Buying Guide | F40

ข้อความตามแถลงการณ์ คือ เป็นของขวัญครบรอบ 40 ปีที่ Ferrari มอบให้กับตัวเอง แต่ในเนื้อหาย่อยก็ได้บอกทุกอย่างเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว F40 คือ การตอบโต้กลับไปยังรุ่น 959 ของ Porsche แล้วจะมีอะไรที่เห็นภาพความแต่งต่างระหว่างวัฒนธรรมได้ชัดเจนไปกว่าคู่แข่งผู้ผลิตรถสปอร์ตทั้ง 2 ได้อีก?

เป็นที่รู้กันดีในบรรดาแฟนๆ supercar ยุค 1980 อยู่แล้วว่า 959 ไม่ได้เกิดมาในวงการมอเตอร์สปอร์ต โดยเฉพาะพวก Group B ซึ่งเข้าใจกันมาตลอดว่าเอาไว้สำหรับต่อสู้กันเองของแบรนด์ยักษ์ใหญ่ของโลกทั้งในสนามแข่ง (circuit) และแรลลี่ (rally) คู่ต่อสู้จาก Porsche เป็นความน่าประหลาดใจในด้านเทคโนโลยีที่มาพร้อมการขับเคลื่อน 4 ล้อที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า ระบบการหน่วงที่ปรับได้ และเบรค ABS แถมยังเร็วสุดๆ ไปเลยอีกด้วย เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบสูบนอน 6 สูบ (twin-turbo flat-six) 2.8 ลิตร 450 แรงม้าทำให้มีพลังตามคำกล่าวอ้างถึง 197 mph Ferrari มีคู่แข่ง Group B เป็นของตัวเองที่มาในรูปแบบ GTO 288 และยังเป็นรูปแบบที่มีเสน่ห์เย้ายวนมากๆ ด้วย แต่ GTO ก็ถูก 959 ถล่มไปอย่างราบคาบอยู่ดี F40 จึงเป็นการเอาคืนจาก Ferrari

Enzo เป็นคนนำเสนอโปรเจกต์เองและมันได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษในระยะเวลาเพียง 12 เดือนเท่านั้น และยังเป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณะเป็นครั้งสุดท้ายของ Enzo เองซึ่งเป็นผู้แนะนำ F40 ต่อสื่อมวลชนระดับโลกที่งาน Maranello ในเดือนกรกฎาคม ปี 1987 40 ปีหลังจากที่ตรา Ferrari เปิดตัวเป็นครั้งแรก

อย่างที่รู้ๆ กันมาแต่เดิมทีว่าในเวลานั้น Group B ได้เข้าคอกไปเรียบร้อยแล้ว แต่ F40 กลับดูเป็นนักแข่งบนท้องถนนไปเสียทุกกระเบียดนิ้วและภายใต้เปลือกนอกนั้นก็เป็นวิวัฒนาการจาก GTO อย่างแท้จริง

ตรงใจกลางของมันเป็นเครื่องยนต์ที่มีขนาดความจุมากกว่าเล็กน้อย คือ เครื่อง V8 ทวินเทอร์โบเวอร์ชัน 2936cc ของ GTO ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นไปด้วยกำลังเสริมจากเครื่อง IHI ทวินเทอร์โบสัญชาติญี่ปุ่น ผลลัพธ์ที่ได้นั้นช่างน่าตื่นเต้นจนเกือบลืมหายใจ

ในเมื่อ 959 มีกำลัง 450 แรงม้า เรือรบ Ferrari ลำใหม่นี้จึงเข้าข่มด้วยกำลัง 478 bhp ที่ 7,000 rpm ผลที่ได้ดียิ่งไปกว่านั้นต้องยกให้กับส่วนประกอบเสริมเคฟลาร์ (Kevlar) น้ำหนักเบาที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย กับส่วนประกอบกระจุกกระจิกและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ต้องหายไปเป็นธรรมดา น้ำหนักรวมของ Ferrari คันนี้ (ไม่รวมน้ำหนักของเหลว) ที่ 1,100 kg. ทำให้มีอัตราส่วนของรถต่อแรงม้าอยู่ที่ 441 bhp/ton มากกว่า Porsche คันดังกล่าวราวๆ 100 bhp

