เรื่อง JOHN BARKER I ภาพ DEAN SMITH
ซูเปอร์คาร์ความเร็วสูงกว่า 210 ไมล์ต่อชั่วโมงสามารถใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างจริงจังจนเลขไมล์สูงขนาดนี้ได้อย่างไร?Guy Cherry เจ้าของและผู้ใช้จริงบอกเล่าเรื่องราวที่น่าทึ่งนี้
Guy Cherry ชื่นชอบในการใช้ F12 ในการดำเนินชีวิตประจำวันและแน่นอนสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน ปีที่แล้วเขาขับซูเปอร์คาร์คันนี้ไปที่ Maranello ‘ผมนำรถเข้าไปจอดที่ส่วนต้อนรับในช่วงเวลาเดียวกับที่พนักงานของ Ferrari ในชุดสีแดงกำลังหยุดพักผ่อนระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ประจำวันหลังจากที่พินิจพิจารณารถของผมอยู่สักครู่เขาถามผมว่า “วิ่งมากี่กิโลแล้วล่ะ” ผมเปิดประตูรถออกและให้เขาดูคำตอบของสิ่งที่เขาถาม สิ่งที่ตามมาคือเขาส่งเสียงอุทานออกมาอย่างดังสื่อถึงว่าสิ่งที่เขาเห็นไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ และเมื่อผมกลับมาจากการรับประทานอาหารกลางวันปรากฏว่ามีคน 6 คนมารุมล้อมอยู่รอบ ๆ รถของผมพร้อมกับสอดส่องสายตาดูส่วนต่าง ๆ อย่างพินิจพิเคราะห์’ ณ เวลานั้น F12 ของ Guy วิ่งไปแล้วเป็นระยะรวมกว่า 32,000 ไมล์แล้วแต่ในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้ F12 คันนี้มีการนัดหมายการเข้ารับบริการตรวจซ่อมบำรุงตามระยะที่ 50,000 ไมล์แล้วซึ่งทำให้เป็น Ferrari F12 ที่มีการวิ่งใช้งานจนมีระยะทางรวมสูงสุดในโลกคันหนึ่ง
มีความเชื่อถ่ายทอดส่งต่อๆ กันมาว่าอย่าใช้มือเปียกเปิดสวิทซ์ไฟและอย่าใช้ Ferrari ให้มีเลขไมล์สะสมเยอะ ๆ เพราะจะมีผลต่อมูลค่าราคาของรถ(ในประเด็นนี้เราจะมาว่ากันทีหลัง) แต่สำหรับ Guy เขาเชื่อมั่นอย่างมากว่ารถที่ใช้งานน้อยนั่นแหละคือตัวปัญหาอย่างแท้จริง ซึ่งเมื่อเรารับรู้ว่ามีความเสียหายหรือการทำงานที่ผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในขณะที่ Guy ใช้งาน F12 730 แรงม้าไปแล้วเป็นระยะทางรวมกว่า 45,000 ไมล์ในช่วงระยะเวลาเพียง 3 ปีต้องยอมรับว่าความคิดของ Guy มีเหตุผลเหมือนกัน
การนำรถเข้ารับบริการตรวจเช็คระยะ 50,000 ไมล์เป็นการนำรถเข้าตรวจเช็คเป็นครั้งที่ 3 นับตั้งแต่ Guy ได้เป็นเจ้าของซูเปอร์คาร์คันนี้ซึ่งการนำรถเข้ารับบริการแต่ละครั้ง Guy ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่เพนนีเดียวเนื่องจากนับตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2011 เป็นต้นมา Ferrari ได้มอบโปรโมชั่นพิเศษ Genuine Maintenance ให้กับเจ้าของรถ Ferrari