348 มีชื่อเสียงเรื่องการพยศเมื่อเข้าใกล้ลิมิต แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงใช่ไหม? เรานำพวกมันสามคันมาเพื่อค้นหาความจริง
โค้งแคบ รอบๆ ข้างไม่มีอะไรให้ชน มันเป็นสนามส่วนตัว และเจ้าของรถก็ไม่ได้ดูเราอยู่ ผมเลยคิดว่าควรลองแหย่มันดูซะหน่อยดีกว่า แค่จุ่มคันเร่งเนียนๆ อะไรแบบนั้นเพื่อที่จะดูว่าสิ่งที่ผมพูดถึงมันไว้เมื่อหลายปีก่อนจะยังจริงอยู่ไหม “มัน” ในที่นี้คือ Ferrari 348 และเมื่อ 28 ปีก่อน ผมก็เขียนถึงมันเอาไว้ค่อนข้างแรงด้วยการตัดสินให้มันได้อันดับบ๊วยในการทดสอบ Group test ที่มี Porsche 911 กับ Honda NSX ร่วมอยู่ด้วย
ผมไม่ได้ยกคันเร่งด้วยซ้ำ แต่ขณะที่โค้งข้างหน้ากำลังค่อยๆ เปิดออก ผมก็บี้คันเร่งลงไปอีกเพื่อให้มันออกอาการ จังหวะนี้แหละที่แป้นคันเร่งดูเหมือนจะพาผมข้ามเวลากลับไปหาอดีตได้เป็นอย่างดี ท้ายของ 348 เริ่มสไลด์ แต่ปรากฏว่ามันไปแบบสุขุมซะจนผมคิดว่ามันคงไม่น่าจะมีอะไรแล้ว ผมคืนพวงมาลัยเล็กน้อยและกรอคันเร่งเอาไว้ พร้อมกับหวังว่าท่าสไลด์สวยๆ ตอนนี้คงจะดูดีในรูปถ่ายไม่น้อย จากนั้นมือผมก็เริ่มขยับเลยตำแหน่งตั้งตรง แล้วมันก็หลุดไปเลย รถหมุนกลับ 180 องศา เร็วกว่าที่ผมจะพูดว่า “แก้พวงมาลัย” จบซะอีก ไม่มีอะไรเสียหาย แต่ผมเกลียดเวลาที่ทำรถเสียการควบคุม โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นรถของลูกค้าแบบหนนี้ ถึงแม้ว่าเจ้าของคนนั้นจะเป็น Stephen Potts ที่สารภาพกับเราทันทีที่มาถึง Bedford Autodrome ว่า “ระหว่างขับมาผมพยายามนึกมาตลอดทางว่า ตอนนั้นทำไมผมถึงซื้อมัน (วะ)…” ก็เถอะ
ถ้าจะบอกว่า Ferrari 348 เป็นรถที่มี “อดีต” ก็คงเป็นการพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว แต่ถ้าให้ลองนึกดูเร็วๆ ผมก็คิดว่าไม่น่าจะมีรถถนน Ferrari รุ่นไหนที่ขัดแย้งได้มากเท่ามันอีกแล้ว จริงอยู่ที่ Dino 308 GT4 ถูกบ่นเรื่องดีไซน์ตัวถังจาก Bertone (แต่ผมกลับชอบนะ) แต่ก็ไม่มีใครเถียงว่าถ้าได้ถนนดีๆ สักสาย มันก็ทำทุกอย่างได้ตามคาดหมาย แล้ว 348 ล่ะ? มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
แต่นั่นก็ไม่ถูกทั้งหมดหรอกครับ ชื่อเสียงของมันในทุกวันนี้อาจจะทำให้คุณคิดว่าไม่มีใครชอบ 348 เลยสักคนตั้งแต่ตอนมันออกใหม่ แต่ผมขอยืนยันว่านั่นไม่จริง มีคนชมมันตั้งเยอะแยะ รวมถึงเพื่อนร่วมงานของผมที่ Autocar ซึ่งขับมันไปงาน Le Mans พร้อมกับขบวน NSX กับ 911 (และถ้าจำไม่ผิดก็มี Lotus Esprit อีกคันด้วย) ที่บอกว่า ถ้าให้เลือกในบรรดารถทั้งหมดนั้น Ferrari คือรถคันที่เขาจะซื้อ