ลืมการจับเวลา 0-60 mph ที่ 3.7 วินาทีเท่ากันไปได้เลย เพราะเมื่อ Ferrari พร้อมออกตัวแล้ว Porsche จะถูกทิ้งไปแบบไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว และถึงแม้ 959 จะวิ่งอย่างอ่อนล้าหน้าเจื่อนไปเพราะแต้มความเร็ว 200 mph F40 ก็แค่ถองมันออกไปให้พ้นทางซึ่งเป็น Ferrari สำหรับวิ่งบนถนนคันแรกที่ทำแบบนั้น แถมมันยังชนะ 959 ในเรื่องราคาที่ 160,000 ปอนด์ ต่อราคาของ Porsche ที่ 145,000 ปอนด์อีก

ดังนั้น หาก 959 คือรถที่ล้ำหน้าที่สุดที่ทั้งโลกเคยพบเจอมา Ferrari คงตอบโต้เท่าที่จะทำได้ ด้วยความโมโห จากการสร้างรถที่ที่ได้แรงบันดาลใจจาก F1 กับเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากจริงๆ F40 เป็นดั่งไฟที่เผาไหม้น้ำแข็งของ 959 และมันยังคงเป็นรถสำหรับวิ่งบนถนนที่เร้าใจที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างมาอีกด้วย

ผ่านมาแล้ว 30 ปี ซึ่งผมเองก็แทบไม่เชื่อว่าผมเพิ่งพิมพ์ไปแบบนั้น แต่ F40 ยังคงมีพลังทำให้ผู้ที่ขับมันทึ่งจนเกือบลืมหายใจได้อยู่ดี ส่วนมากเป็นเพราะวิธีที่เครื่องยนต์เทอร์โบเร่งขึ้นในทันที กับอีกส่วนจากธรรมชาติดิบๆ ห่ามๆ ของประสบการณ์โดยรวม มันไม่ใช่รถสำหรับคนใจเสาะอย่างแน่นอน มันส่งเสียงเพียงเล็กน้อยและมีฉนวนกันความร้อน ไม่เหมือนกับรถ supercar สมัยใหม่ส่วนใหญ่ แถมยังตรงตามหลักฟิสิกส์มากๆ ด้วย ทั้งพวงมาลัย คลัตช์ เบรก ล้วนแล้วแต่ต้องใช้กำลังตามจริงทั้งสิ้น ความตั้งใจ ความแม่นยำในการเปลี่ยนเกียร์ และไม่มีการปล่อยให้ระบบไฟฟ้าเข้ามาแทรกแซงจนทำให้ความทะเยอทะยานอยู่เหนือสมรรถภาพไปได้อย่างแน่นอน

ผลที่ตามมาส่วนหนึ่งก็คือ F40 น้อยคันนักที่จะมีเลขไมล์สูงๆ เพราะอย่างน้อยก็เป็นเพราะเรื่องของมูลค่าของตัวมัน และผู้ซื้อเองก็ต้องการที่จะปกป้องปรับปรุงสิ่งที่พวกเขาได้ลงทุนไป

ฉะนั้น เรามาเริ่มกันที่เรื่องมูลค่า คุณจะพบว่าข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในโฆษณาขายมีอยู่น้อยมากๆ เพราะ F40 ตั้งใจให้เป็น “การวัดผลทางการตลาด” (point of action) แต่ราคาประมูลก็สามารถใช้เป็นเครื่องบ่งชี้ได้…

F40 ไม่ได้หายากมากมายอะไร ไม่เหมือนกับ Ferrari ที่คนตามหากันจริงๆ ส่วนใหญ่ ถึงแม้การผลิตจะจำกัดอยู่ที่ราวๆ 400 คัน แต่ความต้องการในขณะนั้นทำให้ตัวเลขสุดท้ายขึ้นไปถึง 1,315 คันเมื่อการผลิตสิ้นสุดลงในปี 1992 Russell Smith ผู้จัดการแผนกบริการลูกค้าที่ร้านขายรถเฉพาะทางส่วนบุคคล Bob Houghton Ltd. คำนวณดูพบว่ามีรถ 78 คันที่ถูกส่งไปประเทศอังกฤษ แม้ว่าในปีหลังๆ มานี้จะมีเข้ามาจากทางฝั่งยุโรป แต่มันสามารถจดทะเบียนในอังกฤษได้อย่างง่ายดายโดยการปรับเปลี่ยนแค่เครื่องวัดความเร็วกับแนววิถีไฟหน้าเท่านั้น

