน่าหลงใหลบางอย่าง และทำให้ Daytona ที่เป็นโมเดลรุ่นถัดมาให้ความรู้สึกเหมือนคนหนุ่มอายุน้อยกว่า 10 ปีเลยทีเดียว
ผมไม่ได้เจอเพียงแค่สถานีบริการน้ำมัน Tesco ในเมืองอเบอร์เดร์ แต่ยังมีตัวเลือกเป็นออกเทน 99 เมื่อน้ำมันเต็มถัง ทุกอย่างอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม และเส้นทางห่างไกลออกจากตัวเมือง ในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึง ผมควรจะต้องระมัดระวังมากแค่ไหน? แน่นอนว่ารถคันนี้มีการทำประกันภัยในตัวเลขหลักล้าน และพื้นถนนที่เต็มไปด้วยน้ำ แน่นอนว่าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ถึงจะมีบางสิ่งที่ผมไม่เคยอ่านเกี่ยวกับรถคันนี้ และหลายสิ่งที่มีผู้คนแนะนำ แต่ผมไม่เคยขับรถรุ่นนี้มาก่อน และพวกคุณคงไม่อยากอ่านเรื่องของอัตราเร่งเท่าไรนัก ทำให้ผมเลือกที่จะขับออกไป: ด้วยความระมัดระวังที่สุด, ทำตามความเหมาะสม และความเคารพ แต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม
แทบจะทันทีเมื่อถนนบนภูเขาเปิดโล่ง ผมเปลี่ยนลงมาสู่เกียร์ 2 เพื่อทดสอบเครื่องยนต์ Colombo ที่แทบจะไม่มีเสียงกรีดร้องโหยหวนเหมือนเครื่องยนต์อื่นๆ หากทำแบบเดียวกัน สิ่งที่คุณจะได้สัมผัสคือความเป็นนักล่า เพียงแค่ตั้งสมาธิอาศัยการฟังเสียงรอบเครื่องยนต์ที่เข็มจะค่อยๆ เคลื่อนผ่าน 4000, 5000 และ 6000 รอบ/นาที เครื่องยนต์เหมือนจะรองรับได้มากกว่านั้น รอบสูงสุดอยู่ที่เท่าไร? ไม่มีใครให้คำตอบได้ และผมเลือกหยุดที่ 7000 รอบ/นาที โดยเหลืออีกประมาณ 1000 รอบก่อนจะเข้าสู่เขตอันตราย พร้อมกับเสียงความเร็วของรถที่น่าประทับใจไม่รู้ลืม
มันรู้สึกว่าเป็นรถที่เร็ว แม้ว่าจะมีกำลังเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 52 แรงม้าจากรุ่นปกติ Daytona มีสมรรถนะที่นำหน้าแบบคนล่ะโลก แต่มันสำคัญหรือไม่? อาจจะไม่เลย เพราะ Honda Civic Type-R อาจจะแซงรถทั้ง 2 คันทิ้งแบบไม่เห็นฝุ่น แล้วอะไรคือความเหมาะสมของสมรรถนะที่รถยนต์ควรจะมี ต้องถือว่าประสิทธิภาพการควบคุมมีความพิเศษ ระหว่างการขับอาจจะมีบางช่วงที่สูญเสียการควบคุม แต่คุณเพียงขยับมือเพียงไม่กี่ครั้งก็จะสามารถควบคุม GTB ให้กลับมาอยู่ในสถานการณ์ปกติ
ข้อมูลที่เพิ่มเข้ามาคือการใส่ยาง 205 VR14 Michelin XWX มีส่วนทำให้พวงมาลัยไม้ควบคุมได้ง่ายกว่าเดิม หากเทียบกับยางไร้ชื่อที่ติดตั้งมาในรถตอนผลิตออกมาครั้งแรกเมื่อหลายทศวรรษก่อน ทำให้ล้อหน้ามีประสิทธิภาพในการเกาะถนนที่ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกับล้อหลังที่มีการออกตัวที่สุดยอด ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณตำแหน่งชุดเกียร์ที่ถูกติดตั้งใหม่ แม้กระทั่งระบบเบรกที่หลายครั้งถูกวิจารณ์ว่าเป็นจุดอ่อนที่สุดของรถรุ่นนี้ ก็ดูเหมือนจะทำงานได้อย่างดี บางทีฝนที่ตกอยู่ตลอดอาจช่วยทำให้อุณหภูมิผ้าเบรกไม่สูงมากนัก และหากมีโอกาสขับในสนามแข่งคงจะได้สัมผัสความแตกต่างมากกว่านี้ แต่ตอนนี้ผมบอกได้เพียงสิ่งที่ตัวเองได้สัมผัส บนถนนแห่งนี้ท่ามกลางสภาพอากาศที่เผชิญ ทั้งหมดถือว่าน่าพอใจแล้ว
