เสียงของเครื่องยนต์ “Colombo” V12 ที่ถูกเร่งรอบขึ้นไปสูงจนส่งเสียงหวานออกมาสามารถที่จะสร้างความประทับใจให้คุณได้ทุกครั้งร่างกายของคุณจะตอบสนองกับมันเหมือนเคย ดวงตาเบิกกว้าง หัวใจเต้นด้วยความเร่าร้อนเฟอร์รารี่ 330GTC “ของเรา” คันนี้ก็ไม่ต่างกันมันส่งเสียงราวกับวงนักร้องประสานเสียง แต่นี่เป็นเพียงหนึ่งในเสน่ห์อันน่าประทับใจของมันเท่านั้น 330 GTC นี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสุดยอดรถ GT แห่งยุคสมัยเพราะมันมีส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมกับประสิทธิภาพในการใช้งานรวมไปถึงรูปร่างที่สละสลวยน่าหลงใหล มันมีองค์ประของรถGT ในยุค 60s ของ Maranello อยู่ครบถ้วน ซึ่งนั่นอาจทำให้คุณอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไม 330 GTC คันนี้ถึงไม่โด่งดังเหมือนกับรถรุ่นอื่นๆจากค่ายม้าลำพองแห่งนี้
นิยามของรถเฟอร์รารี่รุ่นคลาสสิคคือโด่งดังและโดดเด่น พวกมันมีชื่อเสียงไปทั่วแต่ก็ได้รับความนิยมไม่เท่ากัน ซึ่งพอเป็นรถ GT เครื่องยนต์วางหน้า–ขับเคลื่อนหลังอย่าง 330 GTC แล้วมันจะไม่ได้รับความสนใจและมักจะไม่ถูกกล่าวถึงเหมือนกับรถไฮเปอร์คาร์หรือรถจากสนามแข่งที่เร้าอารมณ์มากกว่ารถในยุคนั้นบางรุ่นก็พยายามที่จะหลีกหนีจากรูปร่างหรือสไตล์เดิมๆและนั่นก็เป็นจุดเด่นของ 330GTCคุณอาจไม่รู้สึกตื่นตะลึงกับมันมากนักในวันที่มันเปิดตัว อาจมีแค่คนกลุ่มเล็กๆกลุ่มนึงเท่านั้นที่เปิดใจและให้ความสนใจกับมัน พวกเขาสนับสนุนสิ่งที่แตกต่างออกไปแต่ในขณะเดียวกันก็เก็บงำอะไรบางอย่างเอาไว้
ในขณะที่วันเปิดตัวที่ประเทศอังกฤษ ราคาของ 330 GTC เท่ากับ 6,150 ปอนด์ และ 275 GTB/4 ก็มีราคาเท่ากันในวันนี้ 330 GTC ที่อยู่ในสภาพดีอาจมีราคา5 แสนปอนด์ แต่ GTB จะมีค่าตัวมากกว่ามัน 2เท่าแน่นอนว่าในทางสมรรถนะแล้วมันไม่ได้ดีกว่ามากขนาดนั้น แต่คุณค่าของมันก็ไม่อาจวัดได้ด้วยราคา ของที่ไม่มีค่าสำหรับใครคนหนึ่งอาจมีค่ามากพอที่จะแลกด้วยชีวิตของใครอีกคนก็เป็นได้
330 GTC เป็นรถที่ยอดเยี่ยมมันเปรียบเหมือนเพลงเมดเล่ย์ของเฟอร์รารี่ยุค 60s เลยทีเดียว มันเปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม ปี ค.ศ.1966ที่เจนนิวามอเตอร์โชว์ มันถูกวางตัวอย่างพอดิบพอดี ระหว่าง 275 GTB กับ 330 GT 2+2ที่ออกแบบโดยTomTjaardaมันหยิบยืมโครงรถที่มีความยาวฐานล้อสั้น(2400 มม/94.5 นิ้ว)และช่วงล่างหลังอิสระจากรถรุ่นก่อน นี่ถือเป็นการตัดสินใจที่ดีเพราะไม่กี่เดือนต่อมาGTB ได้พิสูจน์ตัวมันเองในการแข่งขันเลอมัง 24 ชั่วโมง (จบการแข่งขันเป็นลำดับที่ 8 Over All)ซึ่งเป็นเฟอร์รารี่รุ่นเดียวที่จบการแข่งขันในครั้งนั้น