Russell กล่าวว่าจำนวนการผลิตส่งผลจำกัดต่อมูลค่ารถเมื่อเทียบกับรถที่หายากกว่ามากอย่าง GTO 288, F50 และ Enzoขณะที่เพียงแค่ 2-3 ปีก่อน คุณสามารถหาซื้อ F40 ได้ในราคาระหว่าง 300,000-500,000 ปอนด์ แต่ปัจจุบันตัวเลขกลับมากขึ้นกว่าเท่าตัว ผลการประมูลครั้งล่าสุดที่ Gooding and Company เปิดขายที่ Pebble Beach เมื่อต้นปีที่ผ่านมา รถเลขไมล์ต่ำปี 1992 ทำเงินได้ถึง 1,375,000 ปอนด์

ตอนนี้คุณจึงควรเผื่อใจไว้ว่าจะต้องจ่ายที่ระหว่าง 800,000-1,300,000 ปอนด์ หากเป็นรถที่เลขไมล์ต่ำก็จะอยู่ในตำแหน่งที่ราคาสูงสุด แม้ Russell ประเมิณว่าเมื่อรถเก่าลงเรื่อยๆ ตัวเลขไมล์ก็จะมีผลต่อมูลค่าน้อยลง แต่จะหันไปเน้นเรื่องประวัติและสภาพรถเสียมากกว่า “ลองนึกถึงรถอย่าง SWB 250 ทุกวันนี้ตัวเลขไมล์แทบจะไม่เกี่ยวเลยด้วยซ้ำ ราคาของมันขึ้นอยู่กับประวัติและวิธีการดูแลรักษารถที่ผ่านมา” เขากล่าว

ความเป็นของแท้คือทุกสิ่งทุกอย่าง รถที่เป็นของแท้แบบดั้งเดิมซึ่งผ่านการดูแลรักษามาเป็นอย่างดีย่อมดีกว่าแบบที่ผ่านการซ่อมบำรุงมาผิดๆ ที่ดูดีแต่ไม่ได้สภาพดีจริงตามที่ควรจะเป็นอยู่หลายขุม ความเสียหายจากการเฉี่ยวชนสามารถทำให้ราคาตกไปอย่างมาก เครื่องยนต์ที่ไม่ใช่ของเดิมก็เช่นเดียวกัน คู่มือเล่มเดิม ถุงใส่เครื่องมือเดิม และอุปกรณ์เดิมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมี

พัฒนาการที่สำคัญอย่างหนึ่งในตลาด F40 ซึ่งเป็นกรณีเดียวกับรถ Ferrari คลาสสิกทุกคันนั่นก็คือ ต้องได้รับการดูแลซ่อมบำรุงผ่านโปรแกรม Classiche ที่ได้รับการสนับสนุนโดยโรงงาน (รวมไปถึงที่อื่นๆ ด้วยในเรื่องนี้) อันที่จริงมันช่วยยืนยันว่ารถคันนั้นยังมีคงมีเสปกเดิมแบบเดียวกับตอนที่ออกมาจากโรงงาน และนั่นได้กลายมาเป็นจุดขายที่สำคัญอย่างหนึ่งเลยทีเดียว จำนวนเจ้าของรถปกติแล้วจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรตราบใดที่ประวัติทั้งหมดของรถได้ถูกลงบันทึกไว้อย่างดี

F40 ที่ได้รับการอนุญาตให้วิ่งบนท้องถนนได้ตามกฎหมายมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในระยะเวลา 5 ปีของการผลิต (เวอร์ชันสำหรับใช้แข่งขันที่ปรากฏในรายการ GT Championships ช่วงต้นยุค 90 นั้นได้รับการดัดแปลงมากมาย) ความแตกต่างหลักๆ ในเรื่องเสปก คือ รถที่ผลิตขึ้นหลังจากปี 1991 จะมีเครื่องฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยา (catalytic converter) และตัวเลือกระบบกันสะเทือนแบบปรับได้ แต่ก่อนเสปกนี้เคยเป็นที่ต้องการมากกว่าเพราะมีระยะห่างจากพื้นถนนถึงส่วนต่ำสุดของตัวรถ (ground clearance) ที่สูงกว่าซึ่งมีประโยชน์เมื่อรถได้รับแรงกระแทกในขณะวิ่งด้วยความเร็วสูงและเมื่อต้องขึ้น – ลงเรือข้ามฟาก แต่ปัจจุบันส่วนประกอบเหล่านั้นได้ชำรุดไปหมดแล้วและหาอะไหล่มาทดแทนได้ยากมากขึ้นทุกที ดังนั้นรถแบบที่ปรับไม่ได้จึงเป็นที่นิยมมากกว่า F40 ในยุคแรกๆ ส่วนมากจะมีกระจกด้านข้างแบบเลื่อนที่ทำจากอคริลิกใสมากกว่าแบบไขขึ้นตามธรรมดา