แต่ขณะที่ผมต้องเขียนเกี่ยวกับ 275 GTB/4 ในคอลัมน์นี้ เพื่ออธิบายให้คุณผู้อ่านรับรู้ถึงสมรรถนะของรถยนต์คันนี้, ความรู้สึกในการควบคุมพวงมาลัย และประสิทธิภาพการหยุดรถ ความลับในการเข้าถึงความสุดยอดของรถคันนี้คือการไม่คิดในแบบนั้นอย่างเด็ดขาด ในด้านความเร็ว บนถนนที่เปิดโล่ง แต่มีน้ำเจิ่งนองแบบนั้น คุณทำได้เพียงรักษาระดับความเร็วไม่ให้สูงเกินไป และไม่ต้องกระทืบลงไปที่เบรก กดคันเร่งจนมิดเพื่อพุ่งออกจากโค้ง ทั้งหมดที่คุณทำเพียงแค่กำหนดจุดหมาย มือ และเท้าทำงานร่วมกัน เมื่อเข้าสู่โค้งกำลังเครื่องยนต์ปรับลดลงอย่างเหมาะสม ก่อนจะส่งกำลังสร้างอัตราเร่งเมื่อคุณกลับสู่ทางตรง อัตราเร่งที่ดุดันสร้างความเชื่อมั่นว่ารถคันนี้สามารถตอบสนองได้มากกว่าที่เคยผมเคยมีประสบการณ์กับรถคันอื่นๆ ด้วยการออกแบบที่ลงตัว สมดุลการควบคุมพวงมาลัย และความก้าวหน้าของระบบส่งกำลังทำให้สัมผัสถึงความแรงที่มีความอ่อนโยนเหมือนโชว์บัลเล่ต์ และสิ่งหนึ่งที่ผมจดจำได้มาตลอดคือเสียงเครื่องยนต์ที่มีความสวยงามที่สุดเท่าที่หูของผมเคยสัมผัส
ในท้ายที่สุดผมไม่สนใจว่าสภาพถนนในวันนี้จะเป็นอย่างไร เพราะด้วยรถคันนี้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความยอดเยี่ยม และเมื่อผมได้เห็น Malcolm Griffiths ช่างภาพของเราสามารถใช้ประโยชน์จากสภาพอากาศที่เลวร้ายบันทึกภาพต่างๆ ผ่านเลนส์ของเขา ก็นับเป็นเรื่องที่ผมยินดีอย่างที่สุด
แต่คงไม่มีสิ่งใดที่ผมรู้สึกยินดียิ่งไปกว่าเมื่อ John Corrie เจ้าของ 275 GTB/4 ได้ส่งเอกสารประวัติการครอบครองรถที่ระบุว่าครั้งแรกที่ถูกขายออกไปในปี 1967 ผู้ซื้อไม่ใช่ใครอื่น Michael Salmon ระหว่างที่เขาทำงานให้ Maranello Concessionaires จากนั้นรถถูกขายต่อให้คนอื่น ก่อนที่ Michael จะซื้อกลับมาในปี 1972 และอยู่กับเขาจนกระทั่งขายให้ John เมื่อราว 40 ปีที่แล้ว และนำกลับมาสู่เกาะอังกฤษ ย้ายทะเบียนจากเจอร์ซี่ย์ และเปลี่ยนป้ายทะเบียนจากเดิม PMS 12 ของ Michael และทำให้ผมเพิ่งรู้ว่าถึงจะรู้จัก Michael มาตั้งแต่เด็ก แต่เพิ่งจะเมื่อสัปดาห์ก่อนที่ผมรู้ว่าชื่อหน้าจริงๆ ของเขาคือ Peter ผมไม่เคยรู้ถึงความเกี่ยวข้องมาก่อนเลย และต้องขอบคุณ John สำหรับความเชื่อใจที่มีต่อผมด้วยการมอบรถ 275 GTB/4 มาให้ลองขับในวันที่สภาพอากาศย่ำแย่ และที่ไม่อาจจะลืมได้ Michael ผมอยากจะขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง
////////////////////////////////////////////////////////////////
Specification
เครื่องยนต์ V12 3286 ซีซี กำลังสูงสุด 300 แรงม้า @8000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 232 ปอนด์ฟุต @6000 รอบ/นาที ระบบเกียร์ ธรรมดา 5 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง
ระบบช่วงล่าง หน้า-หลัง Double Wishbones, Coil springs, Telescopic Dampers, Anti-roll Bar
ระบบพวงมาลัย Worm-and-roller, Unassisted
ระบบเบรก Solid discs ด้านหน้า 279 มม. ด้านหลัง 275 มม.
ขนาดล้อ อัลลอยด์ 7×14 นิ้ว ขนาดยาง 205 HR14 น้ำหนักรถ 1208 กก.
แรงม้าต่อน้ำหนัก 252 แรงม้า/ตัน 0-60 ไมล์/ชม. 5.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 165 ไมล์/ชม.
ราคาจำหน่ายในปี 1966 6,516 ปอนด์ (125,000 ปอนด์หากเทียบเป็นค่าเงินปัจจุบัน) มูลค่าในปัจจุบัน มากกว่า 2 ล้านปอนด์
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น