แม้แต่ผมเองก็ยังต้องได้ถูกเปิดโลกทัศน์เลย ผมน่าจะเพิ่งอายุได้ 24 ตอนที่มี 348 ผ่านมือเป็นครั้งแรก และในฐานะอาชีพนักทดสอบรถ ผมก็อาจจะประกาศตัวเองเป็นสาวก Ferrari เร็วเกินไปหน่อย เพราะหลังจากนั้น Gavin Conway พ่อหนุ่มชาวแคนาดาก็เข้ามาทำงานที่นิตยสารเดียวกัน โดยที่ไม่ได้มีภาพยึดติดอะไรแบบนั้นอยู่ในหัว ผมยังจำวันที่โยนกุญแจ 348 ให้เขาพร้อมกับพูดอะไรปัญญาอ่อนอย่าง “ไปลองดูซะว่ารถเจ๋งๆ มันขับเป็นไง” ได้อยู่เลย แล้วก็ต้องอึ้งกิมกี่ตอนที่เขากลับมาถึงแล้วบอกผมว่า “โทษทีว่ะ Andrew ผมไม่เห็นเข้าใจมันเลย คือมันสวยนะ แต่ไม่เห็นจะแรงเท่าไหร่ แถมยังขับยาก แล้วก็ทำผมกลัวแทบตายเลยด้วย”
ถึงมันน่าจะหงุดหงิดแต่เขาก็พูดถูก ตอนอยู่ที่ลิมิตรถไม่ได้แค่ขับยากอย่างเดียว แต่มันยังพร้อมจะแว้งกัดคุณอีกด้วย เรื่องนึงที่ผมนึกขึ้นมาได้ก็คือ มีอยู่ครั้งนึงที่นักข่าวที่มีชื่อเสียงในวงการได้ถูกเชิญไปเป็นแขกบนเบาะนั่งของ 348 ในสนาม Fiorano และคนขับก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นนักทดสอบ Ferrari ชื่อชั้นระดับตำนานอย่าง Dario Benuzzi ปรากฏว่า พวกเขาหมุนกลับหลังหันตั้งแต่ยังไม่ทันพ้นโค้งแรก ก็ถ้าคนฝีมือระดับเทพที่พัฒนามันมาด้วยน้ำมือของเขาเองยังเอามันไม่อยู่ แล้วพวกเราที่เหลือจะไปเหลืออะไรล่ะ? แม้แต่ Luca di Montezemolo ก็ยังพูดถึงมันเอาไว้ว่า “นี่คือผลิตผลที่ย่ำแย่ที่สุดในพักใหญ่ของ Ferrari เลย”
แต่นั่นคือสมัยก่อนและนี่ก็คือตอนนี้ แล้วมันก็มีเหตุผลดีๆ ที่ทำให้เราคิดว่านี่คือช่วงเวลาเหมาะสมสำหรับการกลับมาตรวจเช็คฉายา 348 กันใหม่อีกครั้งพอดี อย่างแรกคือเราจะมองจากคนละหัวโขน สมัยก่อนผมพยายามจะวางตัวเองให้เป็นนักทดสอบสายตาเฉียบแหลม ซึ่งหมกมุ่นอยู่กับสมรรถนะของรถแค่เรื่องเดียวเท่านั้น แต่วันนี้ 348 ไม่ใช่รถที่ล้ำยุคอะไรแล้ว และมันก็เป็นงานศิลปะที่ควรอยู่ในพิพิธภัณฑ์ซึ่งถูกซื้อขายด้วยคนคนละกลุ่ม พร้อมด้วยเหตุผลที่ต่างจากเดิม และในจำนวนเจ้าของรถใจดีทั้งสามคนที่ยอมลางานขับรถมาหาเราถึงสนามแข่งในวันที่หนาวและเปียกโชกนั้น ก็ไม่มีใครสักคนพูดเลยว่านิสัยของรถเวลาถูกหวดเต็มเหยียดนั้นส่งผลอะไรต่อการตัดสินใจซื้อของเขา
