แรงดึงดูด
ตลอดเวลาที่ผ่านมามีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับสาวสวยขณะที่รถติดบนถนนวันนั้นผมอยู่บนถนนหมายเลข A41 กำลังมุ่งหน้าเข้าเมืองลอนดอน ครั้งนั้นเราเหมือนนั่งข้างกันเพราะผมอยู่ในเฟอร์รารี่ F40พวงมาลัยซ้าย ผมจำเธอได้แม่น; สาวผมบลอนด์สลวยในรถ BMW M3 เปิดประทุน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 1992
แต่สิ่งที่น่าจดจำมากกว่าคือรถที่ผมขับอยู่ตอนนั้นผมเป็นพนักงานประจำให้กับนิตยสารรถยนต์ได้เพียงแค่สามปี เฟอร์รารี่F40 เป็นรถที่แตกต่างกับรถที่เคยขับ/ทดสอบมาทั้งหมด ย้อนกลับไป ณ เวลานั้นรถยนต์ที่มีพละกำลังมากถึง 478 แรงม้าแต่มีน้ำหนักเท่ากับ VW Golf Mk3 นับเป็นเรื่องที่สุดยอด
ทุกวินาทีที่อยู่หลังพวงมาลัยเป็นช่วงเวลาน่าจดจำ มันฝังลึกเข้าไปในความทรงจำของผม บนถนนไฮเวย์ผมสามารถขับตามบิ้กไบค์ได้ราวกับเป็นเงาของเขาและยังเกาะติดไปได้แม้เขาบิดคันเร่งเต็มที่ แต่ท้ายที่สุดผมก็ไม่สามรถตามไปได้ไกลเพราะเลนถนนที่แคบและลิ้นกันชนหน้าที่เตี้ยทำให้ค่อนข้างเป็นอุปสรรค หลังจากนั้นผมยังถูกท้าแข่งแดรกบนถนน(แบบจากสี่แยกไฟแดงถึงอีกไฟแดงหนึ่ง)โดย Cavalier SRi (อืมม.. ช่วงเวลานั้นช่างสุดยอดจริงๆ)
ขณะที่ขับเจ้า F40 ไปส่งคืนที่ใจกลางเมืองลอนดอนผมสังเกตุเห็นรถแวนสีขาวขับตามผมมาตลอดทางอันซอกแซกของถนนย่อยในเมืองแห่งนี้ เมื่อผมจอดที่ข้างทางรถแวนคันนั้นก็มาจอดขนาบข้างและคนขับจึงบอกผมว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง ผมแค่อยากจะตามดูให้แน่ใจว่านี่คือรถรุ่นเดียวกับที่ลูกชายของเขามีโปสเตอร์แปะอยู่ในห้องเท่านั้น”
ลื่น–ไถลไปด้วยกัน
การทดสอบรถอาจจบลงด้วยบอดี้คาร์บอนไฟเบอร์ที่ฉีกขาดและยับยู่ยี่ นั่นคือสิ่งที่อยู่ในใจเวลาผมตลอดเวลา ผมต้องใช้เวลาในการทำความรู้จักกับรถนานพอสมควรก่อนที่ผมจะสามารถขับมันเร็วขึ้นได้อย่างสบายใจ ผมต้องรู้ว่าลิมิตของมันอยู่ตรงไหน ต้องลองแหย่มันดูก่อนว่ามันดุร้ายแค่ไหน ซึ่งนั่นจะไม่เป็นปัญหาสำหรับการเทสรถที่มีเรี่ยวแรงน้อยถึงปานกลางแต่อาจไม่เหมาะที่จะเล่นกับรถซูเปอร์คาร์ที่มีเทอร์โบอย่าง F40 คันนี้