มันช่วยลดน้ำหนักกับเพิ่มความรู้สึกความเป็นรถแข่งมากขึ้น แต่ก็ใช้งานยากกว่าและตัวพลาสติกก็เป็นรอยได้ง่ายมากๆ

พื้นฐานทางด้านวิศวกรรมของ F40 เป็นมาตรฐานระดับสูง Russell Smith บอกว่าเครื่องยนต์ V8 2.9 ลิตรเป็นเครื่องที่แข็งแรงและการที่จะพบสิ่งขัดข้องใดๆ ภายในเครื่องยนต์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ปกติอย่างยิ่ง “มันเป็นเครื่องที่ใช้งานดีไปได้นานจนถึงเลขไมล์สูงๆ ได้อย่างน่าประหลาดใจเมื่อเรานึกถึงความหนักหน่วงในการใช้งานที่เครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จเจอร์จะต้องรองรับ เราได้ดูแลรถของ Nick Mason ซึ่งวิ่งไปแล้วประมาณ 40,000 kms เมื่อครั้งล่าสุดที่เราเห็นมัน”

“เราเคยได้ซ่อมอยู่แค่ 1 หรือ 2 เครื่องเท่านั้น และสาเหตุก็มาจากแค่ชิ้นส่วนเล็กๆ ที่ไม่สลักสำคัญอะไรมากกว่าที่จะเป็นเพราะเครื่องหยุดทำงานจริงๆ มันต้องเจอกับความผิดปกติทางด้านไฟฟ้าแปลกๆ อยู่บ้างและคุณจำเป็นที่จะต้องรู้จักรถคันนี้อย่างละเอียดตั้งแต่ภายนอกถึงภายในถึงจะซ่อมปัญหาบางอย่างเหล่านี้ได้” เขาเสริม “เทอร์โบก็สามารถสร้างปัญหาได้เช่นกันแต่ปกติแล้วก็สามารถแก้ได้ง่ายๆ”

เวลาทดลองขับเครื่อง V8 ควรจะเร่งขึ้นได้อย่างมีพลังแต่ต้องไม่ทำให้ไฟ overboost ขึ้นและต้องไม่มีปัญหาเรื่องเร่งขึ้นช้าหรือเครื่องไม่ติด เครื่องเทอร์โบปกติจะทำให้เกิดควันเยอะมากเวลาวิ่ง มันอาจจะสูญเสียสมรรถนะจนส่งเสียงดังขึ้นมาหากใบพัดเสียหายหรือพังได้เช่นกัน ที่สำคัญคือต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีน้ำมันรั่วจากตัวเครื่องซึ่งจะทำให้เครื่องยนต์เทอร์โบร้อนขึ้นมากๆ และสามารถเกิดประกายไฟไปติดน้ำมันต่างๆ ได้ง่ายมาก ที่มาพร้อมกับผลที่ทำให้เกิดความเสียหายได้มากมาย ระบบไอเสียควรจะเป็นของเดิมหากคุณอยากได้รับการรับรองจากโปรแกรม Classiche แม้ว่าหลายๆ คันจะถูกแทนที่ด้วยระบบอะไหล่ทดแทนเมื่อเทอร์โบหรือเครื่องฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยามีแนวโน้มที่จะทำให้เสียงระบบไอเสียไม่มีเสียงตามแบบมาตรฐาน

กระปุกเกียร์ 5 สปีดดูค่อนข้างแข็งแรงแต่ก็ต้องมีการอุ่นเครื่องก่อนจะเปลี่ยนเกียร์และเฟืองเกียร์จะทำงานในภาวะที่เหมาะสมที่สุด อายุการใช้งานของคลัตช์นั้นแทบจะประมาณการณ์ไม่ได้เนื่องจากมีความแตกต่างมากมายจากการใช้งานของคนขับมือหนึ่งสู่อีกมือหนึ่ง บางอันมีอายุการใช้งานถึง 20,000 ไมล์ แต่อันอื่นๆ ก็จะใช้ได้แค่ 1 ใน 4 ของระยะดังกล่าวเท่านั้น

