Ferrari บอกว่า F8 Tributo ใหม่นี้เป็นการผสมผสานสมรรถนะของ Pista เข้ากับประโยชน์ในการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันของ 488 GTB เราเดินทางไปยังเทือกเขาใน Tuscany เพื่อพิสูจน์ให้รู้แจ้งเห็นจริง
แม้จะนั่งอยู่บนเบาะผู้โดยสารแต่ผมสามารถรับรู้ได้ว่ายางคู่หน้าของ F8 Tributo กำลังทำหน้าที่อย่างหนัก หน้ายางสัมผัสกับพื้นผิวยางแอสพัสต์อย่างรุนแรงเช่นเดียวกับการทำหน้าที่ของยางคู่หลังเพื่อรองรับแรงบิดที่ถ่ายทอดมาจากเครื่องยนต์ V8 twin-turbo และอัตราเร่งที่ถูกเรียกออกมาใช้กระนั้นก็ยังไม่สามารถต้านทานแรงเหวี่ยงที่เกิดขึ้นได้ทำให้ด้านท้ายตัวรถเหวี่ยงตัวออกด้านข้างเล็กน้อยซึ่ง Fabrizio Toschi นักขับรถทดสอบบอกว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้วพร้อมใช้ความเร็วเพิ่มขึ้นเพื่อมุ่งหน้าไปยังอีกหนึ่งเส้นทางโค้งที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า
ฉากดังกล่าวนี้เคยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเกือบจะทุกโค้งของสนามทดสอบรถ Fiorano ของ Ferrari ซึ่งผมคิดไม่ออกเลยว่าการบังคับควบคุมต่าง ๆ จะสร้างแรงกดดันให้เกิดขึ้นกับ Toschi หนุ่มนักขับรถทดสอบผู้นี้เท่าไหร่ หนุ่ม Toschi ผู้นี้ได้ใช้เวลาหลายเดือนที่นั่นในการทดสอบสมรรถนะและประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ รวมไปถึงระบบอีเลคทรอนิคต่าง ๆ ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาสำหรับ F8 ซึ่งประกอบด้วยระบบ Side Slip Control เวอร์ชั่นล่าสุดเวอร์ชั่น 6.1 และระบบ FDE (Ferrari Dynamic Enhancer ของ Pista ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ล่าสุดเรียกย่อ ๆ ว่า FDE+ ที่จะทำงานทั้งในโหมดการขับขี่ ‘Race’ และ ‘CT off’
‘เราต้องการที่จะผสมผสานสมรรถนะของ Pista เข้ากับประโยชน์ในการใช้งานจริงของ 488 GTB’ Toschi พูดขึ้นขณะที่เรากำลังขับรถออกจากพิท ผมคิดว่าระบบอีเลคทรอนิคต่าง ๆ ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่นั้นก็เพื่อที่จะลดภาระหน้าที่ของผู้ขับขี่เพื่อให้ขับขี่ได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อตำแหน่งของล้อคู่หลังไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นขณะที่อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าจะรับมือกับพละกำลัง 710 แรงม้า (bhp) ในรถยนต์ที่ผลิตแบบไม่จำกัดจำนวนซึ่งเป็นพละกำลังในระดับเดียวกับที่มีให้เรียกใช้ในโมเดลพิเศษอย่าง Pista ที่ต้องใช้ทักษะในการขับขี่ชั้นสูงเพราะมุ่งเน้นการใช้งานในสนามแข่งเป็นหลักมากกว่านั่นเอง
