BUYING GUIDE | Open Secret Mondial

ถ้าเงินในกระเป๋าพาคุณไปไม่ถึง 488 Spider Mondial Cabrio จะทำให้คุณสนุกในแบบเปิดหลังคาได้เหมือนกันในราคาเพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น

Mondial รั้งอันดับหนึ่งในลิสต์ ‘Ferrari ราคาเอื้อมถึง’ ที่นักเขียนสายยนต์ดูจะโปรดปรานกันมาหลายปีแล้ว ในลิสต์นั้นยังมีFerrari ทรงลิ่มรุ่นอื่นๆ อย่าง308 GT4 2+2อยู่ด้วย แล้วก็พวกตระกูลซาลูนอย่าง 365/400/412 ทั้งหมดนี้อาจจะดูไม่เซ็กซี่เท่าวงศาคณาญาติสปอร์ตสองประตูแบบBerlinetta หรือซูเปอร์คาร์พ่นไฟท่วมท่อไอเสีย แต่มันก็เป็น Ferrari ที่ใช้งานได้สะดวกกว่าและเป็นรถที่คุณสามารถพาภรรยากับลูกๆ นั่งรถเล่นไปด้วยกันได้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ตอนออกใหม่พวกมันขายได้เยอะมากแล้วมันก็วกกลับมาช่วยกดราคามือสองให้ต่ำอีกรอบนึง

แต่วันนี้ทุกรุ่นที่พูดมาก็ไม่ได้ถูกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อย่าง GT4 สภาพดีก็ต้องว่ากันที่ราคาถึง50,000 ปอนด์ปลายๆ ส่วน 400/412 สภาพสวยก็อาจมีราคาสูงถึง 75,000 ปอนด์ ทั้งๆ ที่ไม่กี่ปีก่อนคุณสามารถซื้อพวกมันได้ด้วยเงินแค่20,000 ปอนด์ เท่านั้น สถานการณ์กับ Mondial ซึ่งเป็น Ferrari หน้าตาปอนๆ ก็ไม่ได้ต่างอะไรเพราะตอนนี้คุณก็ไม่สามารถซื้อมันด้วยเงินสดที่พกติดกระเป๋าได้แล้วเหมือนกัน

กระนั้น ถ้าคุณเกิดโชคดีไปเจอรถสภาพดีประกาศขายอยู่ที่ไม่ถึง 40,000 ปอนด์ Mondial ก็ยังคงเป็นหนทางสู่การเป็นเจ้าของ Ferrari ที่ถูกที่สุดอยู่ดี และถ้าหากFerrari เครื่องวางกลาง เปิดประทุน พร้อมเบาะแถวหลังสำหรับเด็กๆ (หรือผู้ใหญ่ตัวกระทัดรัดก็ยังได้) คือสิ่งที่คุณกำลังมองหา เวอร์ชัน Cabriolet ก็จะเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นมากด้วยแต่ก็เหมือนกับรถ Exotic ทุกรุ่นที่ราคาซื้อมันเป็นเพียงส่วนนึง และค่าบำรุงรักษานั้นก็เป็นอีกเรื่อง มันย่อมไม่ได้ถูกเหมือนของฟรีอย่างที่พวกโลกสวยบางคนเผลอทึกทักกันไปเองว่าใครที่มีเงินซื้อ Ferrari ก็จ่ายค่าซ่อมไหวกันทั้งนั้นล่ะ…

ดังนั้น ถ้าเลือกแล้วว่าจะเดินทางนี้คุณก็จะต้องเปิดหูตาให้กว้างเอาไว้ และเรื่องแรกที่ควรทำความเข้าใจก็คือความแตกต่างระหว่าง Mondial ทั้งสี่เจนเนอเรชัน