ล้อก็พบปัญหาจากการสึกกร่อนตรงสลักเกลียวน็อตล้อ (split-rim bolt) โดยล้อที่ถูกทำใหม่มีแนวโน้มว่าจะไม่มีคำว่า “Speedline” หรือ “Ferrari” สลักเอาไว้ น็อตล้อนั้นไวต่ออากาศที่รั่วไหลเข้ามาส่งผลให้ยางสูญเสียความดัน ซึ่งสามารถทำให้ซ่อมให้สมบูรณ์ได้ยาก ยางเดิมที่ติดมากับรถนั้นยางหน้าเป็น Pirelli P Zero 245/40 VR17 ล้อหลังเป็น 335/35 VR17 แต่พึงระวังไว้ว่ามันอาจจะสร้างปัญหาเรื่องหาของได้ยากเนื่องจากสินค้ามีวางขายเป็นช่วงเท่านั้น

เบรกคือสิ่งเดียวที่เป็นจุดอ่อนอย่างแท้จริงใน F40 Smith กล่าว ในสนามแข่ง รถจะสูญเสียกำลังในการหยุดหลังจากวิ่งไปได้ 2-3 รอบเท่านั้น ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมรถที่ใช้บนสนามแข่งอยู่บ่อยๆ จึงใส่เบรกดัดแปลง ดีต่อการขับขี่ แต่ไม่ดีต่อใบรับรอง Classiche นั่นสักเท่าไร

กระดูกสันหลังของ F40 เป็นโครงข้อแข็งสามมิติ (spaceframe) ที่ทำจากโลหะที่ดูเหมือนจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานดี เช่นเดียวกับตัวรถ แผ่นคาร์บอนเคฟลาร์นั้นดูสวยแบบค่อนไปทางดิบเพราะเทคโนโลยีดังกล่าวยังเป็นสิ่งใหม่มากๆ ในสมัยนั้น มองหารอยผสานของงานทำสีที่สามารถมองเห็นได้เพื่อบ่งชี้ว่าเป็นสีของแท้ที่มีมาแต่เดิมโดยปราศจากการเติมแต่งหรือการซ่อมซ่อนอยู่ภายใต้สีนั้น ด้านใต้ของแผ่นตัวรถควรจะไม่มีสีและดูดิบๆ เหมือนกัน แต่นี่หมายความว่าคุณควรจะเห็นเองแล้วว่ารถเคยผ่านการซ่อมครั้งใหญ่มาแล้วหรือไม่ ผนึกปิดขอบรอยต่อในห้องโดยสารควรจะเป็นสีเขียว และควรจะตรวจสอบสภาพรอยผสานของคาร์บอนภายในรถโดยละเอียด ลิ้นหน้า (splitter) ที่เป็นยางมีแนวโน้มที่เกิดความเสียหายได้ เช่นเดียวกับด้านล่างของกระจังหน้า (nose) ต้องตรวจสอบดูรอยสีที่ติดอยู่บนแผ่นอคริลิกใสที่เป็นช่องรับแสงด้านหลังรถ (rear quarterlight) และกระจกหลังรถ (rear deck window) ด้วย เพราะชิ้นส่วนเหล่านี้มีราคาสูงหากต้องเปลี่ยนใหม่

เบาะที่นั่งควรจะทำจากวัสดุ Nomex แบบของเดิม รถช่วงแรกๆ จะใช้วัสดุที่นิ่มกว่าซึ่งทำให้หย่อนคล้อยและดูเก่าได้อย่างรวดเร็วมากๆ แต่สิ่งสำคัญคือต้องจำเอาไว้ว่าเบาะที่ได้รับการตัดแต่งใหม่หรือการใช้วัสดุอื่นนอกเหนือจากวัสดุที่ถูกต้องมาผสมจะทำให้รถเสียราคา วัสดุบุหลังคาก็มีแนวโน้มที่จะหลุดออกมาหรือหย่อนลงมาบนหัวคุณได้เช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องให้ช่างเฉพาะทางเป็นผู้ซ่อมให้ เข็มขัดนิรภัยของเดิมเป็นแบบม้วนเข้าด้วยแรงเฉื่อย (inertia reel) แต่รถหลายๆ คันก็ใช้อะไหล่ทดแทนเป็นเข็มขัดนิรภัย 4 จุด (four-point harness) มาแทนที่ พวกนี้จะค่อนข้างติดตั้งได้ง่ายซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะแบบม้วนเข้าด้วยแรงเฉื่อยไม่มีขายแล้ว