ในฤดูใบไม้ร่วง ปี 1992 วันนั้นเป็นวันฝนตกและพื้นถนนก็เปียกผมอยู่ที่สนามซิลเวอร์สโตน (Silverstone)พร้อมกับ F40, แลมโบกินี่ Countach, เฟอร์รารี่ GTB/4 Daytona*1และจาร์กัวร์ XJ220สำหรับ XJ220 นั้นผมเคยมีโอกาศได้ทดสอบมันมาแล้วตอนที่มันเปิดตัวที่ Österreichring(ตอนนี้คือ Red Bull Ring ประเทศออสเตรีย) วันนั้นผมก็ไม่สามารถเค้นมันจนถึงลิมิตและวันนี้ผมก็ยังไม่ประทับใจกับมัน ซึ่งหากเปรียบเทียบกันแล้วF40 ดู ”เป็นมิตร” กว่ามาก
แม้ผมจะได้ยินคำเล่าลือถึงมันอยู่ไม่น้อย แต่หลังจากที่ขับผ่านโค้งแคบๆหลายโค้งและรถเล่นสะบัดไป–มาเพื่อให้ช่างภาพได้เก็บภาพแล้วผมก็รู้สึกว่ามันควบคุมง่ายและแทบจะไม่มีทางหลุดโค้งเลย เย็นวันนั้นผมจึงหยิบกุญแจมาและขับมันกลับบ้าน ช่างเป็นการกลับบ้านที่สนุกสนานมากวันหนึ่งแม้เสียงของเครื่องเทอร์โบคู่จะดังไปหน่อย ท้ายของมันสะบัดออกง่ายมาก และถ้ากดคันเร่งค้างไว้มันก้อจะดริฟค้างอยู่เช่นนั้น ผมถึงขั้นลองดีกับมันด้วยการขับผ่านแอ่งน้ำตื้นๆเพื่อให้รถไถลเล่น ผมตกหลุมรักมันตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ในวันที่เปียกชุ่ม
เย็นวันหนึ่งของฤดูใบไม้ร่วงในปี ค.ศ.1989 ผมได้เข้าไปรับรถ F40 ของ Nick Mason ที่บริษัท Ten-Tenth บนถนนKing’s Cross, London มันทำให้ผมนึกถึงฉากในหนังของบริษัท Hammer ขึ้นมา ที่นั่นมีรถม้าแบบที่มีตะเกียงแขวนหน้ารถจอดอยู่สองคัน เป็นไม่กี่แห่งในลอนดอนที่คุณจะได้เจอกับรถม้าแบบนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนในละแวกนั้นทำงานอยู่ในแวดวงภาพยนต์
ผมเกือบลืมบอกไปว่าผมต้องวางเงินมัดจำมากถึง 1 ล้านปอนด์ แต่ Nick ให้กำลังใจว่า “ไม่ต้องห่วงหรอกต่อให้คุณโชคร้ายสุดๆคุณก็ไม่น่าจะเสียค่าซ่อมรถมากกว่า 40,000 ปอนด์”
ผมตั้งตารอที่จะขับเจ้า F40 มานานแต่พอเวลานั้นมาถึงผมกลับรู้สึกเปลี่ยนใจและหวังว่าผมจะยกหน้าที่นี้ให้คนอื่นไปตอนนั้นผมเป็นบรรณาธิการและนั่นเหมือนกับเป็นเอาใจผม แต่เจ้าเฟอร์รารี่คันนี้มันไม่ค่อยเหมาะกับท้องถนนเท่าไหร่โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่ฝนตกบ่อยอย่างอังกฤษการระบายอากาศภายในรถแย่มากและกระจกข้างรถเป็นพลาสติกแบบมือหมุนทำให้เปิดปิดลำบาก พอฝนตกฝาก็จะขึ้นเต็มกระจกหน้ารถ ส่วนทัศนวิสัยทางด้านหลังนั้นเรียกได้ว่าไม่มี และล้อหลังก็หมุนฟรีง่ายมากแค่คุณกดคันเร่งเร็วไปนิดหน่อยเท่านั้น
วันนั้นฝนตกหนักสลับกับเบาตลอดช่วงเวลาที่ผมทดสอบรถ ไม่ว่าจะเป็นบนถนนหรือในสนาม Castle Combeผมต้องขับโชว์สมรรถนะที่สนามนี้ด้วยแต่มันทั้งฝนตกและมืด ผมจะขับเร็วที่สุดได้แค่เกียร์สองแต่รถไถลไปมาแทบทุกที่ไม่ใช่แค่ในโค้งแม้ ผมไม่รู้ว่าคนที่นั่งไปกับผมจะรู้สึกยังไงแต่ผมรู้สึกว่ามันน่ากลัว