โมเดลแรกคือ Mondial 8 ซึ่งเปิดตัวออกมาแทน 308 GT4 2+2 ในปี 1980 พร้อมกับตัวถังคูเป้เพียงอย่างเดียว ดีไซน์ภายนอกเป็นผลพวงจากการสะบัดปากกาของสำนัก Pininfarina โครงสร้างพื้นฐานด้านในคือ308 GTB สองที่นั่ง ดังนั้นมันจึงได้เครื่อง V8 3.0 ลิตร อันคุ้นเคย (อยู่ใน GT4 2+2) ติดตั้งตามแนวขวางส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดาแบบห้าจังหวะลงสู่ล้อหลังแชสซีส์สเปซเฟรม ช่วงล่างวิชโบน ดิสก์เบรก และพวงมาลัยที่ต้องออกแรงสาวกันเองเป็นการนำมาจากรถรุ่นเดิม

ฐานล้อที่ยาวขึ้นกับจำนวนที่นั่งที่เพิ่มขึ้นทำให้ Mondial หนักกว่า GTB อยู่ราว 10 เปอร์เซนต์ และด้วยแรงม้าแค่ 214 ตัว เนื่องจากกฎควบคุมมลพิษที่เข้มงวดขึ้น ‘8’ จึงไม่ได้แรงเป็นจรวด แต่มันมีการบังคับควบคุมที่ดี และถึงแม้หน้าตาของมันจะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่กระแสตอบรับรถทั้งคันในภาพรวมก็ยังจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี

รุ่น QV หรือQuattrovalvoleเปิดตัวในปี 1982 เพื่อแก้มือเรื่องความอ่อนด้อยของสมรรถนะ การเปลี่ยนฝาสูบไปเป็นสี่วาล์วต่อสูบช่วยยกแรงม้าสูงสุดขึ้นได้เป็น 240 แรงม้า และมีเวอร์ชัน Cabriolet จำหน่ายเป็นครั้งแรก

แต่ที่ดีกว่านั้นคือ Mondial 3.2 ที่มาถึงในปี 1985 พร้อมกับแรงม้า 270 ตัว จากเครื่องยนต์ 3,185 ซีซี ที่ยกมาจาก 328 GTB/GTS กับหน้าตาใหม่ที่เกลี้ยงเกลาขึ้นกันชนเปลี่ยนมาเป็นสีเดียวกับรถแทนกันชนสีดำในรถรุ่นแรก ภายในก็ปรุงใหม่เช่นกัน และมีเบรก ABS มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานตั้งแต่1987

Mondial T เวอร์ชันส่งท้ายคือคันที่คุณกำลังเห็นอยู่นี้ โดยสามารถแยกความแตกต่างง่ายๆ ได้ด้วยการสังเกตที่ครีบระบายอากาศบนแก้มหลังซึ่งมีขนาดเล็กและหน้าตาเนี้ยบขึ้นกว่ารุ่นเก่า มันเปิดตัวออกมาในปี 1989 พร้อมการเปลี่ยนแปลงจากเวอร์ชันก่อนหน้าอย่างมโหฬาร เพราะครั้งนี้เครื่อง V8 ได้ถูกหมุนมาวางตามยาว ส่วนเกียร์นั้นสลับไปวางตามขวางแทนเลย์เอาท์ใหม่จึงมีลักษณะคล้ายตัว ‘T’ และเป็นที่มาของชื่อรุ่นไปนั่นเอง  นอกจากนี้ มันยังกลายเป็นเลย์เอาท์ที่ Ferrari เครื่องวางกลางอีกหลายเจนเนอเรชันเจริญรอยตามด้วย เพราะข้อดีก็คือเครื่องยนต์สามารถติดตั้งในระดับต่ำลงกว่าเดิม ซึ่งช่วยเรื่องแฮนด์ลิง