อย่างที่สองคือ ไม่ว่าเบื้องหน้า Ferrari จะออกมาคัดค้านคำวิจารณ์ในแง่ลบอย่างหนักหน่วงแค่ไหน แต่เบื้องหลังบริษัทก็รู้อยู่แก่ใจว่ารถรุ่นนี้มีปัญหา และยังออกชิ้นส่วนปรับปรุงใหม่เพื่อแก้ปัญหาพวกนั้นมาเรื่อยๆ จนครบอายุการตลาด ท้ายที่สุดพวกเขาก็ผลิต 348 GTB ออกมา ซึ่งเป็นความพยายามที่จะแก้ชื่อเสียงแย่ๆ ของรถรุ่นนี้เป็นครั้งสุดท้าย ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าตอนนี้จะยังเหลือ 348 สเปกดั้งเดิมที่เราเคยขับสมัยก่อนให้ลองขับอยู่บ้างไหม
แต่วันนี้เรามีพวกมันสามคันคือ 348 tb สีแดงของ Stephen, 348 ts targa สีเทาของ Ralph Palmer และ GTB สีดำของ Tim Christian ทุกคันเดิมสนิท ยกเว้น Tb ที่มีระยะห่างล้อหลังกว้างกว่ามาตรฐาน (เป็นการโมดิฟายยอดฮิตที่มีเป้าหมายคือการแก้โอเวอร์สเตียร์) และช่วงหลังที่หนืดกว่าเดิมนิดหน่อย
แต่ก่อนอื่นเราควรจะมาย้อนรอยถึงที่มาที่ไปของ 348 กันก่อน เพราะจุดตั้งต้นของมันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าการเป็นรถที่จะมาแทน 328 มาก ตอนนั้นมันมีโอกาสว่าจะเป็นรถถนน Ferrari ที่จะพลิกโฉมไปมากที่สุด และเป็นหัวหอกใหม่ของ Maranello แต่มันก็พลาดโอกาสนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
มันยังเป็นรถถนน Ferrari คันแรกที่เลิกใช้โครงสร้างแชสซีส์สเปซเฟรมแบบที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยก่อน ซึ่งเป็นการวางตัวถังครอบลงไปบนแชสซีส์เหล็ก Tubular ง่ายๆ ด้วย และเปลี่ยนมาใช้โครงสร้าง Monocoque แบบพวกรถรุ่นใหม่ ลองย้อนรอยตระกูลของ 488 กลับไปเรื่อยๆ คุณก็จะเจอเองว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมีจุดเริ่มต้นที่นี่กับ 348 รถช่วงล่างแข็ง น้ำหนักเบา และมันวางเครื่อง 3.4 ลิตร V8 บนซับเฟรมที่ที่ต่ำลงไปอีก 5 นิ้ว เมื่อเทียบกับเครื่อง 3.0 ลิตร และ 3.2 ลิตรเดิมใน 308 กับ 328 และเป็นเครื่องที่วางตามยาวอีกด้วยต่างหาก จะเหลือก็แค่เกียร์ที่ยังคงวางขวางแบบเก่าเท่านั้น
เครื่องยนต์มีความเกี่ยวดองกับเครื่องที่ปรากฏตัวครั้งแรกใน 308 GT4 เมื่อปี 1974 แต่ด้วยตัวเลข 300 แรงม้า จากเครื่องแค่ 3.4 ลิตร (และเพิ่มเป็น 320 แรงม้า ใน GTB) ก็คงจะพอบอกได้ว่าเจ้านี่เพาะกล้ามมาโตทีเดียว พละกำลังถูกส่งผ่านเกียร์ 5 จังหวะ รุ่นท้ายสุดของ Ferrari ไปที่ล้อหลัง ซึ่งใช้ช่วงล่างหน้าตาคล้ายกับด้านหน้าแบบวิชโบนคู่แบบไม่สมมาตร