เมื่อช่วงเวลาการทำหน้าที่เป็นผู้ขับขี่ของผมมาถึงบอกได้ว่าสวิทซ์ manettino ที่มีอยู่ใน Ferrari ทุกโมเดลในปัจจุบันเป็นความยอดเยี่ยมที่สุดอย่างหนึ่งเป็นการนำเสนอทางเลือกของการใช้โหมดการขับขี่ที่มีการกำหนดขอบเขตการใช้อย่างชัดเจนซึ่งเป็นการผสมผสานระดับการตอบสนองของชุดส่งกำลังกับพลังในการขับเคลื่อนและระบบอีเลคทรอนิคที่ควบคุมการทำงานของแชสสีย์ โดยที่ผมพบกับความประหลาดใจเล็ก ๆ เมื่อพบว่าในโค้งที่ต้องใช้ความเร็วต่ำโหมดการขับขี่ ‘Race’ และ ‘CT off’ F8 จะควบคุมความพยายามใด ๆ ที่ดูเหมือนจะทำให้ตัวรถเหวี่ยงตัวออกด้านข้างแต่ในโค้งที่สามารถใช้ความเร็วได้มากขึ้นสามารถทำได้โดยที่ระบบนี้จะไม่เข้ามามีบทบาทสำคัญแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามคุณประโยชน์ของระบบควบคุมหรือช่วยเหลือการทำงานใหม่ ๆ จะรับรู้ได้อย่างชัดเจนมากขึ้นในอีกหนึ่งหรือสองชั่วโมงห่างลงไปทางตอนใต้ในบรรดาเทือกเขาต่าง ๆ ที่อยู่ในแคว้น Tuscany
จากการวิ่งทดสอบในสนามแข่งความเร็ว F8 ได้แสดงให้เห็นถึงความสมดุลของพลังงานในการขับเคลื่อนอย่างดีเยี่ยม มันไม่ได้มีความเฉียบคมเป็นพิเศษหรือการตอบสนองอย่างเป็นอิสระเมื่อเกิดอาการอันเด้อร์สเตียร์เหมือนอย่าง Pista เหมือนจะมีแรงดันเล็กๆ ที่จมูกด้านหน้าโดยเฉพาะในโค้งที่มีความแคบเป็นพิเศษแม้ว่ารถที่ถูกกำหนดให้เป็นรถสำหรับสนามแข่งขันจะใช้ยาง Michelin Cup 2s ก็ตามซึ่ง Ferrari บอกว่าเมื่อใช้ยาง Michelin หรือ Pirelli รุ่นทั่วไป เวลาต่อรอบของ F8 ใน Fiorano อยู่ที่ 1.22.5 นาทีซึ่งเร็วกว่า 488 GTB ครึ่งวินาทีแต่ช้ากว่า Pista 2 วินาทีเมื่อใช้ Cup 2s เวลาต่อรอบนี้ขยับเข้าใกล้เวลาของ Pista โดยห่างเพียงครึ่งวินาทีเท่านั้น อย่างไรก็ตามจากประสบการณ์ในอดีตของผมพบว่าบนสภาพพื้นผิวถนนที่เปียกลื่น Pista กับยาง Cup 2s จะต้องใช้แรงบิดที่เหมาะสมกับรอบเครื่องยนต์ให้มากที่สุดดังนั้นแรงกดที่คุณจะส่งลงไปบนแป้นคันเร่งควรเป็นไปด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ
F8 ในเวอร์ชั่นสำหรับการขับขี่บนท้องถนนทั่วไปสิ่งที่ติดมากับตัวรถเป็นยาง Pirelli P Zero แต่ในห้วงเวลาที่เราขับขี่อยู่นั้นสิ่งที่ทำให้ผมคิดว่ายังเป็นการขับขี่อยู่ในเส้นทางที่ใช้สำหรับแข่งความเร็วนั่นคือน้ำหนักของพวงมาลัย สิ่งนี้ทำให้ผู้ขับขี่ต้องใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลามากขึ้นนอกจากนี้ยังมีเรื่องของความรู้สึก, รายละเอียดและผลสะท้อนกลับเกิดขึ้นอีกอย่างไรก็ตามทั้งหลายทั้งปวงนี้ทำให้เกิดอารมณ์ของการเชื่อมโยงตัวรถกับพื้นถนนมากขึ้น สำหรับ Pista ต้องใช้เวลาพอสมควรในการขับขี่เพื่อที่จะทำความรู้จักให้ถ่องแท้ก่อนที่จะเริ่มต้นรับรู้ถึงพฤติกรรมการขับขี่ที่ถูกต้องเหมาะสมส่วนหนึ่งเป็นเพราะการทำงานของระบบพวงมาลัยที่รวดเร็วและเที่ยงตรงแต่ไร้ซึ่งการรับรู้ได้โดยการสัมผัสซึ่งปัญหานี้ไม่เกิดขึ้นกับ F8
สิ่งอื่น ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมากของ F8 ซึ่งเป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่ที่มากกว่าทั้งใน 488 GTB และ Pista นั่นคือเสียงเครื่องยนต์ ใน GTB และ Pista เครื่องยนต์ V8 ที่กวาดรางวัลมากมายนั้นเริ่มต้นการทำงานด้วยเสียงทุ้มลึกในรอบเดินเบาแต่จะจางหายไปอย่างรวดเร็วและถูกแทนที่ด้วยเสียงของอากาศที่ถูกดูดเข้าไปเสียงอากาศที่ถูกอัดและคายออกมาซึ่งเป็นเสียงที่ไม่ดึงดูดความสนใจได้มากมายอะไร