ควรตรวจสอบพวกชิ้นส่วนที่เป็นไฟฟ้าทั้งหลาย เช่น กระจกติดแถบทำความร้อน (heated windscreen) และไฟตัดหมอกอย่างระมัดระวังเพราะค่าซ่อมแพงถ้ายังพอหาอะไหล่ได้

มันคงจะไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรสำหรับคุณหากการดูแลรักษา F40 ตามตารางของ Ferrari จะมีราคาสูง และราคาของอะไหล่ที่อาจจะต้องนำมาใช้ทดแทนก็แพงไม่ต่างกัน แม้ว่า Ferrari จะแนะนำให้เช็คระยะทุกๆ ช่วง 3,000 ไมล์ แต่ปกติแล้วจะเช็คกันเป็นรายปีเสียมากกว่าด้วยเหตุเพราะเลขไมล์ไม่ถึงตามระยะ ประเมิณค่าใช้จ่ายในการดูแลแบบพื้นฐานรายปีอยู่ที่ราวๆ 1,200 ปอนด์ ในขณะที่สายพานเพลาลูกเบี้ยว (cambelt) ควรจะเปลี่ยนทุกๆ 2 ปี ซึ่งจะเพิ่มค่าใช้จ่ายไปอีกประมาณ 800 ปอนด์ ถ้าคุณหายาง Pirelli ที่ตรงเสปกได้ราคาก็จะสูงกว่า 1,000 ปอนด์สำหรับล้อหลัง 1 คู่ ส่วนผ้าเบรกหน้าเซ็ตละ 600 กว่าปอนด์ และคลัตช์ใหม่อยู่ที่ประมาณ 2,000 ปอนด์ แต่นั่นมันเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายหลักในการดูแลรักษา F40 สักคัน ถังเชื้อเพลิงคู่ที่ทำจากยาง (twin rubber fuel cell) ต้องเปลี่ยนทุกๆ 10 ปี (ยกเว้นรถตลาดอเมริกาที่ใส่ถังอลูมิเนียม) ราคาปัจจุบันอยู่ที่ราวๆ 30,000 ปอนด์ และจากที่ Russell Smith บอกตอนนี้กำลังขาดตลาด

การซ่อมราคาถูกหรือวิธีที่ถูกที่สุดกับรถอย่าง F40 นั้นไม่มีอยู่จริง แต่มันก็สมควรที่จะเป็นแบบนั้นแล้วสำหรับรถใช้วิ่งบนถนนที่ดีที่สุดคันหนึ่งจาก Ferrari ในสายตาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับ Ferrari มันดีพอๆ กับ GTO 250 ในแง่ของความตื่นเต้นที่มีอยู่ข้างในกับปัจจัยกระตุ้นที่ว่า “ต้องมีสักคัน” อย่างที่สุด Russell Smith ไม่สงสัยเลยว่าอะไรที่ทำให้มันโดดเด่นได้ขนาดนี้ “ไม่มีทางที่จะได้รับอนุญาตให้ผลิต F40 อีกครั้งในโลกยุคปัจจุบันได้เลย ทั้งในแง่ระเบียบราชการ  แง่สุขภาพ และแง่ความปลอดภัย” เขาเอ่ย “นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้มันพิเศษมากและเป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง”

สิ่งที่ผู้ทดสอบรถบนถนนพูดถึงในสมัยนั้น

เพียงบิดกุญแจ ไฟสัญญาณบนหน้าปัดกระพริบ กดปุ่มสตาร์ททำจากพลาสติก แล้วเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 ที่อยู่ถัดไปตรงด้านหลังไหล่ข้างขวาจะส่งเสียงสตาร์ทและมีชีวิตขึ้นมา เครื่องติดแบบเสียงดังเบาไม่เท่ากัน แรกๆ ก็จะฟังดูดุดันอยู่สักนิด แต่พอแตะลิ้นปีกผีเสื้อ (throttle) ไปอีกสักที แล้วเครื่องยนต์ก็จะส่งเสียงคำรามได้อย่างใสสะอาด แล้วจึงปักหลักอยู่กับเสียงคำรามลึกๆ ที่ดังไม่เท่ากันต่อไป