ด้วยการตรวจเช็คสภาพตามระยะฟรีซึ่งครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายในเรื่องของชิ้นส่วนอะไหล่และค่าแรงด้วย โดยที่ผ่านมารถคันนี้เคยมีการเคลมประกันเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น ครั้งแรกเกิดขึ้นหลังจากที่ Guy เป็นเจ้าของแล้ว 7 เดือนในส่วนของโช้คอัพหลังซึ่งศูนย์ฯ บอกกับ Guy ว่าอาจจะใช้เวลานานสักหน่อยแต่จริง ๆ แล้วใช้เวลาเพียง 5 วันก็เสร็จเรียบร้อย อีกครั้งหนึ่งเป็นการทำสีใหม่บริเวณช่องอากาศด้านบนปีกหลัง
Guy ซื้อ F12 คันนี้ในเดือนกันยายนปี 2015 ซึ่งในเวลานั้น F12 คันนี้เพิ่งออกจากโชว์รูมไปในสภาพรถใหม่ป้ายแดงได้เพียง 5เดือนเลขไมล์บนแผงหน้าปัดบอกว่าวิ่งใช้งานไปแล้ว 4,000 ไมล์ ‘F12 คันแรกที่ผมได้รับข้อเสนอวิ่งใช้งานไปแล้ว 20,000 ไมล์เป็นของ Aston Martin โดยรวมแล้วยังไม่ถูกใจผมเท่าไหร่โดยเฉพาะในเรื่องสีที่เป็นสีดำ ข้อเสนอที่ 2 มาจาก Graypaul Nottingham โดยเขาบอกว่ามีรถสีเทา ภายในตกแต่งด้วยหนังสีดำอยู่คันหนึ่งเขาบอกให้ผมลองลงไปดูโดยจะจ่ายค่าน้ำมันในการเดินทางให้แต่รถยังไม่ได้ทำความสะอาดยังมีความสกปรกเปรอะเปื้อนอยู่ ผมบอกว่าไม่ต้องทำความสะอาดหรอกเพราะผมจะใช้รถทุกวัน และเมื่อผมได้เห็นผมบอกเลยว่ามาทำข้อตกลงกันเลยดีกว่า
‘รถคันนี้เคยใช้เป็นรถ demo เป็นรุ่น F12 ตรงตามสเปคจากโรงงานทุกอย่างไม่ได้เป็นรุ่นที่มีการตกแต่งปรับเปลี่ยนสำหรับใครเป็นพิเศษและผมก็ไม่ได้สั่งติดตั้งอะไรเพิ่มเติมด้วย ไม่มีการใช้ระบบกันสะเทือนแบบปรับได้ เครื่องเสียงไม่ได้ไฮ–เอนด์ไม่เป็นไรผมไม่สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่แต่ภายในสวยงามมากการผสมผสานกันอย่างกลมกลืนระหว่างคาร์บอนไฟเบอร์กับหนังและผมชอบสีของรถคันนี้สีเทา Grigio Ferro และไม่มีการตกแต่งด้วยคาร์บอนที่ตัวรถด้านนอกเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมาก’
ความจริงที่ว่ารถคันแรกที่ถูกนำเสนอมี Aston Martin เป็นเจ้าของดูเป็นเรื่องประหลาดดีเหมือนกันเพราะรถคันก่อนหน้านี้ของ Guy เป็น Aston Martin Vanquish ซึ่งเขาได้เป็นเจ้าของในปี 2013 และใช้มันอย่างมีความสุขวิ่งใช้งานเป็นระยะทางรวมกว่า 28,000 ไมล์ในช่วงเวลา 2 ปีก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ขึ้น Guy เล่าให้ฟังว่า ‘ผมกำลังเดินทางกลับจากทางตอนเหนือของ Wales เมื่อถูกสาววัยรุ่นที่ขับ Ford Kaมาชนท้าย บริษัทประกันของเธอให้ Aston Martin Rapideผมมาใช้อยู่ 4 ถึง 5 อาทิตย์ก่อนจะรู้ว่าเขาต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึง 1,141 ปอนด์ต่อวัน สำหรับ Vanquish ประเมินราคาค่าซ่อมไว้ที่ 50,000 ปอนด์และต้องใช้เวลานาน ในที่สุด Aston Martin ตัดสินใจซื้อคืนไปในราคา 125,000 ปอนด์ขณะที่ผมซื้อมาในราคา 132,000 ปอนด์ เป็นการขับรถระยะทางรวมกว่า 28,000 ไมล์ที่ถูกจริง ๆ’