เครื่องยนต์ V8 3.4 ลิตร เป็นเวอร์ชันอัพเดทและปรับปรุงใหม่จาก 348 (ในความเป็นจริงคือ Mondial T เริ่มผลิตก่อน 348 ราวหกเดือน) ซึ่งเปลี่ยนมาใช้ระบบน้ำมันเครื่องแบบ Dry sump และผลิตตัวเลขแรงม้าสวยๆ ได้ 300 ตัวพอดี ออพชันที่น่าสนใจที่เพิ่งจะเริ่มมีให้เลือกตอนช่วงกลางอายุแล้วก็คือ เกียร์กึ่งอัตโนมัติของ Valeoซึ่งคนขับจะยังคงต้องเปลี่ยนเกียร์ผ่านด้ามเกียร์ตามปกติอยู่ แต่คลัทช์จะทำงานให้อัตโนมัติ ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีแป้นคลัทช์อีกต่อไป มันเป็นต้นตระกูลของเกียร์อัตโนมัติ F1 ในตอนนี้ แต่ค่อนข้างย่ำแย่และควรเลี่ยงไว้จะดีที่สุด เทคโนโลยีใหม่อีกชิ้นที่ถูกนำมาใช้กับ T เป็นรุ่นแรกก็คือโช้คอัพปรับความหนืดด้วยไฟฟ้า พร้อมโหมดให้คนขับเลือกได้ทั้งหมด 3 โหมด

เอาล่ะ…แล้วควรจะเลือกรุ่นไหน?รุ่น 3.2 กับ T มักจะเป็นรุ่นที่คนส่วนใหญ่โปรดปราน เพราะว่าหน้าตาที่ดีและสมรรถนะที่แรงกว่า ส่วน 8 กับ QV ก็ใช้ได้และน่าจะหาเจอในตลาดที่ช่วงราคาด้านต่ำและเอื้อมถึงได้ง่ายกว่าของรถรุ่นนี้ พวกมันไม่มีรุ่นไหนจุกจิกเป็นพิเศษ แต่ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษานั้นแต่ละรุ่นก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป

‘เรื่องความทนทาน ไม่ว่าจะ Mondial รุ่นไหน มันก็แทบจะไม่มีอะไรให้เสีย’ Dean Pallet ผู้จัดการแผนกบริการที่ Graypaul Nottingham กล่าว ‘จริงๆ แล้วมันคือ 308/328/348 ซึ่งถ้าบำรุงรักษาตรงเวลา (สำหรับรถที่ใช้น้อย นั่นหมายถึงปีละครั้ง) เครื่องยนต์ก็สามารถวิ่งจนถึงเลขไมล์สูงมากๆ ได้สบายมากโดยไม่ต้องมีการซ่อมใหญ่

‘ความแตกต่างของ T ก็คือการเปลี่ยนสายพานแคมชาฟท์เป็นงานที่จะต้องปลดเครื่องลงมาเหมือนกับ 348 และ 355 ซึ่งตามตารางทุกรุ่นย่อยจะต้องเปลี่ยนสายพาน 3 ปีครั้ง โดยมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 700 ปอนด์ ในขณะที่ของT จะกระโดดไปอยู่แถวๆ 2,000 ปอนด์

‘ในทางกลับกัน T จะเปลี่ยนคลัทช์ง่ายกว่า แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่ใช่งานยากอะไรใน Mondial ทุกรุ่นอยู่แล้ว แค่T ใช้เวลาแค่ประมาณ 4 ชั่วโมง แทนที่จะเป็น 6 หรือ 8 แบบรุ่นอื่นๆนอกจากนี้ รุ่นที่ใช้เกียร์ Valeoนี่เลี่ยงได้ก็ขอให้เลี่ยง เพราะมันทั้งหายากและจากประสบการณ์มันก็ค่อนข้างเจ้าปัญหาด้วย

‘ไล่เช็คใหญ่ดูสักครั้งน่าจะไล่เก็บปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์กลไกได้ครบ สังเกตพวกรอยรั่วต่างๆ ทั้งน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก และถ้าหากบุชช่วงล่างยังไม่เคยถูกเปลี่ยน นั่นก็เป็นสิ่งที่คุณจะต้องเผื่อค่าใช้จ่ายเอาไว้ด้วย ดีที่สุดคือการยกรถขึ้นบนแรมพ์แล้วเดินตรวจช่วงล่างดูทีละชิ้น บุชยางสามารถเปลี่ยนได้ไม่ยากค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณสามพันปอนด์ แต่เจ้าของส่วนมากมักจะเลือกรีบิลท์ช่วงล่างใหม่แทน ซึ่งก็จะรวมถึงการถอดทุกชิ้นส่วนออกมายิงทรายและพ่นสีแบบ Powder-coat ใหม่ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ราวหนึ่งหมื่นปอนด์ แต่ในเมื่อมูลค่าของรถยังคงขยับขึ้นเรื่อยๆ เจ้าของรถหน้าใหม่ก็จะพร้อมจ่ายเงินจำนวนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกัน

‘ช่วงล่างของ T สามารถปรับความหนืดได้ผ่านสวิทช์เลือกโหมดบนหน้าปัด โดยมันเป็น Ferrari รุ่นแรกที่มีฟีเจอร์นี้ แต่ความแตกต่างระหว่างโหมดนั้นไม่ได้มากมายอะไร เพราะฉะนั้นอย่าคาดหวังว่ามันจะเปลี่ยนรถเป็นคนละคันได้ แค่ตึงตังมากหน่อยก็เท่านั้น ถ้าการเปลี่ยนโหมดดูผิดปกติ ค่าซ่อมตรงจุดนี้ก็จะแพงเอาการอยู่ ดังนั้นก็จะต้องเช็คไฟเตือนบนหน้าปัดให้ดี แต่ถ้าตอนคุณติดเครื่องไม่มีไฟอะไรโชว์ขึ้นมาเลยสักดวง คุณก็ยิ่งจะต้องตรวจสอบให้ถี่ถ้วนมากขึ้น ข่าวดีคือตอนนี้โช้คอัพสามารถรีบิลท์ใหม่ได้แล้วโดยไม่ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งต้น แต่มอเตอร์ปรับความหนืดนั้นสนนราคาค่าตัวอยู่ที่ข้างละ 800 ปอนด์’

เช็คสภาพยาง เพราะถึงแม้ว่ายางสำหรับ T จะมีหลากหลายยี่ห้อและรุ่นให้เลือก แต่ถ้าเป็นรถรุ่นแรกๆ ก็ควรจะเป็นยาง MichelinTrXตามสเปกโรงงานเท่านั้น ยางรุ่นนี้ Michelin จะผลิตออกมาทีละล็อต ดังนั้นมันก็อาจจะหายากและมีราคาสูงอยู่สักหน่อย (เส้นละ 400 ปอนด์) แต่ถ้าคุณไม่ได้ซีเรียสเรื่องความเดิมสนิทแบบออริจินัล ยาง Goodyear สักชุดที่ราคาสี่เส้น 420 ปอนด์ ก็ใช้ได้เหมือนกัน

‘ตอนที่รถอยู่บนแรมพ์ให้ตรวจดูที่ธรณีด้านข้างด้วย’Dean บอก ‘โครงสร้างตัวถังส่วนใหญ่เป็นเหล็ก รถคันที่เก่าหน่อยจะมีโอกาสได้เจอสนิมและแผลผุได้มากพอสมควร ธรณีประตูคือหนึ่งในจุดเสี่ยง เช่นเดียวกับซุ้มล้อที่มักจะมีรอยกระเทาะจากสะเก็ดหิน และชายประตูด้านล่าง แต่โครงสร้างแชสซีส์ซึ่งเป็นเหล็กแบบท่อไม่ค่อยน่ากังวลเท่าไหร่ เพราะมันแข็งแรงและหนาอยู่เหมือนกัน

‘มีระบบไฟฟ้าให้เช็คหลายแห่งเหมือนกัน กระจกหน้าต่างนี่แน่นอน แต่ก็ยังมีจุดอื่นๆ ที่อาจเกิดปัญหาได้ด้วย เช่น ไฟส่องเก๊ะเก็บของ และระบบปรับอากาศ (แผงควบคุมแอร์แพงเอาเรื่อง) นอกจากนี้ รถปีเก่าๆ หลายคันที่ยังคงใช้น้ำยาแอร์ระบบเก่าอยู่ ถ้าหากเสียขึ้นมาคุณก็อาจจะต้องแปลงเป็นระบบใหม่ ซึ่งนั่นหมายถึงต้องเปลี่ยนคอมเพรสเซอร์ให้รองรับกันด้วย สนนราคาก็อยู่ที่ราว 700 ปอนด์