สไตล์ตัวถังของ 348 เป็นผลงานของ Leonardo Fioravanti ที่ Pininfarina ที่เขาคาดหวังว่ามันจะออกมาเป็น Testarossa น้อย แต่สำหรับผมมันดูสวยสบายตากว่ากันมาก จริงอยู่ที่ด้านข้างกับท้ายมีครีบรกไปหมด แต่มันดันออกมาลงตัว นี่คือ Ferrari ที่ออกแบบได้อย่างชาญฉลาด สมส่วน แล้วก็สวยกว่าบรรพบุรุษของมันเยอะ แค่มันไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรก็เท่านั้น
ผมไม่ได้แตะ 348 มาเกือบ 30 ปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงยังรู้สึกคุ้นเคยไปหมด ตำแหน่งนั่งขับดีกว่ารุ่นก่อนๆ มาก พวงมาลัยยังปรับเข้าออกไม่ได้ แต่อย่างน้อยตำแหน่งแป้นเหยียบก็อยู่ลึกเข้าไปมากกว่า Ferrari รุ่นแรกๆ และตำแหน่งพวงมาลัยก็เขยิบเข้ามาใกล้ตัวมากกว่า 348 เป็น Ferrari รุ่นสุดท้ายที่ถูกออกแบบในตอนที่ Enzo Ferrari ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เริ่มเห็นอิทธิพลของ Fiat เข้ามาบ้างแล้วจากก้านไฟเลี้ยวและสวิทช์ต่างๆ มันน่ารำคาญใจ แต่ก็เล็กน้อย..
ผมลองขับ ts ของ Ralph ก่อน พูดกันตามตรงเลยว่าหลังคา Targa ไม่ค่อยจะเวิร์ค มันสั่น มีเสียงอ๊อดแอ๊ด และก็รั่ว แต่ Ralph ก็เอาผ้าขนหนูติดไปด้วยทุกที่ ซึ่งก็พอถูไถไปได้
เราออกมาอยู่บนสนาม รถไม่ได้รู้สึกน่ากลัวมากเท่าไหร่ และผมเดาว่าความแกร่งของตัวถังที่หายไปจากที่มันถูกถอดหลังคาน่าจะช่วยเราในวันนี้ได้มากบนสนามที่เปียกและลื่น คุณจะรู้สึกได้ว่าแชสซีส์มีการหยุ่นตัว แต่อยู่ในระดับที่ไม่มากมายอะไร แล้วเครื่องยนต์ก็แว่วหวานมาก เครื่องทั่วไปมักจะเริ่มจืดเวลาถูกลากรอบไปเกินช่วงทำงานที่พวกมันถูกออกแบบเอาไว้ แต่ไม่ใช่กับเจ้านี่ คุณยังคงจะต้องขับมันในแบบ Ferrari ด้วยการใช้เกียร์ต่ำเพื่อดึงรอบให้สูงถ้าหากจะดึงสมรรถนะของมันออกมาเต็มที่ แต่การได้ยินเสียงเครื่องบรรเลงบทเพลงผ่านแครงชาฟท์ Flat Plane อันเป็นเอกลักษณ์ที่ 7,000 รอบ/นาที คุณก็คงคงไม่อยากจะขับแบบอื่นอยู่แล้ว
แล้วผมก็ดีใจด้วยที่ตอนผมลองค้นหาลิมิตของรถ มันก็ยังเป็นอะไรที่ยากอยู่ หลักๆ เป็นเพราะท้ายรถที่เคลื่อนที่เร็วมาก จนทำให้เป็นเรื่องยากที่มือคุณจะหมุนพวงมาลัยเพื่อรักษาการสไลด์เอาไว้ได้ และด้วยความที่มันไม่มีพาวเวอร์ช่วยผ่อนแรง แร็คพวงมาลัยจึงจำเป็นต้องทดไว้สูงเพื่อให้มันไม่หนักมากเกินไป