การใช้รถอย่างคุ้มค่าด้วยการใช้วิ่งจนระยะทางรวมสูงนั้นเป็นไลฟ์สไตล์ที่ติดตัวของ Guy มาอย่างยาวนาน งานที่เขาทำงานแรกคือการทำงานในธุรกิจรับซื้อยางเก่ายางชำรุดเสียหายทำให้เขาต้องเดินทางไปทั่วประเทศและการรู้จักคุ้นเคยกับบริษัทที่ทำงานด้านมอเตอร์สปอร์ตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งจุดนี้ทำให้เขาให้ความสนใจกับรถยนต์มากขึ้นเป็นพิเศษ
‘รถยนต์คันแรกของผมเป็น Volkswagen Beetle ได้มาตอนวันเกิดอายุ 17 ปี คันที่สองเป็น Spartan kit-car ใช้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตรของ Ford Cortina จนกระทั่งเพื่อนคนหนึ่งยกเครื่องยนต์ V6 2.8 ลิตรจาก Ford Granada ให้’
ตอนอายุ 19 ปี Guy เป็นเจ้าของ Merc 190E พร้อมชุดแต่งตัวถังที่ทำให้ดูเหมือน 190E 2.3-16 Cosworthซึ่งก็ทำให้เขาและรถของเขาต้องไปจอดหมดฤทธิ์อยู่ข้างทางบนถนนในแถบ Market Drayton ที่เป็นบ้านเกิดของเขาอยู่บ่อยครั้งซึ่งในที่สุดเขาตัดสินใจเปลี่ยนใหม่คราวนี้เป็นของจริง Ford Sierra RS Cosworth3 ประตูสีดำโดยซื้อมาในราคา 6,175 ปอนด์แต่จ่ายเพิ่มไปอีก 15,000 ปอนด์ให้กับ Severn Valley Motorsport เพื่อขยับแรงม้าขึ้นเป็น 572 แรงม้า เป็นหนึ่งในรถที่เร็วที่สุดในแถบ Doningtonแต่ก็เป็นรถที่มีโอกาสใช้งานน้อยมาก
มีช่วงเวลาหนึ่งที่เรื่องราวของเขากับรถที่เร็วแรงหยุดชะงักไปบ้างเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เขาได้ก่อตั้งบริษัทของเขาขึ้นดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการกำจัดของเสีย กลับมาในปี 2015 เขาใช้ Volvo V40 T4 เป็นรถใช้งานโดยใน 1 ปีทำระยะทางรวมได้เกือบ 40,000 ไมล์ จากนั้นเข้าสู่ช่วงเวลาของ AMG Mercก่อนที่จะจะสัมผัสกับโลกของซูเปอร์คาร์อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกด้วย Porsche 996 Turbo ที่เขาสามารถใช้ในการติดต่อธุรกิจของเขารวมไปถึงการเดินทางไปเยี่ยมเยือนลูกค้าที่อยู่ห่างไกลเช่นที่ Portsmouth และ Aberdeen ได้มากขึ้น
แต่แน่ใจได้ว่าไม่ว่าจะอยู่บน 911 Turbo หรือ Vanquish หรือ F12 มันดูไม่ดีเลยหากต้องนำรถเข้าไปในพื้นที่จัดเก็บสิ่งปฏิกูลของเสียต่าง ๆ ที่ว่างเปล่าปราศจากผู้คน Guy เห็นด้วย ‘รถยนต์ที่ผมเป็นเจ้าของทุกคันผมจะจอดไว้ห่างเป็นไมล์เลยแล้วเดินเข้าไปแต่ครั้งหนึ่งเขาอยู่ในที่จอดรถและกำลังจะออกเดินแต่บังเอิญไปพบกับลูกค้าที่เขากำลังจะไปหาพอดี เขาแก้ตัวว่า Porsche คันนี้เป็นของพี่เขยแต่ในที่สุดเขาก็ต้องนำรถเข้าไปจอดที่ไซต์งาน หลังจากนั้นไม่กี่เดือนความลับก็ถูกเปิดเผยเมื่อพี่เขยของเขาไปเยี่ยมลูกค้าคนเดียวกันโดยรถที่เขาขับไปเป็น Volkswagen Passat