อากาศดีขึ้นขณะที่ผมขับรถกลับมาคืน ผมไม่มีเวลาเอาเจ้า F40 ไปล้างมันจึงดูเป็นสีน้ำตาลแทนที่จะเป็นสีแดงสด “ไม่ต้องเป็นห่วง” ผมบอกกับ Nick ”ภายใต้สีโคลนนั้นไม่มีแม้รอยขีดข่วนใดๆ”
การแก้ไขสถานการณ์แห่งศตวรรษ ที่สุดของการกอบกู้สถานการณ์
ย้อนกลับไปปี ค.ศ. 1991 เมื่อสมัยผมยังหนุ่มและทำงานอยู่ที่ Autocar& Motor เราแข่งขันกันว่ารถรุ่นไหนจะใช้เวลาน้อยที่สุดในการวิ่งจาก 0 – 100 mph และเบรคกลับมาที่หยุดนิ่ง ผมต้องการที่จะชนะ นั่นทำให้ผมและอดีตนักแข่ง F1 พากันไปที่สนาม Santa Pod พร้อมด้วยรถถนนที่เร็วที่สุดในตอนนั้น
รถที่ว่าคือ F40 ของ Nick Mason*2และผู้อยู่หลังพวงมาลัยคือ Mike Wilds อดีตนักแข่งทีม BRM and Ensign ทุกอย่างพร้อมแล้วสำหรับการทดสอบ ปัญหาเดียวในวันนั้นคือฝน รถออกตัวส่ายไปมาและแม้รถจะไม่มีระบบ Traction controlแถมเขาก็ต้องเปลี่ยนเกียร์ถึงสองครั้ง Mike ก็ยังสามารถพาเจ้า F40 วิ่งจาก 0 – 100 mph ได้ภายในเวลา 8.5 วินาทีอันน่าทึ่ง แล้วเขาก็เหยียบเบรคเต็มแรง
รถไม่หมุนหรือไถลแต่มันสะบัดขวางลำในเสี้ยววินาที ความทรงจำที่ค้างอยู่ในสมองของผมคือเราอยู่ในรถความเร็วหลักร้อยและภาพด้านนอกที่เบลอ ผมไม่เคยเห็นสัญชาติญาณในการแก้ไขสถานการณ์อันเฉียบพลันและรวดเร็วทันท่วงทีขนาดนี้มาก่อนและไม่คิดว่าจะได้เห็นอีกเป็นแน่ มันแม่นยำราวกับจับวางและเร็วปานสายฟ้าแลบ แล้วความหายนะที่เกือบจะเกิดขึ้นก็กลับสู่ภาวะปกติในชั่วพริบตา
ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับ Mike แต่ผมก็คิดผิด หลังจากเหตุการณ์อันตื่นเต้นครั้งนั้นเราก็กลายเป็นเพื่อนกัน และมีโอกาสได้แข่งรถร่วมทีมเดียวกันสองสามครั้ง และแม้ว่าจะผ่านมาแล้ว 26 ปีแต่พวกเรายังคงจำเหตุการณืนั้นได้แม่นและอดขำไม่ได้เวลาที่พูดถึงมัน
อารมณ์ ความรู้สึก และ เทคโนโลยี
ไม่น่าเชื่อที่นิตยสาร Motor ไม่ได้พาดหัวหน้านิตสารว่าเราได้ไปงานเปิดตัว F40 ในช่วงปลายเดือน กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1987 และผมก็เป็นหนึ่งในทีมงานผู้โชคดี งานถูกจัดขึ้นภายในศูนย์ประชาสังคมในเมือง Maranelloรถถูกคุมไว้ด้วยผ้าสีแดงสดทำให้เห็นรูปร่างคร่าวๆสิ่งที่ชัดเจนคือปีกหลังที่ใหญ่โตของมัน หรือนี่คือการกลับมาของเฟอร์รารี่ LM อย่างที่มีข่าวเล่าลือมา?