รูปร่างหน้าตาของ 330 GTC นั้นถูกออกแบบด้วยความร่วมมือกับ Pininfarinaมันมีความคล้ายคลึงกันกับรถรุ่นอื่นๆ อย่างเช่น ด้านหน้าซึ่งเหมือนกับ500 Superfast และข้างหลังที่ถูกหยิบยืมมาจาก 275 GTSเหมือนจะมีเพียงส่วนกลางรถเท่านั้นที่ถูกออกแบบขึ้นมาใหม่ แต่ถ้าหากจะลองไปเปิดแคตาล็อคเก่าๆดูแล้วหล่ะก็จะเห็นกลิ่นอายของ Pininfarinaที่แฝงอยู่อย่างแน่นอน แม้ว่าบริษัทจาก Turin แห่งนี้จะไม่ค่อยยกเครดิตการออกแบบให้กับตัวบุคคล พวกเขาเน้นการสร้างผลงานกันเป็นทีมมากกว่า แต่เมื่อไม่นานมานี้ Aldo Bravarone อดีตนักออกแบบของ Cisitaliaได้รับเครดิตในการเป็นผู้ออกแบบหลักของ 330 GTC ผลงานอื่นๆของเขาที่เป็นที่รู้จักได้แก่ 400 Superamecirana Coupe Aerodinamico, 500 Superfast และ Dino BerlinettaSpecialeซึ่งเป็นต้นแบบของ 206 GT
ภายใต้รูปลักษณ์ที่สวยงาม330 GTC มีส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างสิ่งที่หยิบยืมมาจากรถรุ่นเก่ากับสิ่งที่ออกแบบขึ้นมาใหม่ณ.วันที่เปิดตัวทางโรงงานเคลมว่าเครื่องยนต์ V12 ของเขามีแรงม้าเท่ากับ300แรงม้าหากมองย้อนกลับไปในยุคนั้นแม้ว่าเครื่องที่ถูกจูนมาอย่างดีแรงม้าที่สูงถึง300แรงม้านั้นอาจดูเกินจริงไปสักหน่อยอย่างไรก็ตามเครื่องยนต์Type 209/66ก็ถือเป็นเครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยมเครื่อง V12 วางทำมุม 60 องศา มีปริมาตรกระบอกสูบ3,967ซีซีฝาสูบและเสื้อสูบทำจากโลหะหล่อ–ผสมและสวมด้วยปลอกสูบเหล็กชาร์ปอก(Crankshaft mail bearing)ทั้ง7คู่ที่กัดขึ้นจากแท่งเหล็ก(Billet steel)ซึ่งนี่เป็นการผลิตที่ใช้เวลาและแรงงานสูงแต่คุ้มค่า แคมชาฟท์เดี่ยวในแต่ละข้างขับด้วยโซ่ คาร์บูเรเตอร์รุ่น 40 DFITwin Choke ของ Weber ทั้งหมด 3 ตัว อัตราส่วนกำลังอัด 8.8:1 ทั้งหมดนี้ทำให้เฟอร์รารี่เคลมว่ามันมีทอล์คสูงถึง288lbftที่5,000 rpm
330GTC ก็เหมือนFerrari ในยุคนั้นมันถูกออกแบบขึ้นด้วยเทคโนโลยีร่วมสมัยผสานเข้าวิถีที่มีเกียรติประวัติยาวนานเกียร์ 5 สปีดและเฟืองท้ายที่ถูกรวมเป็นชุดเดียวยึดเข้ากับตัวรถด้วยแท่นเกียร์ยางเพื่อลดการสั่นสะเทือน มันวางอยู่ด้านหลังของรถและเชื่อมไปหาเครื่องยนต์ด้วยเพลากลางช่วงล่างหน้า–หลังเป็นแบบปีกนกคู่โช้คและสปริงของ Koniพร้อมด้วยเหล็กกันโคลงทั้งหน้าและหลัง เบรกหน้า–หลังเป็นแบบดิสเบรกขนาดใหญ่และพวงมาลัยแบบ Worm-and-Roller บอดี้ทำจากเหล็กถูกเชื่อมและขันน็อตเข้ากับโครงแชสซีแบบขั้นบันไดเสริมความแข็งแรงด้วยโครงสร้างแบบ Multi-tubular