‘มีรถยนต์ของคุณคันไหนที่ทำให้คุณสิ้นเปลืองหรือไม่คุ้มค่าบ้างหรือไม่? ก็ไม่เท่าไหร่’ Guy บอก หนึ่งในนั้นเป็น Overfinch Range Rover ที่มูลค่าของรถหดหายไปครึ่งหนึ่งเมื่อเขาขายไปหลังจากที่ใช้งานไป 3 ปี โชคดีที่ธุรกิจของเขาเดินหน้าไปได้ด้วยดีและในปี 2012 Vanquish คันแรกก็อยู่ในความครอบครองของเขาโดยเขาบอกว่า’มันเป็นรถยนต์ที่มีความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแต่ระบบส่งกำลังเป็นคนละเรื่องกัน ในปี 2013 Overfinchและ Vanquish ได้รับโอกาสให้เป็น Vanquish คันแรกที่อยู่ในความครอบครองของเขา ‘ผมได้ทดลองขับรถของ StratstoneWilmslowซึ่งผมชอบมันแต่ราคาที่เสนอมาสูงถึง 160,000 ปอนด์ แต่คันที่ผมตกลงซื้อจาก Grange Aston ใน Essex อยู่ที่ 132,000 ปอนด์ซึ่งเป็นรถยนต์สองคันที่ผมต้องจ่ายเพิ่มหลังจากนั้นอีก 5,000 ปอนด์แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร’ Guy บอกพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
สำหรับ F12 คันนี้ Guy ได้มาในเดือนกันยายนปี 2015 ซึ่งอย่างที่เห็นภายนอกอยู่ในสภาพที่ผ่านการทำความสะอาดมาเป็นอย่างดีแต่ถ้าหากดูลึกลงไปในรายละเอียดเฉพาะจุดจะเห็นได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ผ่านการใช้งานมาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับจมูกด้านหน้าและด้านหน้าของซุ้มล้อหลังรวมถึงด้านบนกระจกหน้าที่จากการกระเด็นกระดอนของเศษหินเศษกรวด แต่ภายในห้องโดยสารร่องรอยการสึกหรอที่เกิดจากการใช้งานหนักมีให้เห็นเพียงที่บริเวณด้านนอกสุดของเบาะรองนั่งผู้ขับขี่เท่านั้น ซึ่งผมรู้ดีว่าซูเปอร์คาร์คันนี้ถึงแม้จะมีการใช้งานอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวันซึ่งทำให้เครื่องยนต์มีการทำงานอย่างต่อเนื่องเหมาะสมอย่างที่เครื่องยนต์นี้ถูกพัฒนาและบรรจุอยู่ในห้องเครื่องยนต์ซึ่งผมเคยนำเสนอเรื่องราวในแง่มุมที่เกี่ยวกับการทดลองขับซูเปอร์คาร์คันนี้มาแล้วใน Enzoฉบับที่ 4
ชีวิตคือความรื่นรมย์โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับซูเปอร์คาร์แบบแกรนด์ทัวริ่ง ‘ก่อนอื่นผมคิดว่า F12 เป็นหนึ่งในซูเปอร์คาร์ที่ดึงดูดความสนใจได้มากที่สุด’ Guy บอก ‘แถมยังขับขี่ได้อย่างสะดวกสบายง่ายดายเมื่อเทียบกับซูเปอร์คาร์อื่นๆ’ ใจผมอยากจะใส่เบาะนั่งของ Daytona หรือ 550 Maranelloที่มันยอดเยี่ยมมากมาใส่ไว้แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน ค่าใช้จ่ายน่าจะไม่ต่ำกว่า 4,000 ปอนด์แต่ผมก็เคยเห็นมีวิ่งอยู่บ้างสัก 3 หรือ 4 คัน ซึ่งหากถามว่ามีอะไรที่ผมอยากจะเปลี่ยนอีกหรือไม่บอกได้เลยไม่’