แล้วผ้าคุมก็ถูกเปิดออกและEnzo Ferrari ก็แนะนำ F40 กับผู้ร่วมงานด้วยตัวของเขาเอง เขาใช้โอกาสเดียวกันนี้เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปีของเฟอร์รารี่เขาเล่าว่าเขามีความคิดนี้เมื่อหนึ่งปีก่อนและ 10 วันหลังจากนั้นโครงการก็ได้รับการอนุมัติจากกรรมการบริษัท งานเปิดตัวในวันนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่ Enzoปรากฏในที่สาธารณะ
บรรดานักหนังสือพิมพ์–นิตยสารผู้ร่วมงานต่างประทับใจในรูปลักษณ์ดุดันและการกลับมาของ”หน้าตา” ที่สมเป็นเฟอร์รารี่ ทุกคบชอบที่หัวหน้าประชาสัมพันธ์ Luca Matteoneค่อยๆแนะนำเทคโนโลยีต่างๆในรถไปพร้อมๆกับการสร้างอารมณ์ร่วมกับผู้ฟังแถมด้วยการเหน็บแนม Porsche 959 ไปด้วยเป็นระยะ แต่หลายๆคนก็รู้สึกว่านี่เป็นแค่การเอา 288 GTO มาใส่กระดองใหม่แม้ว่าในความเป็นจริงมันจะมีเป้าหมายที่ต่างออกไป; มันถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นรถถนนที่เร็วที่สุดและแฝงอารมณ์ความเป็นรถแข่งสำหรับท้องถนน
แม้จะไม่มีการให้ทดลองขับแต่เฟอร์รารี่ได้โชว์ศักยภาพของ F40 สองคันให้พวกเราดูในสนาม Fioranoผมพยายามที่จะขอแอบขับแต่ไม่สำเร็จ เพราะถ้าเขาอนุญาตให้ผมขับทุกคนจะต้องเรียกร้องเหมือนกันและนั่นจะสร้างความโกลาหลไม่น้อยพวกเขาตั้งใจว่าจะผลิต F40 จำนวน 450 คัน แต่อย่างที่รู้ๆกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นไปตามแผนที่คิดไว้…
สวัสดีครับคุณตำรวจ
คุณอาจคิดว่าอาชีพขับรถทดสอบย่อมมีอันตรายแฝงอยู่บ้างหรืออาจจะมีหลายครั้งที่ผมต้องถูกตำรวจเรียกให้จอดข้างทางและถูกจับกุมเพราะขับรถเร็ว ที่น่าตกใจก็คือตลอดเวลา 30 ปีในอาชีพนี้ของผมมันไม่เป็นเช่นนั้น เวลาที่ผมโดนตำรวจเรียกผมมักจะอยู่ในรถยนต์ทั่วๆไปตัวอย่างเช่น Fiat Clio 1.2 อายุ 20 ของภรรยา, Fiat Tipo,Volvo 850 Estateหรือรถยนต์อื่นๆที่ไม่ใช่ซูเปอร์คาร์ มีเพียงแค่ครั้งเดียวและเป็นครั้งที่น่าจดจำ นั่นคือตอนที่ผมขับเฟอร์รารี่ F40
วันนั้นพวกเราไปทดสอบ F40 และ Jaguar XJ220 กันที่ Donington Park รถทั้งสองคันเป็นของเพื่อนสนิทและพวกมันมีอายุประมาณ 2-3 ปี ผมไม่ประทับใจเจ้า XJ220 ในสนามทดสอบเลยแม้แต่น้อย เบรคที่แย่และน้ำหนักรถที่มากแถมด้วยการถ่ายเทน้ำหนักปั่นป่วนไปรอบๆตัวรถควบคุมค่อนข้างยาก ในขณะที่ F40 นั้นดุดันและน่าตื่นเต้นมากมันท้าทายแต่ก็คาดเดาได้และควบคุมไม่ยาก มันช่างเป็นวันที่ดี
ไม่น่าประหลาดใจที่นักขับหนุ่มอายุ 20กว่าๆกลับจาก Donington Park ด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและรู้สึกดีกับชีวิตขึ้นมาผมอยู่บนถนนสาย M40 ขบวนรถของเราไม่ได้ขับเร็วมากแต่ก็น่าจะเร็วกว่า 70 mphแล้วเราก็โดนตำรวจเรียก ผมขับ F40 อยู่ (ส่วน XJ220 ถูกเรียกถัดไปอีกไม่กี่ไมล์) ในวันแบบนี้หากคุณทำหน้าสำนึกผิดคุณอาจรอดจากการโดนใบสั่งและนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น
ขณะที่ผมกำลังกลับขึ้นรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจถามผมว่า “นี่นายขับมันเร็วแค่ไหนที่ Donington Park?”