สเป็คที่ให้ไว้จากทางโรงงานไม่เกินจริงนัก ความเร็วสูงสุด152 mph (ไมล์ต่อชั่วโมง)อัตราเร่งจาก 0-60 mph เท่ากับ 6.5 วินาที ซึ่งภายหลังมันถูกทดสอบเวลาควอเตอร์ไมล์และผลที่ได้คืออยู่ในช่วงเวลา 14 วินาที ผู้ทดสอบจากนิตยสารต่างหลงรักมัน อย่างเช่นที่นิตยสาร Car & Driver กล่าวไว้ว่า “GTC เป็นรถที่แสดงถึงรสนิยมที่ลงตัว มีการผสมผสานรูปร่างที่เตี้ยและดุดันของรถแข่ง GT เข้ากับความหรูหราของรถถนนในแบบของเฟอร์รารี่ในอดีต มันดูสุดยอดในทุกๆแง่มุมไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดต่างๆ การเลือกใช้วัสดุ การติดตั้งอุปกรณ์ภายใน ฯลฯ”
อดีตนักแข่ง F1 และพนักงานทดสอบรถของเฟอร์รารี่ Paul Frere ให้สัมภาษณ์และชื่นชมกับนิตยสารมอเตอร์ว่า 330 GTC มีแฮนด์ลิ่งที่ดีเหมือนกับเฟอร์รารี่ทุกคันที่เขาเคยขับมา มันให้ความรู้สึกที่เป็นกลาง(ไม่โอเวอร์หรืออันเดอร์เกินไป)แต่มีความแม่นยำในการบังคับเลี้ยวมากขึ้นเห็นได้ชัดจากการทดสอบในสนามโดยเฉพาะช่วงเข้าโค้งรูปตัวSที่มีความใกล้เคียงกับรถแข่งเลยทีเดียวนี่ถือเป็นคำชื่นชมที่น่าภาคภูมิใจเพราะ Paulนั้นเคยชนะการแข่งขัน24Hours of Le Mansมาแล้ว จากนั้นเขาได้มีโอกาสไปขับเพื่อทำสติถิความเร็วสูงสุดให้กับ 330 GTC ผลที่ได้เท่ากับ 146 mphซึ่งจริงๆแล้วมันสามารถไปได้เร็วกว่านั้นแต่เขาต้องลดความเร็วเพื่อความปลอดภัยของผู้ร่วมใช้ถนนในวันนั้น
GTC มีรถรุ่นที่ออกมาคู่กันคือ330 GTSSpyderโดยมีกลุ่มเป้าหมายคือเหล่าเศรษฐีในประเทศสหรัฐอเมริกา มันมีส่วนประกอบทางเครี่องยนต์กลไกทุกอย่างเหมือนกัน แต่มีหลังคาแบบเปิดประทุนทำให้มันมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 110 kg นั่นทำให้มันทำความเร็วสูงสุดได้น้อยกว่า อยู่ที่ราว146 mph (ตามที่เฟอร์รารี่ระบุ)และด้วยค่าตัวที่สูงขึ้นราว15,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ส่งผลให้มันขายได้เพียง 100 คันเท่านั้น ขณะที่GTC มียอดขายถึง600 คัน
ในบรรดารถที่ขายไปเหล่านั้นมีเพียง 22 คันเท่านั้นที่เป็นรถพวงมาลัยขวานี่อาจจะเป็นตัวอย่างของรถเฟอร์รารี่ที่ไม่ถึงกับเพอร์เฟค แต่ก็สวยงามและให้ความเพลิดเพลินในการขับขี่ ซึ่งตรงกับเป้าหมายในการออกแบบของเฟอร์รารี่แล้ว Bill กับ Sara Billett เป็นเจ้าของรถคันนี้มา 13 ปีพวกเขาพามันออกมาวิ่งเล่นอยู่เป็นประจำซึ่งสะท้อนให้เห็นประสิทธิภาพในการขับขี่ของเฟอร์รารี่ได้เป็นอย่างดี นั่นคือมันยอดเยี่ยม
ภายนอกของ 330 GTC มีส่วนบอดี้พาร์ทที่ชุบโครเมี่ยมไม่มากนัก ชิ้นส่วนเหล่านั้นถูกติดตั้งไว้เพื่อเพิ่มความสง่างามให้กับมันได้อย่างพอดี สิ่งที่ทำให้มันดูสวยงามและทรงพลังมากนั้นคือรูปร่างที่ลงตัว หน้ารถที่ยาวประดับด้วยกันชนหน้าชุบโครเมี่ยมสองชิ้น ซ้าย–ขวา ทรงคล้ายงาช้าง มีเส้นสันข้างตัวรถที่ลากยาวเชื่อมจากหน้ารถไปถึงด้านหลังรถที่สอบเข้าและลาดลงเล็กน้อย ทั้งหมดถูกครอบไว้ด้วยหลังคาที่มีเสา A และ C เรียวเล็กทำให้มีพื้นที่ที่เป็นกระจกมากเผยให้เห็นทิวทัศน์รอบด้านชัดเจน 330 GTC คันนี้มาพร้อมกับล้อสุดคลาสสิคของ Borraniแบบโครงลวดที่มีใบพัดเล็กๆตรงกลาง