แน่นอนว่าการได้อยู่ด้านหลังซูเปอร์คาร์อย่าง Ferrari ดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี ‘หลากหลายประสบการณ์พิเศษเกิดขึ้น ผมเห็นหลายต่อหลายคนใช้โทรศัพท์ของเขาถ่ายรูปรถยนต์คันนี้แล้วส่งต่อไปให้เพื่อนสนิทมิตรสหายของเขา บางคนที่มีอายุมากหน่อยต้องการที่จะเข้ามาพูดคุยในเรื่องที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ขณะที่วัยรุ่นต้องการที่จะรู้ว่าอะไรคือ Ferrari ในประเทศฝรั่งเศสมีชายร่างใหญ่คนหนึ่งที่ก้าวลงมาจาก Porsche Macanและเข้ามาประชิดตัวผมเมื่อผมจอดรถในตอนแรกผมคิดว่าเกิดอะไรขึ้น ผมทำให้เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับรถยนต์ของเขาหรือเปล่าแต่หลังจากการได้พูดคุยกันด้วยภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยจะชัดเจนถูกต้องของเขาคำพูดสุดท้ายที่เขาพูดกับผมคือ ‘นี่เป็นรถของคุณมันเหมาะสมกับคุณแล้ว’
เมื่อมาพูดถึงเรื่องของการบริการและการรับประกันที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แล้วอะไรที่ทำให้ Ferrari เครื่องยนต์ V12 พละกำลัง 730 แรงม้าที่ผ่านการใช้งานมาแล้วเป็นระยะทางรวมกว่า 45,000 ไมล์ต้องทำให้ผู้เป็นเจ้าของต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินเพิ่มขึ้นจากโปรโมชั่นที่ซูเปอร์คาร์คันนี้ได้รับไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของยาง, เบรก, น้ำมันเชื้อเพลิงหรือน้ำมันหล่อลื่น ‘เมื่อผมซื้อซูเปอร์คาร์คันนี้สิ่งแรก ๆ ที่เห็นคือดอกยางมีการสึกหรอไปบ้างพอสมควรแต่จากนโยบายของ Ferrari ที่นำเสนอแนวทางปฏิบัติที่จะทำให้รถยนต์ใช้แล้วมีสภาพที่เหมือนกับรถยนต์ใหม่บนโชว์รูมทำให้หนึ่งในข้อเสนอที่ผมได้รับจาก Graypaulคือการเปลี่ยนยางชุดใหม่ให้ทั้งชุดโดยผมไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เมื่อนำรถเข้ารับบริการตรวจซ่อมบำรุงตามระยะครั้งแรกซึ่งผมก็ได้ยางชุดใหม่มาหนึ่งชุดหลังจากนั้นผมก็เปลี่ยนใหม่อีกชุดซึ่งก็ไม่แพงเลยเช่นเดียวกับชุดผ้าเบรกที่ผมเปลี่ยนใหม่ไปหนึ่งชุดเป็นชุดผ้าเบรกสำหรับเบรกคาร์บอนเซรามิคโดยผมจ่ายไป 1,200 ปอนด์ขณะที่ในเรื่องน้ำมันหล่อลื่นระบบต่าง ๆ ผมไม่ต้องจ่ายเงินในส่วนนี้แต่อย่างใด หากถามในเรื่องของความประหยัด ค่าเฉลี่ยความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง 18 ไมล์ต่อแกลลอนกับรถยนต์ระดับซูเปอร์คาร์และสมรรถนะที่ได้รับแล้ว เป็นความคุ้มค่าอย่างแน่นอน มีรายการเดียวที่ต้องเปลี่ยนใหม่นั่นคือแบตเตอรี่ที่ผมต้องจ่ายเพิ่มไปอีก 400 ปอนด์’