สำหรับ F8 เสียงนี้มีความแตกต่างออกไป เช่นเดียวกับผู้ผลิตรถยนต์อีกหลาย ๆ ราย Ferrari มีการนำตัวกรองอนุภาคน้ำมันเบนซินมาใช้เพื่อผลที่ดีขึ้นทางด้านการลดค่าไอเสียแต่ต้องเพิ่มแคตตาไลติค คอนเวอร์เตอร์และสูญเสียเสียงที่เอกลักษณ์บางสิ่งบางอย่างไป เพื่อรับมือกับปัญหานี้ทีมวิศวกรของ Ferrari ได้พัฒนาสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ‘Hot Tube’ ขึ้นเพื่อยกระดับเสียงการทำงานที่เป็นธรรมชาติของเครื่องยนต์ให้เพิ่มมากขึ้นโดยท่อ Hot Tube นี้จะอยู่ด้านบนท่อรวมไอดีทำหน้าที่เก็บการเต้นและแรงสั่นสะเทือนของก๊าซที่ผ่านเข้ามาซึ่งท่อนี้ขยายตัวไปยังพื้นที่ที่เป็นพื้นที่ตอบปลายของกระจกหน้าต่างหลังในแต่ละด้านของห้องโดยสารส่งมอบเสียงเครื่องยนต์ที่สูงขึ้นชดเชยเสียงที่ขาดหายไปจากการใช้กรองอนุภาคน้ำมันเบนซินซึ่งเป็นเสียงที่มีเอกลักษณ์ให้ความเร้าอารมณ์ความรู้สึกมากยิ่งขึ้น จึงทำให้เสียงของเครื่องยนต์ V8 แบบ flat-plane-crank นี้เป็นเสียงที่มีความหนักแน่น ดุดัน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในทุกย่านระดับความเร็วไม่ว่าขณะใช้ความเร็วสูง, ความเร็วปานกลางหรือความเร็วต่ำซึ่งคุณลักษณ์ของเสียงเครื่องยนต์นี้เมื่อผนวกรวมกับการทำงานของระบบพวงมาลัยแล้วทำให้รู้สึกถึงสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงตัวรถเข้ากับผู้ขับขี่และพื้นถนนได้ดียิ่งขึ้น
การใช้ตัวกรองอนุภาคน้ำมันเบนซินได้ทำให้มีแรงดันไอเสียย้อนกลับเพิ่มขึ้นและมีการปรับดีไซน์ของฝาสูบไปบ้างแต่ส่วนอื่น ๆ ของเครื่องยนต์ Pista ยังคงเหมือนเดิม ซึ่งส่วนประกอบหลักและชิ้นส่วนประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ อื่น ๆ ที่ได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่ทำให้เครื่องยนต์นี้มีสมรรถนะและการสนองตอบที่ดีขึ้นกว่าเครื่องยนต์ที่ใช้กับ 488 GTB โดยชิ้นส่วนดังกล่าวประกอบด้วยก้านสูบไททาเนี่ยม, ข้อเหวี่ยงน้ำหนักเบาและฟลายวีลซึ่งช่วยลดแรงเฉื่อยและทำให้การสนองตอบต่อความต้องการความเร็วเป็นไปอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้นและเมื่อรวมกับการใช้ท่อร่วมไอเสียที่ทำจากวัสดุอินโคเนลทำให้ลดน้ำหนักเครื่องยนต์ลงไปได้ถึง 18 กิโลกรัม
Ferrari บอกว่าน้ำหนักตัวรถเปล่าของ F8 เบากว่า 488 GTB อยู่ 40 กิโลกรัมซึ่งนั่นรวมถึงน้ำหนักเครื่องยนต์ที่ลดลงไป 18 กิโลกรัมแล้วและอีก 10 กิโลกรัมที่เป็นผลมาจากล้อคาร์บอนไฟเบอร์ที่เป็นออพชั่นใหม่ล่าสุดอย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับ Pista ที่มีการตัดอุปกรณ์บางอย่างออกไปและติดตั้งแผงคาร์บอนไฟเบอร์ตกแต่งภายในแล้ว Pista ยังคงมีน้ำหนักตัวที่เบากว่า F8 อยู่ถึง 50 กิโลกรัม
ทางด้านอากาศพลศาสตร์ F8 ใช้ระบบอากาศพลศาสตร์แบบเดียวกับ Pista ดังนั้นจึงสามารถที่จะสร้างพละกำลังได้ในระดับเดียวกัน ระบบอากาศพลศาสตร์ที่ว่านี้ยังประกอบด้วยการย้ายช่องดักอากาศเพื่อระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์จากด้านข้างตัวถังมาอยู่ด้านหน้าสปอยเลอร์หลัง สรุปได้ว่า F8 Tributo เป็นซูเปอร์คาร์ 2 ที่นั่งเครื่องยนต์วางกลางลำตัวทีมีสมรรถนะกำลังแรงม้าสูงสุด 710 แรงม้า(bhp) ที่รอบเครื่องยนต์ 8,000 รอบต่อนาทีและแรงบิดสูงสุด 568lb ft ที่ 3,250 รอบต่อนาที ใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงกว่าใน Pista ไม่มากมายเท่าใดนัก