รูปร่างของ 330GTC นั้นเพรียวกว่าที่เห็น มันมีความกว้าง1,626 mm (64 นิ้ว) เมื่อเทียบกับ Dino 275 GT แล้วมันแคบกว่าถึง 3 นิ้ว ความยาวของรถเท่ากับ 4,505 มม (177.4 นิ้ว) และสูงแค่ 1,214 มม (51.7 นิ้ว)จากพื้นถนน นี่ทำให้มันไม่สิ้นเปลืองพื้นที่มากนัก สิ่งที่ยากที่สุดในการออกแบบน่าจะเป็นการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆลงไปในรถร่างเล็กเช่นนี้ อย่างไรก็ตามด้วยส่วนประกอบทั้งหมดที่กล่าวมานั้นมันเป็นรถ “Granturismo” ที่ดีคันหนึ่ง
มาถึงส่วนของภายในตัวรถ เริ่มจากที่นั่งคนขับที่วางตำแหน่งไว้ได้พอดีไม่เตี้ยเหมือนกับรถรุ่นอื่นๆในตระกูลเดียวกันซึ่งส่วนมากจะต้องก้มแล้วค่อยๆทิ้งตัวลงไป สิ่งแรกที่สังเกตุเห็นเมื่อเข้ามาในรถคือแผงหน้าปัทม์และคอนโซลไม้ทั้งหมดถูกเคลือบเงาแทนที่จะเป็นเคลือบด้านเหมือนตอนออกจากโรงงาน นี่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป นอกจากนั้นแล้วอุปกรณ์ทุกชิ้นยังคงเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เกจ์วัดต่างๆของ VegliaBorlettiมาในโทนพื้นสีดำ–อักษรสีขาวได้รับการจัดวางอย่างดีบนแผงหน้าปัทม์ ต่างกับรถของคู่แข่งในยุคนั้นหน้าปัทม์บอกความเร็วขนาดใหญ่วางคู่กับเกจ์วัดรอบและระหว่างเกจ์ทั้งสองมีเกจ์วัดขนาดเล็กลงมาอีกสามชิ้นที่บอกถึงอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น,อุณหภูมิน้ำมันเครื่องและแรงดันน้ำมันเครื่องบริเวณกลางคอนโซลหน้ายังมีเกจ์วัดอีกสามตัวติดตั้งอยู่แต่พวกมันจะมองเห็นค่อนค่างยากหากยังไม่คุ้นเคยถัดมาด้านล่างก็จะพบกับแผงสวิตช์เปิด–ปิดหนึ่งชุดเรียงตัวอยู่ซึ่งอาจทำให้คุณสับสนเล็กน้อยว่ามันมีไว้ควบคุมอะไรบ้าง พวงมาลัยNardiวางในมุมค่อนข้างเอนไปด้านหน้าตัวรถ(นิตยสารต่างประเทศถึงกับเปรียบเทียบมุมพวงมาลัยว่าเหมือนกับ”รถบัส”)ทำให้ท่านั่งในการขับขี่เป็นแบบแขนเหยียดตรงแต่ขายังงอและกางออกเล็กน้อย พอขับไปซักพักก็จะเริ่มชินและไม่รู้สึกแปลกอะไร
ตามปกติเวลาสตาร์ทรถเฟอร์รารี่รุ่นคลาสสิคเรามักจะเจอกับดราม่าอะไรหลากหลายทั้งลุ้นและตื่นเต้น(เพราะมันมักจะค่อนข้างใช้เวลากว่าจะติดเครื่องยนต์ได้) แต่วันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นเครื่องยนต์ V12 สตาร์ทติดง่ายพร้อมส่งเสียงบรรเลงขึ้นอย่างไพเราะ มันเป็นเหมือนเสียงเพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุดและดังกังวานอย่างมาก มันทำให้คุณอดใจไม่ได้ที่จะลองเร่งคันเร่งและมีความสุขไปในห้วงเวลานั้น รูปแบบการเข้าเกียร์เป็นเหมือนกับรถรุ่นอื่นๆของเฟอร์รารี่ในยุคนั้นคือแบบ “Dog-Leg” (เกียร์ 1 อยู่ตำแหน่ง