สำหรับ Ferrari ที่จำหน่ายในประเทศอังกฤษมาพร้อมกับการรับประกันเป็นเวลา 4 ปีและวันครบรอบปีที่ 4 ของซูเปอร์คาร์ของ Guy คันนี้จะมาถึงเดือนมีนาคมปีหน้าซึ่ง Guy บอกว่าเขาอยากจะต่อระยะเวลาการรับประกันออกไปอีกซึ่งการรับประกันรถยนต์ Ferrari ในปัจจุบันมีผลครอบคลุมเป็นระยะเวลาที่ยาวนานถึง 15 ปี ขณะเดียวกันเขายังคงมุ่งมั่นกับมาตรฐานการใช้งานรถยนต์ที่มีค่าระยะทางเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 13,000 ไมล์ซึ่งเกิดขึ้นจากการขับรถรับ–ส่งลูก ๆ ของเขาจากบ้านไปโรงเรียนที่มีระยะทางรวมประมาณ 8 ไมล์และการเดินทางไปยังสำนักงานของเขาที่มีระยะทางประมาณ 30 ไมล์ในแต่ละวันดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้อย่างมากที่เมื่อซูเปอร์คาร์คันนี้มีอายุการใช้งานครบ 7 ปี เลขไมล์รวมบนแผงหน้าปัดจะขยับขึ้นไปอยู่ 100,000 ไมล์ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ซูเปอร์คาร์คันนี้จะต้องเดินทางไปสู่ Gray paulเพื่อเข้ารับการตรวจซ่อมบำรุงตามระยะเป็นครั้งที่ 8 และถึงแม้ว่า Gray paulจะไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการหลักของ Ferrari บนเกาะอังกฤษก็ตามแต่สำหรับ Guy แล้วเขาพบว่าที่นี่มีความสะดวกสบายเป็นกันเองง่ายต่อการบรรลุถึงข้อตกลงที่เป็นที่พึงพอใจทั้งสองฝ่ายมากกว่าที่เขาเคยประสบมาในอดีต
กลับมาว่ากันถึงประเด็นที่ว่าผลกระทบจากการใช้รถยนต์ระดับซูเปอร์คาร์อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ‘ผมจ่ายเงินไป 240,000 ปอนด์สำหรับการได้เป็นเจ้าของซูเปอร์คาร์คันนี้และมีความเป็นไปได้ว่ารถของผมจะเป็น F12 ที่มีการใช้งานจริงเป็นระยะทางรวมมากที่สุดซึ่งจากที่ผมลองค้นหาดูพบว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมาราคาซื้อขายต่อซูเปอร์คาร์รุ่นนี้ต่ำสุดอยู่ที่ 160,000 ปอนด์และถ้าหากผมคิดถูกต้องเมื่อผมใช้รถของผมไปครบ 7 ปีค่าเฉลี่ยความค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 17,000 ปอนด์ต่อปีซึ่งคุณไม่สามารถหาเช่าซูเปอร์คาร์รุ่นนี้ได้หรอกในจำนวนเงินเท่านี้’ คำถามสุดท้ายที่เกิดขึ้นคือซูเปอร์คาร์คันนี้จะยังคงอยู่ในโรงรถของ Guy หรือไม่และหากมีข้อเสนอสำหรับโมเดลอื่น ๆ คำตอบคือ ‘แน่นอนเด็ก ๆ รักรถคันนี้มากพวกเขาตั้งชื่อให้ว่า Luigi สำหรับโมเดลอื่น หากมีข้อเสนอดี ๆ สำหรับ 812 Superfast แล้วล่ะก็…ไม่แน่นะ’
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น