ผมแกล้งตอบไปว่า “น่าจะประมาณ 130 mph”
“ไม่เห็นเร็วเลยหนิ ผมยังเคยซิ่งมากกว่านั้นในรถตรวจการของผม” เขาเหน็บแนมผมเล็กน้อย
ผมจึงยื่นข้อเสนอว่าผมจะพาเขาไปซิ่งแถวๆนี้ บนถนนสาย M40 เพื่อให้เขารู้ว่าการนั่งอยู่บนรถที่ความเร็ว 195 mph นั้นรู้สึกอย่างไร เขาปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่ดูก็รู้ว่าเขาเกือบจะตอบตกลงแล้วหล่ะ
มันคืออสูร
ผมคิดเสมอว่า F40 นั้นแตกต่างกับ 288 GTO อย่างมากทั้งๆที่มันสืบสายเลือดกันมา จนกระทั่งผมได้มีโอกาสขับมันเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2002 ผมก็เปลี่ยนความคิดไปโดยสิ้นเชิงอย่างไรก็ตามการเริ่มต้นเดินทางในวันนั้นก็ไม่ค่อยราบรื่น ทั้งฝนที่ตกและมีรถบรรทุกเกิดอุบัติเหตุบนถนนสายรองในเมือง Bedfordshire ที่เกือบจะเฉี่ยวเข้ากับรถของเรา จากนั้นผู้คนแถวนั้นก็เริ่มบ่นถึงเสียงดังของมัน เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับความเงียบสงบเพราะเป็นเมืองเล็กๆที่บ้านจะอยู่ห่างกันหลายไมล์ แต่ผมก็เริ่มหลงรักเจ้า F40 นี้แล้ว
สิ่งที่ผมจำได้ดีที่สุดคือเข็มวัดความเร็วมันไม่ทำงาน ผมไม่รู้เลยว่าผมขับเร็วแค่ไหนตอนที่ขับมันกลับมาลอนดอนและเจ้าของรถที่นั่งไปกับผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเขานั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับและทำงานด้วยโทรศัพท์ของเขา แต่ก็แอบมองผมพร้อมกับอาการอมยิ้ม ค่ำวันนั้นเราคาดคะเนกันว่าผมขับด้วยความเร็วเท่าไหร่จากรอบสูงสุดของรถที่ใช้ มันน่าจะอยู่ในย่านความเร็วที่ทำให้ผมต้องติดคุกได้เลยทีเดียว
ผมคิดว่าตัวเองโชคดีมากที่มีโอกาสได้ขับรถเฟอร์รารี่เกือบทุกรุ่น แต่ F40 ยังคงครองบัลลังก์ที่หนึ่งในใจผม
ตั้งมาตรฐาน
และสุดท้ายนี้ นี่คือความประทับใจจากชายผู้ที่เป็นเจ้าของF40 คันที่มอบความประทับใจพวกเราหลายๆคน
ช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดสำหรับผมคือวันที่เข้าไปรับ F40 จากโรงงาน วันนั้นผมกับ David Gilmour*2 ไปรับรถกันคนละคัน วันนั้นผมไม่ได้ขับรถไป ผมออกจากโรงงานแล้วค่อยๆขับไปจนถึงมอเตอร์เวย์ พอเข้าสู่มอเตอร์เวย์ผมบรรจงกดคันเร่งเต็มที่และรถก็กระชากตัวออกอย่างรุนแรง นี่คงเป็นโมเม้นต์ “Phwoaar!” (พาวเวออออร์!!)ของ Jeremy Clarkson แห่ง Top Gear
สมัยนั้นมีรถเร็วๆอยู่เยอะแต่ F40 เป็นอะไรที่พิเศษกว่านั้นเช่นเดียวกันกับ Porsche 956 ผมยังคงขับมันเล่นบ้างและก็ยังรู้สึกสนุกสนานตื่นเต้นไปกับมันเสมอมีความทรงจำดีๆเกิดขึ้นกับมันหลายครั้งบนมอเตอร์เวย์ ผมว่าคิดทุกอย่างมันลงตัวไปหมด ทัศนวิสัย ขนาดรถ และรูปลักษณ์ของมันที่ยังคงสวยงามอยู่นับตั้งแต่ F40 ก็มีเพียงเฟอร์รารี่ TdFเท่านั้นที่เหมือนจะมีจิตวิญาณที่เหมือนกัน นั่นคือ น่าตื่นเต้นเร้าใจ พละกำลังมหาศาล และให้ความรู้สึกดิบเถื่อน
F40 ได้ตั้งสแตนดาร์ทใหม่ให้กับซูเปอร์คาร์ในยุคนั้น และถ้าคุณมี F40, McLaren F1 และ LaFerrari ผมคิดว่าคุณก็จะรับรู้ถึงประวัติศาสตร์ทั้งหมดของซูเปอร์คาร์ทุกยุคสมัย
30 ปีหลังจากวันที่มันเปิดตัว นี่คือความทรงจำเก่าๆที่น่าประทับใจจากผู้ที่มีโอกาสสัมผัส F40 อันโดดเด่น
[Note]
*1 :ในต้นฉบับเขียนแค่ “Daytona” เฉยๆ
*2 : Nick Masonคือมือกลองวง Pink Floyd และ David Gilmourคือมือกีตาร์
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น