ฉะนั้นคุณจึงต้องหมุนพวงมาลัยเร็วกว่าและเยอะกว่าที่คุณเจอในพวก Ferrari รุ่นใหม่ๆ ที่แร็คเร็วจี๋ แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันกำลังจะประทุษร้ายอะไรผมหรอกครับ อันที่จริงเรื่องที่ผมเป็นกังวลมากกว่าก็คือเกียร์ต่างหาก เพราะมันดื้อด้านเหมือนกับที่ผมจำได้ตอนหลายปีก่อนเดี๊ยะ ถ้าคุณค่อยๆ เข้ามันอย่างนุ่มนวล ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยดี แต่ถ้าคุณรีบๆ หรือยัดมันอย่างไม่บันยะบันยัง มันจะดีดเกียร์ใส่มือคุณเป็นการเอาคืนและเชื้อเชิญให้คุณออกแรงเยอะขึ้นเพื่อเข้าเกียร์นั้นใหม่
จากนั้นก็มาถึงตา tb ของ Stephen ที่ระยะความกว้างล้อหลังมากกว่า และก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่เกียร์ของมันดีกว่า ts มาก แต่ให้ตายเถอะ คุณต้องระวังมากตอนอยู่ในโค้ง เรื่องที่ท้ายมันดีดออกอย่างกระตือรือร้นนั่นเป็นแค่ส่วนนึงของปัญหา สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคือการที่ทุกอย่างรู้สึกดีมากจนกระทั่งถึงจังหวะที่มันหลุด มันเป็นรถที่ยอดเยี่ยมมากจนกระทั่งถึงจุดนั้น ซึ่งทำให้แม้แต่คนขับที่ระมัดระวังที่สุดก็ยังหลงกลได้
348 GTB ไม่เหมือนคันอื่น มันมีซับเฟรมหลังที่แก้ดีไซน์ใหม่ จุดยึดช่วงล่างใหม่ รวมไปถึงตำแหน่งการจัดวางและเรทของสปริงที่ต่างจากเดิม แล้วมันก็รู้สึกแตกต่างจริงๆ ผมจำไม่ได้ว่าเคยอ่านมาจากไหนว่ามันนุ่มนวลขึ้น แต่ถึงแม้จะเจอสปริงเบอร์แข็งของ Tim เข้าไปแล้ว GTB ก็ยังวิ่งในแทร็กได้สบายก้นกว่า แถมยังดูพริ้วและลื่นไหลกว่าด้วย ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองจับแรงม้า 20 ตัว ที่เพิ่มขึ้นมาจากเครื่องที่ใช้อัตราส่วนกำลังอัดสูงขึ้น แก้องศาการทำงานแคม และกล่องควบคุมรุ่นใหม่ได้ไหม แต่ที่แน่ๆ คือเกียร์ของมันก็ยังดีกว่า tb ด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้คล่องแบบที่เคยเจอใน 328 หรือ F355 ที่ออกมาก่อนกับหลังมันก็ตาม
ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ยังชอบขับมันที่สุด ซึ่งผมเดาว่ามันก็คงไม่ได้ทำให้คุณแปลกใจมากเท่าไหร่ แต่ตอนถูกขอให้ทำดริฟท์สวยๆ เพื่อถ่ายรูป ผมก็ปฏิเสธคำเชิญนั้นอย่างไม่ลังเล มันดีดใส่ผมจังๆ มาแล้วหนนึง ซึ่งแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะยืนยันได้ว่าแม้บุคลิกอีกร่างนึงของมันจะถูกซุกซ่อนเอาไว้ได้แนบเนียนกว่า แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันถูกกำจัดจนหายเกลี้ยงไปหมดแล้วแน่ๆ