‘รุ่น Coupé บางคันมีหลังคาซันรูฟไฟฟ้า ซึ่งควรจะได้รับการตรวจเช็คอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะนี่คือจุดที่อาจจะเกิดปัญหาและมีค่าซ่อมค่อนข้างแพง สาเหตุก็มีทั้งเฟืองรูด สายเคเบิลขัดตัว ฯลฯ คงต้องยอมรับมันออกแบบมาไม่ดีเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นรถที่มีซันรูฟเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเถอะ

‘จากนั้นก็เช็คอุปกรณ์ทั่วไปว่าไม่มีอะไรหาย บุบสลาย หรือไม่ทำงาน ทั้งอุปกรณ์ตกแต่งตัวถัง เลนส์โคมไฟ ระบบไฟฟ้าทั้งคัน และรายละเอียดกระจุกกระจิก จำนวนอาจจะมีไม่มากแต่ค่าซ่อมสามารถแพงมากได้ และยังขึ้นอยู่กับว่าคุณจะหาของได้รึเปล่าด้วย’

แล้วสรุปว่า Dean เลือก Mondial รุ่นไหน? รุ่น 3.2 เป็นรุ่นที่ผมชอบมากที่สุด มันทางสายกลางดี แรงกว่ารถรุ่นปีแรกๆ แต่ค่าดูแลรักษายังไม่แพงเท่ารถรุ่นหลังๆ ที่ต้องปลดเครื่องยนต์ลงมาเปลี่ยนสายพาน และถ้าได้คันที่ใส่โช้คอัพปรับความหนืดไฟฟ้ามาแล้วก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก

‘ถึงแม้ว่ารุ่น3.4 จะใช้เครื่องยนต์ยุคใหม่กว่าและ T ก็เร็วขึ้นอีกนิด แต่ถ้าคุณกำลังมองหารถที่เป็นก้าวแรกสู่การไต่บันไดการเป็นเจ้าของ Ferrari ผมว่า 3.2 ก็ใช้ได้แล้ว มันเป็น Ferrari คันแรกที่ดีเลย’

MICHAEL WRIGHT เลือก Mondial เป็น Ferrari คันแรกของเขาเช่นกัน แต่เขาเลือกพละกำลังและเส้นสายที่ลื่นไหลของรถรุ่นใหม่มากกว่า ปีที่แล้วเขาซื้อ Mondial T เปิดประทุนแบบเดียวกับที่อยู่ในคอลัมน์นี้มาหนึ่งคัน แต่ภายในเป็นสีดำ

‘ผมมีรถที่น่าสนใจอยู่สองสามคัน เช่น Renault 5 Turbo 2, Lancia Integrale, Lotus Carlton แล้วก็ Lotus Evora GTE ซึ่งผมซื้อใหม่มาเลยเมื่อสามปีที่แล้ว และตอนนี้มันก็ยังอยู่ ปกติแล้วผมมักจะเปลี่ยนรถใหม่ทุกๆ 2-3 ปี  แต่ฤดูร้อนปีที่แล้วผมได้จังหวะเก็บเงินเร็วขึ้นหน่อย คือการเก็บเงินในธนาคารมันก็ไม่ใช่อะไรที่ดูสดใสนัก แล้วผมก็ไม่สนใจลงทุนในหุ้นด้วย ผมเลยคิดว่าถ้าอย่างงั้นผมซื้อรถอีกคันดีกว่า ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับการที่เรามีลูกสองคนพอดี มันก็เลยจะต้องเป็นรถแบบ “พลัสทู” (+2)

‘ดูเหมือนผมจะเป็นคนกลุ่มน้อยที่ชอบ Mondial จริงๆ จังๆ ตอนที่มันออกใหม่! ตอนนั้นผมยังอายุแค่ 11 ปี แต่ก็รู้สึกชอบหน้าตาของมันแล้ว และพอรุ่นเปิดประทุนเปิดตัวออกมา ผมก็ยิ่งชอบมันเข้าไปอีก ภรรยาผมก็ชอบเหมือนกัน ผมก็เลยเริ่มมองหารถที่มีในตลาดดู