ซ้าย–หลัง)*1แป้นครัชค่อนข้างนิ่มเชื่อมต่อกับครัชแบบแผ่นเดียว (Single-plate)ผมเข้าเกียร์หนึ่งและเริ่มเหยียบคันเร่งเพื่อออกรถ คันเร่งของมันค่อนข้างที่จะตอบสนองไวมากจังหวะในการเข้าเกียร์ 2ให้ความรู้สึกกึกกักเล็กน้อยเหมือนมีแรงต้านของสปริง ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากน้ำมันเกียร์ที่ยังไม่ร้อนหรืออาจเป็นเพราะกลไกการเปลี่ยนเกียร์ที่เชื่อมระหว่างคันเกียร์กับเกียร์ที่รวมกับชุดเฟืองนั้นไกลและมันก็ให้ความรู้สึกสะท้านมือมากเพราะกลไกเป็นแบบแท่งเหล็กไม่ใช่แบบสายเคเบิ้ล
พอเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นความเร็วรอบก็สูงขึ้นจนถึงเวลาเปลี่ยนเข้าสู่เกียร์ 3 การเข้าเกียร์ต้องใช้แรงพอสมควร เฟอร์รารี่รุ่นนี้ใช้ซิงโครเมชของ Porsche (นั่นรวมไปถึงแพทเทิร์นการเปลี่ยนเกียร์ด้วย) และมันอาจมีแรงต้านนิดหน่อยในเปลี่ยนเกียร์ข้ามร่องเกียร์ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องปกติและคาดการได้ล่วงหน้าจากนั้นผมเปลี่ยนจากเกียร์ 3 สู่เกียร์ 4 อย่างรวดเร็ว ความเร็วรอบเครื่องยนต์ต้องประสานอย่างลงตัวกับความเร็วในชุดเกียร์ นี่อาจฟังดูยากและมีความเป็นไปได้ที่จะผิดผลาดบ่อยครั้งแต่คุณจะคุ้นเคยกับมันได้ไม่ยาก
อัตราการเร่งของเครื่อง V12 ตัวนี้ตอบสนองอย่างดีเยี่ยมในทุกๆเกียร์ ไม่มีอาการรอรอบใดๆ มันมีเสียงที่สุดยอดทั้งกึกก้องและหยาบกร้าน เย้ายวนให้อยากได้ยินเสียงล้อหมุนฟรีหากผมเปลี่ยนเกียร์ลงไปพร้อมกับการสะกิดคันเร่งยิ่งนักมันช่างยากที่จะห้ามใจตัวเองมาถึงตอนนี้ผมเร่งเครื่องขึ้นและค้างไว้ที่รอบสูง (Red-line ที่ 7,000 rpm) เสียงกึกก้องของเครื่องยนต์ก็กระชากเสียงขึ้นกลายเป็นเสียงกรีดร้องแต่ในอีกแง่หนึ่งหากคุณขับมันไปแบบชิลๆเสียงของเครื่องยนต์ก็จะฟังสบายไม่น่ารำคาญแต่อย่างใด จะมีก็แต่เสียงของยางบดไปกับพื้นถนนและเสียงสะท้านจากเสา A เพียงเล็กน้อย
สิ่งที่ 330 GTC ทำให้เซอร์ไพรซ์และตกใจมากที่สุดคือมันให้ความรู้สึกที่เหมือนกับการขับรถแข่งมาก มากกว่ารุ่นที่อยู่ในซีรี่ส์250อย่างไม่ต้องสงสัยบนรถอย่าง 250 GTE หรือกระทั่ง “Lusso” การตอบสนองที่ได้จากรถอาจบอกคุณว่าพวกมันเหมาะกับการขับโลดแล่นไปบนถนนโล่งๆนอกเมืองแบบกึ่ง Cross-country แต่สำหรับ GTC มันจะท้าทายคุณมากกว่านั้น คุณจะรู้สึกได้ว่าคุณนั่งอยู่ใกล้กับล้อหลังเพราะความยาวฐานล้อที่สั้นและนั่นทำให้มันเป็นรถที่ควบคุมง่าย ท้ายของมันเกาะถนนดีเยี่ยมและแทบจะไม่สะบัดเลย ข้อแตกต่างอีกอย่างคือมันให้ความรู้สึกที่เป็นกลางแตกต่างกับรถ GT รุ่นก่อนๆที่มักจะถูกเซ็ทอัพมาให้รถ Understeer เล็กน้อย นี่น่าจะเป็นผลพวงจากการที่มันมีการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 ก็เป็นได้