แบบเดียวกับเครื่องยนต์ของ GTO มันลากจากรอบที่ต่ำได้มากถึง 1,500 rpm แม้ว่าจะกำลังใช้เกียร์ที่ค่อนข้างสูงอยู่ก็ตาม การควบคุมได้ง่ายเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มากๆ มันสามารถออกตัวไปพร้อมเสียงดังสนั่นหรือพุ่งตัวผ่านไปอย่างรวดเร็วได้ดีที่สุด Ferrari สร้างเครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยมมาโดยตลอด และเครื่องของ F40 เป็นเครื่องที่ดีที่สุดเครื่องหนึ่งของ Ferrari เลยทีเดียว

สมรรถนะของ F40 นั้นน่าประหลาดใจเป็นที่สุดสำหรับรถที่จะนำไปขับบนถนนเคียงข้าง Escort กับ Mini ที่มีอยู่มากมายบนโลกใบนี้ มันเป็นรถใช้วิ่งบนถนนที่ไม่เหมือนรถคันอื่นๆ จะมีก็แค่ 959 เท่านั้นที่ใกล้เคียง

พัดลมระบายอากาศนั้นช่วยในการเร่งตั้งแต่รอบค่อนข้างต่ำตามระยะอัตราเร่งและเพิ่มความเร็วในการทำงานได้ทันทีที่ประมาณ 4,500 rpm หลังจากนั้นสมรรถภาพการทำงานนั้นน่าตกใจอย่างเห็นได้ชัด เครื่องยนต์กำลังกรีดร้องทำให้เกิดเสียงประเภทที่ออกมาจากด้านท้าย Ferrari ของ Berger (Gerhard Berger) ในวันอาทิตย์ทุกๆ สัปดาห์เว้นสัปดาห์ และกระจังหนแหลมสีแดงที่มาพร้อมสปอยเลอร์อันร้ายกาจกับช่องเล็กๆ ที่รวมกันอยู่ในแนวนอนกับความเร็วในแบบที่แปลว่าคุณจะต้องใช้ความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมดจริงๆ จึงจะเอาอยู่ อย่าได้คาดคะเนระยะเบรกผิดพลาดทีเดียว ซึ่งด้วยความเร็วในการเข้าโค้งของคุณ จะต้องไม่เปลี่ยนเกียร์ชักช้าเงอะงะ หรือบดยางอย่างหนักหน่วง หรือเหยียบไปบนแผ่นโลหะเจาะรูทางด้านขวานั่นแบบไม่ปราณี ซึ่งสามารถรวบรวมกำลังได้มากกว่าลิ้นปีกผีเสื้อในรถที่ใช้สำหรับวิ่งบนถนนคันไหนๆ ที่เคยถูกสร้างมา

ให้ตายเถอะ!  รถ Ferrari F40 คันนี้รวบรวมเอาพละกำลังแบบที่รถ Formula One เคยมีตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีเทอร์โบ

ในสนามแข่ง F40 ทำตัวเหมือนเป็นนักแข่งกีฬาตัวจริงเสียงจริง มีอยู่ครั้งหรือ 2 ครั้งที่หางมันปัดออกไปนอกเส้นตอนเจอสนามแข่งเปียกๆ แถมแชสซีก็ทำงานเข้าขากันได้อย่างดีเยี่ยม ดังนั้นการสะบัดเวลาเข้าโค้งด้วยความเร็ว (opposite-lock) แบบกระทันหันจึงช่วยให้เจ้ารถแดงไม่ต้องเข้าไปข้องแวะกับสนาม Fiorano Armco

รถคันนี้ไม่สามารถทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายได้เลย มันทำให้เกิดความรู้สึกกังวลและตึงเครียด แต่มันก็ให้ความรู้สึกสุขใจอย่างที่สุดได้มากกว่ารถคันไหนๆ ที่เคยถูกสร้างมา – จากนิตยสาร Car ฉบับเดือนกรกฎาคม ปี 1988

Share

ใส่ความเห็น