‘ผมไม่ค่อยชอบรถรุ่นปีแรกๆ ที่ใช้กันชนดำเท่าไหร่ รุ่น 3.2 ดูดีกว่าและข้อดีของมันก็คือเซอร์วิสถูกกว่าด้วย แต่ตอนลองหารถมันกลับไม่มีรุ่นนี้เลย ส่วนรุ่น T นั้นน่าสนตรงหน้าตาที่อัพเดทมาดูทันสมัยกว่าเดิมกับสมรรถนะที่เพิ่มขึ้น และการที่มันเป็นรุ่นอัพเดทรุ่นสุดท้ายของตัวถังนี้ เครื่องยนต์ของ 348 ยังสามารถติดตั้งในระดับที่ต่ำกว่ารุ่นเดิมได้ด้วย ซึ่งช่วยเรื่องแฮนด์ลิง’

แต่ถึงแม้จะขายทั่วโลกไปได้ไม่น้อย (ยอดขายรวมทุกรุ่นย่อยในระยะเวลาตลาด 13 ปี อยู่ที่ประมาณ 6,000 คัน) รถที่เข้ามาอังกฤษก็มีเพียงไม่กี่ร้อยคันเท่านั้น ตลาดมือสองจะมีรุ่นเปิดประทุนขายอยู่ทีละราว 8-10 คัน ที่ราคาตั้งแต่ 38,000 ไปจนถึง 70,000 ปอนด์’ Michael กล่าว ‘อันที่จริงราคาไม่ค่อยขยับเท่าไหร่ในช่วงปีหลังๆ มานี้ คุณน่าจะสามารถหารถสภาพสวยในราคาช่วง 40,000 – 45,000 ปอนด์ได้ และเช่นเคยที่ช่วงเวลาในการเจรจาขอซื้อที่ดีที่สุดก็คือช่วงฤดูใบไม้ผลิกับฤดูหนาว

‘งบผมไปไม่ถึงกรอบราคาด้านบน แต่ผมไปเจอคันนึงประกาศขายจาก Ferrari Centre ที่ราคา 43,000 ปอนด์ มันใกล้จะหมดฤดูร้อนของปีนั้นแล้ว และยอดขายก็ทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ ซึ่งก็เข้าทางผมเลย ผมไปเห็นมันวันพฤหัสแต่ก็ไม่มีโอกาสโทรศัพท์ไปถามจนกระทั่งวันรุ่งขึ้นพอผมเปิดเวบไซต์เช็คดูเท่านั้นล่ะ ปรากฏว่าราคาของมันขยับลงมาอีกตั้งสามพันปอนด์!

‘มันเป็นรถปี 1991 วิ่งประมาณ 43,000 ไมล์ เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่รถไมล์ต่ำสุดๆ แบบนั้น แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมกล้าเอามันออกมาใช้ ประวัติการซ่อมดีเยี่ยมนับตั้งแต่วันแรกที่ออกจากศูนย์ ผมรู้ว่าผมไม่มีทางจะหารถที่ประวัติดีกว่าคันนี้ไปได้แล้ว และผมก็ชอบด้วยที่มันถูกเอาออกมาใช้จริงๆ ไม่ใช่จอดทิ้งอยู่ในโรงรถ

‘ผมบอกว่าผมยินดีจ่ายราคาเต็มถ้าพวกเขาจะช่วยเปลี่ยนสายพานแคมชาฟท์ให้ จากนั้นเราก็ตกลงซื้อขายกันและผมแวะไปรับมันมาในอีกสามสัปดาห์ให้หลัง’

ถึงตอนนี้ก็ผ่านมาปีนึงได้แล้ว Michael คิดยังไงกับ Ferrari คันแรกของเขาบ้าง?‘คือ..มันไม่แรง’ เขาหัวเราะ ‘ผมถูกสปอยล์จากรถแรงคันอื่นๆ ที่ผมมีไปเรียบร้อยแล้วคำว่า ‘กระฉับกระเฉง’ น่าจะใช้อธิบายมันได้ดีที่สุด นี่ขนาดเป็น T แล้วนะ