แม้มันจะควบคุมได้ดีเพียงใดแต่พวงมาลัยของมันก็หนักและใช้แรงมากโดยเฉพาะในย่านความเร็วต่ำ เพราะสุดท้ายแล้วมันก็ยังเป็นรถเฟอร์รารี่จากยุค 60s มันไม่มีระบบช่วยผ่อนแรงใดๆ มันหนักมากในช่วงแรกๆแต่มันจะดีขึ้นเมื่อรถเริ่มวิ่งเร็วขึ้นให้ความรู้สึกที่พอดีหรืออาจจะไวเล็กน้อย แรงสะท้อนจากผิวถนนก็แทบจะไม่รู้สึกไม่มีอาการเหวี่ยง–สะบัดใดๆแม้วิ่งบนพื้นที่ไม่เรียบและเป็นคลื่น ระบบดิสเบรคของมันถูกวิจารณ์อย่างมาก ณ วันที่มันเปิดตัวซึ่งเป็นเรื่องที่ผมค่อนข้างที่จะไม่เข้าใจ ระบบเบรคมาพร้อมกับแม่ปั๊มแบบ Dual-Servo จาก Bonaldi ซึ่งทำหน้าที่แยกและกระจายแรงเบรคเป็น 2 ชุดคือเบรคคู่หน้าและคู่หลัง มันค่อนข้างที่จะไวเกินไปเวลาใช้ความเร็วไม่มากแต่การที่มันจับจานเบรคได้ดีทำให้ควบคุมรถได้ง่ายในช่วงความเร็วสูงรถแบบนี้จะทำให้คุณสนุกสนานไปกับการขับขี่และหากเที่ยบกับบรรดา AstonMartin หรือ Maserati ในยุดเดียวกันมันถูกเซ็ทอัพมาได้ดีกว่ามาก
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่สะท้อนถึงยุคทองของ Maranello GT มันจะทำให้คุณนึกถึงภาพของหนุ่มเพลย์บอยที่มาพร้อมสาวสวยขับรถแล่นเข้ามาในงาน ทุกคนเห็นคุณมาแต่ไกลแล้วคุณก็ขับมาจอดหน้างานอย่างโดดเด่น แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ 330 GTC ยังตกเป็นรองเมื่อเทียบกับ 275GTB ที่ทุกคนหลงรัก แม้ว่าพวกมันจะเป็นเหมือนพี่น้องร่วม DNA แท้จริงแล้วมันสมควรได้รับการยกย่องมากกว่านี้ เจ้ารถซุปเปอร์–คู้เป้ผู้อยู่คู่กาลเวลาคันนี้เป็นของหายาก เป็นเฟอร์รารี่ที่ถูกประเมินค่าต่ำเกินไป แต่ผมมั่นใจว่ามันจะเป็นแบบนี้อีกไม่นาน
ขอได้รับความขอบคุณจากเจ้าของรถ Bill กับ Sara Billett
ตารางสเปก
เครื่องยนต์: V123,967ซีซี / กำลังสูงสุด: 300 แรงม้า ที่ 6,600 รอบต่อนาที / แรงบิดสูงสุด: 288 ปอนด์–ฟุต ที่ 5,000 รอบต่อนาที / ระบบส่งกำลัง: เกียร์ธรรมดา 5 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง / ช่วงล่างหน้า–หลัง: ปีกนกคู่ โช้คอัพ สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง / เบรคหน้า–หลัง: ดิสเบรค / ล้อ: 7×14นิ้ว แบบโครงลวด / ยาง: 205VR14 / น้ำหนัก: 1,298 / แรงม้าต่อน้ำหนัก: 235 แรงม้าต่อตัน / 0-60 mph : 6.5 วินาที(ตามสเปกโรงงาน) / ความเร็วสูงสุด: 152 mph(ตามสเปกโรงงาน) / ราคาเปิดตัว: 6,156ปอนด์ / ราคาซื้อ–ขายปัจุบัน: 500,000 ปอนด์
[Note]
*1 :รูปแบบการเข้าเกียร์แบบ Dog-Leg เทียบกับแบบปกติ
[Source: https://en.wikipedia.org/wiki/Dog-leg_gearbox]
330 GTC Shift pattern [Source: Ferrari 330 GTC/S Operating, Maintenance and Service Handbook]
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น