ดังนั้นเราจึงต้องมองมันจากอีกด้านแทน ในแง่ของรูปแบบ 348 อาจจะเป็นซูเปอร์คาร์สองที่นั่งเครื่องวางกลาง แต่นั่นไม่ใช่นิสัยที่แท้จริงของรถคันนี้แน่ ความจริงก็คือทั้งสเปกและหน้าตาของมันทำให้เราคิดว่ามันจะต้องมีบุคลิกในแบบที่ตัวตนของมันไม่ค่อยเต็มใจจะเป็นสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นก็ควรจะมองมันว่าเป็นรถทัวริ่งเดินทางไกลไปซะ มองมันในเรื่องสไตล์ตัวถัง เสียงโหยหวนของ V8 และห้องโดยสารกับการยศาสตร์ที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างผิดหูผิดตา จินตนาการว่าคุณกำลังอยู่ในทริปที่ต้องขับกันยาวๆ บนถนนสวยๆ ที่คุณรู้สึกอยากเล่นกับมันด้วยความแรงปานกลาง และทันใดนั้น 348 ก็จะเป็นรถที่ดูเข้าท่าขึ้นมาแบบที่เราไม่เคยมองเห็นในตอนแรก
ถ้าให้พูดกันตามตรง ผมจะไม่เอา ts เพราะมันมีปัญหาเรื่องน้ำรั่ว และก็แย่หน่อยที่เราไม่มีโอกาสลองเวอร์ชัน Spider ตัวเต็มที่ออกมาพร้อมกับ 348 GTB และ GTS รุ่นหลังๆ แต่สำหรับลูกค้าที่มองหา Ferrari หน้าตาสวย เสียงเพราะ และราคาเอื้อมถึงไม่ยากจนเกินไป ผมก็เข้าใจในความน่าดึงดูดของมัน ชัดเจนว่า 348 ไม่มีวันจะเป็นผลิตผลระดับท้อปของ Maranello แต่หลังจากเกือบ 30 ปี ถามว่ามันถึงเวลาที่จะออกจากมุมมืดแล้วหรือยัง? คำตอบคือแน่นอนครับ
ขอขอบคุณ Stephen Potts, Ralph Palmer และ Tim Christian
[สเปก 348 tb ]
เครื่องยนต์ V8, 3405cc แรงม้าสูงสุด 300 แรงม้า ที่ 7,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 239lb ft ที่ 4,200 รอบ/นาที ระบบส่งกำลัง เกียร์ธรรมด้า 5 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง ลิมิเต็ดสลิป ช่วงล่างหน้าและหลัง ดับเบิลวิชโบน คอยล์สปริง โช้คอัพ telescopic กันโคลง เบรก จานพร้อมครีบขนาดหน้า 300 มม. หลัง 305 มม. พร้อม ABS ล้อ ยาง 7×17 นิ้ว ด้านหน้า และ 8×17 นิ้ว ด้านหลัง ขนาดยาง 215/50ZR17 หน้า และ 255/45 ZR17 หลัง น้ำหนัก 1,393 ก.ก. (แห้ง) แรงม้าต่อน้ำหนัก 216 แรงม้า/ต่อตัน (บนถนนแห้ง) 0-60 ไมล์/ชั่วโมง 5.6 วิ (เคลม) ความเร็วสูงสุด 171 ไมล์/ชั่วโมง (เคลม) ราคาตอนออกใหม่ 67,499 ปอนด์ ราคาตอนนี้ประมาณ 50,000+ ปอนด์
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น