‘มันได้ชื่อว่าเป็น Ferrari ของช่างทำผม’ ซึ่งคุณก็จะคิดว่ามันคงจะขับง่ายๆ แต่น้ำหนักของการควบคุมต่างๆ ก็หนักเอาเรื่องอยู่ถ้าเทียบกับรถสมัยนี้ ทุกอย่างตั้งแต่พวงมาลัย แป้นเหยียบ คันเกียร์ ต้องออกแรงกันหน่อย

‘เบรกโอเค และการที่เครื่องยนต์เป็นหัวฉีดก็ทำให้มันเดินเรียบในทุกสถานการณ์แม้แต่ตอนรถติด เท่าที่ใช้มาก็ยังไม่มีอะไรเสียให้เห็น อ้อ! ผมส่งมันไปเช็คสภาพสีด้วย ผลปรากฏว่าตัวถังทุกชิ้นยกเว้นแค่ชิ้นเดียวยังเป็นสีเดิมจาก Maranello ด้วย ซึ่งเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับรถอายุ 27 ปี!

‘มันใช้งานได้สะดวกดีเลย ท้ายรถขนาดกำลังดีเหมาะกับการใส่ถุงนิ่มๆ ขนาดใหญสักสองใบ และในรถบางคันที่ไม่มียางอะไหล่มาให้ ก็จะมีพื้นที่ใส่ของในฝากระโปรงหน้าเพาใด้วย

‘ผมมีลูกสาวตัวโตสองคน คนนึง 10 อีกคน 12 ขวบ ทั้งคู่นั่งบนเบาะหลังได้พอดีๆ ทุกครั้งที่ผมไปดูเบาะหลังของรถคูเป้ 2+2 ไม่ว่าจะเป็น 308 GT4, Mondial, Lamborghini Urracos มันก็จะดูน่าอึดอัดเหมือนๆ กันไปหมด แต่กับ Mondial เปิดประทุน คุณสามารถใส่ผู้ใหญ่สี่คนลงไปได้จริงๆ แม้ว่าอาจจะต้องเปิดหลังคาช่วยเอาหน่อย

‘การจะเปิดหรือปิดหลังคาแต่ละทีเป็นงานที่ต้องใช้เวลาหน่อย ซึ่งเป็นจุดนึงที่ Mondial แสดงอายุอานามจำนวนไม่น้อยของมันออกมาให้เห็น แต่ถ้าคุณคิดจะจอดมันเก็บไว้ในโรงรถนานๆ ขอแนะนำให้กางหลังคาเอาไว้เพราะจะช่วยรักษาสภาพหลังคาได้ดีกว่า

‘พูดตรงๆ ว่าพอปิดหลังคามันลดทอนความสนุกไปพอสมควร เสียงลมลอดเข้ามาเต็มไปหมด แล้วมันก็ไม่ได้รู้สึกพิเศษเลยด้วย เพราะฉะนั้นมันคือรถที่เหมาะเอาออกมาเปิดหลังคาขับในวันแดดดีสำหรับการพาครอบครัวไปเที่ยวแบบเช้าเย็นกลับแบบนั้น

‘ผมไม่ได้ซื้อมันมาเพื่อสมรรถนะ เพราะผมมี Lotus อยู่แล้ว นี่เป็นรถสำหรับขับเล่นกับเต๊ะท่าเท่ๆ มากกว่า เอ้า…ก็มันเป็นFerrari สีแดงนะ!”

 

ประตูของ Mondial ยังเปิดได้ไม่กว้างเท่าที่ควร แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้แย่เท่ากับรถอย่างพวก Esprit เบาะนั่งในรถทดสอบของเราหุ้มด้วยหนังสีดำที่ตัดเย็บมาอย่างสวยงาม (หมายเลขแชสซีส์ 22) ปุ่มควบคุมต่างๆ เรียบง่ายและอยู่ในขอบเขตของสายตา เอาเป็นว่าต่อให้คนที่ขับ Escort หรือ Fiesta มาก่อนก็จะไม่รู้สึกประหม่าเมื่อถูกห้อมล้อมโดยภายในของรถรุ่นนี้

แล้วเขาก็ยังไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องคลัทช์ เบรก หรือการตอบสนองของคันเร่งจนเหงื่อตกด้วย เพราะทุกอย่างใช้ง่ายและไม่ได้หนักขนาดนั้น เครื่องสตาร์ทติดตั้งแต่การบิดกุญแจครั้งแรก ก่อนจะกลายเป็นเสียงคำรามแน่นๆ ในรอบเดินเบา ซึ่งดังในระดับที่สร้างความประทับใจได้พอดี ตอนนี้ก็ถึงเวลาไปที่สนามทดสอบเลขแปดกันแล้ว

เกียร์ Ferrari ไม่ใช่สิ่งที่จะเอาชนะได้ง่ายๆ ยิ่งเป็นเกียร์รุ่นวางขวางด้วยก็ยิ่งไม่มีข้อยกเว้น การโยกเปลี่ยนเกียร์แต่ละตำแหน่งจะรู้สึกขัดๆ หน่อยโดยเฉพาะในเกียร์ที่ต้องดึงลงล่างการดึงเกียร์ออกจากตำแหน่งเดิมจะรู้สึกหนืดมาก ก่อนที่มันจะเด้งปึ๋งออกมาและเข้าเกียร์ต่อไปได้อย่างนุ่มนวล แต่คุณจะต้องใส่เกียร์อย่างมั่นใจและหนักแน่นนะ

เครื่อง 3.4 รุ่นใหม่ส่งกำลังได้สม่ำเสมอกว่า 3.2 ที่มันออกมาทดแทน รอบต่ำเรี่ยวแรงดีกว่าเดิม และรอบสูงก็มีความต่อเนื่องมากขึ้นใน Mondial รุ่นเก่าเครื่องจะเริ่มตื่นตัวตั้งแต่แถวๆ 4,000 รอบ/นาที เป็นต้นไป ส่วนรุ่นใหม่ไม่เคยรู้สึกว่ามันเฉื่อยชาเลยตั้งแต่ต้น เครื่องยนต์สร้างแรงดึงได้อย่างยาวต่อเนื่องและแว่วหวานตั้งแต่รอบต่ำกว่า 1,000 รอบ/นาที ในเกียร์ห้า ซึ่งถือเป็นความสำเร็จอย่างมากยิ่งเร่งมันก็ยิ่งดึงแรงขึ้นไปเรื่อย พร้อมกับความกระฉับกระเฉงที่ตามมาจนกระทั่งคุณชนเข้ากับขีดแดงที่ 7,500 รอบ/นาที 

ผมไม่ค่อยแน่ใจเรื่องการตัดสินใจใส่พวงมาลัยพาวเวอร์ของMaranelloสักเท่าไหร่ แล้วผมก็สงสัยด้วยว่าหลังจากนั้นจะมีอะไรต่อ Mondial เกียร์อัตโนมัติ?Mondial ขับสี่?แต่ไม่ต้องห่วงครับ วิศวกรของ Ferrari เลือกเฟ้นระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดมาให้ Mondial อันที่จริงมันเหมือนพวงมาลัยธรรมดาของ Ferrari เลยล่ะ Mondials มีการบังคับควบคุมที่ดีมาตั้งแต่แรก จังหวะหักเข้าโค้งคมกริบ รถทั้งคันรู้สึกกระทัดรัด กระปรี้กระเปร่า และเชื่องมือมาก

การที่ Mondial เป็นรถขับสนุก เร็ว และใช้งานสะดวกก็น่าจะทำให้มันเป็น Ferrari รุ่นยอดนิยมที่สุด สุดท้ายแล้วมันเป็นรถที่ทำทุกอย่างได้ไม่ต่างจาก Porsche 911 ในเงินจำนวนเท่ากัน และเพิ่มสไตล์ การบังคับควบคุมที่ดี และเครื่องยนต์ที่ขัดเกลามาดีกว่าลงไป แต่ถึงอย่างนั้นยอดขายก็ไม่สามารถทำได้ดีกว่านี้  ทำไมรถดีๆ แบบนี้ต้องถูกเมินด้วย? ไม่ยุติธรรมเลย – Car เมษายน 1989

 

บทความโดย Peter Tomalin
นิตยสาร Enzo ฉบับที่ 5

Share

ใส่ความเห็น