อะไรคือที่มาของชื่อ Tributo? เพื่อบรรณาการแก่…. อะไรคือสิ่งที่ถูกต้องแท้จริง? Ferrari บอกว่าการออกแบบ F8 อ้างอิงถึงรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ V8 ในอดีตที่ผ่านมาเช่น ไฟท้ายคู่สะท้อนให้หวนคิดไปถึง 288 GTO/F355 และกระจกหลัง/ฝาปิดห้องเครื่องยนต์ที่ใช้กระจก Lexan เช่นเดียวกับที่ใช้กับ F40 สิ่งที่ F8 มีการใช้ร่วมกับโมเดลอื่น ๆ ที่ผ่านมาอีกอย่างนั่นคือการใช้แพลทฟอร์มเดียวกับ 488 ซึ่งใช้พื้นฐานแพลทฟอร์มของ 458 ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของ 488 อีกทอดหนึ่งซึ่งโดยส่วนตัวแล้วคิดว่า F8 ดูดีที่สุดในจำนวนทั้งหมดที่กล่าวมานี้อย่างไรก็ตามยังคงมีบางสิ่งบางอย่างที่ดูจะขัดตาบ้างเล็กน้อยในส่วนรอบ ๆ ชุดไฟหน้า
สำหรับการใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันและในทุก ๆ วันในส่วนของความนุ่มนวลสะดวกสบายเป็นผลมาจากการใช้สปริงของ GTB และเหล็กกันโคลงพร้อมด้วยระบบอีเลคทรอนิคควบคุมปรับการทำงานของโช้คอัพรวมไปถึงระบบควบคุมการขับขี่ต่าง ๆ ขณะที่ภายในห้องโดยสารให้ความสะดวกสบายด้วยการตกแต่งภายในที่ออกแบบใหม่พร้อมเบาะนั่งที่นุ่มสบายรวมไปถึงระบบ HMI รุ่นใหม่และสวิทซ์เกียร์
ที่ Fiorano อาจจะเกิดอาการอันเด้อร์สเตียร์ขึ้นบ้างบางครั้งแต่สำหรับการขับขี่บนท้องถนนทั่วไปเกิดขึ้นยากซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความรู้สึกถึงความรวดเร็วว่องไวของ F8 แล้วยังให้ความรู้สึกถึงการยึดเกาะเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นถนนอีกด้วย บางทีการขับขี่ F8 อาจจะรู้สึกได้ถึงความมั่นคงแข็งแกร่งมากกว่าใน GTB ขณะเดียวกันเป็นการยากที่พื้นผิวถนนที่ไม่ราบเรียบขรุขระจะทำให้เกิดปัญหาในการขับขี่ขึ้นได้เพราะ Ferrari ยังคงจัดสรรโหมดการขับขี่บนพื้นผิวถนนที่ขรุขระไม่ราบเรียบให้กับ F8 ใหม่นี้ด้วยเช่นกัน
พลังงานในการขับเคลื่อนหลั่งไหลออกจากเครื่องยนต์ V8 ที่อยู่ด้านหลังห้องโดยสารอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากการใช้ชุดเกียร์แบบคลัทช์คู่ทำให้การใช้งานในเมืองเป็นไปอย่างคล่องตัวเช่นเดียวกับการเร่งความเร็วขึ้นไปจนแตะเส้นแดงในมาตรวัดรอบอย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเกียร์นี้จะมีการทำงานที่ดีเยี่ยมในการเลือกตำแหน่งเกียร์ที่ถูกต้องกับสถานการณ์ในการขับขี่แต่รถยนต์ไม่เห็นว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นหรือไม่สามารถตัดสินใจรับรู้ได้ถึงอารมณ์ในแต่ละช่วงเวลาของผู้ขับขี่ดังนั้นผมพึงพอใจกับการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์สำหรับการขับเคลื่อนไปบนถนนที่มีความท้าทายทักษะฝีมือสูงด้วยตัวเองมากกว่าซึ่งทำให้ผมได้รับรู้ถึงระบบจำกัดรอบเครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยม สำหรับเครื่องยนต์ของ Pista/F8 นี้ความเร็วของเทอร์โบถูกตรวจสอบโดยตัวเซนเซอร์ที่ติดตั้งอยู่ในตัวเรือนเทอร์ไบน์ซึ่งนั่นหมายความว่าความเร็วสามารถปรับให้สอดคล้องกับการทำงานได้อย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้นดังนั้นเครื่องยนต์จึงทำงานด้วยความถูกต้องแม่นยำที่สุดและเมื่อถึงจุดที่ระบบจำกัดรอบเครื่องยนต์ทำงานเสียงแจ้งเตือนที่เกิดขึ้นอย่างนุ่มนวลคล้ายกับเสียงผิวปากเป็นเสียงปืนจะเกิดขึ้น
ผมยังคงให้ความสนใจกับความสามารถของ F8 ที่เคลมว่าสามารถลดภาระงานที่ล้อต้องแบกรับไว้ในโหมดการขับขี่ ‘Race’ หรือ ‘CT off’ อยู่ ช่างภาพของเรา Dean เป็นผู้ที่เลือกโค้งแรกสำหรับการหาความจริงในเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นโค้งยู-เทิร์นยาวและสภาพพื้นผิวเต็มไปด้วยฝุ่นแต่ก็เหมือนกับโค้งขนาดเล็กของ Fiorano สิ่งที่ F8 ต้องการคือลดความเร็วลงก่อนถึงโค้งเพียงเท่านั้น ด้วยแรงบิดจากเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จที่พร้อมให้เลือกใช้ การลื่นไถลหมายถึงการเพิ่มแรงบิดมากขึ้นแรงบิดมากขึ้นการลื่นไถลมากขึ้นและการเพิ่มขึ้นนี้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเสียด้วย
Dean ไม่ค่อยจะมั่นใจสักเท่าไหร่สำหรับโค้งที่สองที่เราจะเข้าไปหาเป็นโค้งขวายาวพร้อมกับการไต่ระดับความสูงขึ้นทีละน้อยเราเคยผ่านจุดนี้มาแล้วครั้งหนึ่งแต่ไม่ได้ใส่ใจกับสถานะภาพของโค้งนี้เท่าไหร่นักโชคดีที่รถไม่ได้เกิดการลื่นไถลแต่ Dean ตั้งข้อสังเกตว่าเราใช้ความเร็วในการเข้าโค้งนี้มากขึ้นใช่หรือไม่น่าจะดีถ้ารถจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นสักเล็กน้อย
แต่สำหรับผมสิ่งนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรมากมายผมกดคันเร่งของ F8 ลงไปมากขึ้นขณะเข้าสู่ช่วงปลายของทางโค้งนี้ในขณะที่ตำแหน่งเกียร์อยู่ในตำแหน่งเกียร์ 3 และแล้วในขณะที่ผมคิดว่าไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลยนั้นจริง ๆ แล้วแรงบิดที่เกิดขึ้นเพียงพอที่จะทำให้ตัวรถมีความยึดเกาะกับพื้นถนนและทำให้รถกลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้โดยที่ตัวผมเองไม่ต้องใช้ทักษะความสามารถในการขับขี่เพิ่มเติมมากสักเท่าไหร่ซึ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากระบบช่วยเหลือการขับขี่ต่าง ๆ ที่ F8 จัดเตรียมไว้ให้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์พร้อมนั่นเอง สมดังคำที่ Ferrari ใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ F8 ใหม่นี้จริง ๆ ซึ่งเมื่อผมอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นสิ่งที่ผมค้นพบกับ Toschi, เขาฉีกยิ้มกว้างบนใบหน้าพร้อมกักว่ายินดีด้วยที่ผมได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมนั้น
F8 เป็นซูเปอร์คาร์ที่เบาขึ้น. รวดเร็วขึ้นและมีรูปลักษณ์ที่สวยสดงดงามสร้างความประทับใจในแรกเห็นได้มากกว่า 458 และ 488 แต่อะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงที่ทำให้ F8 มีความยอดเยี่ยมฉีกตัวเองเหนือชั้นขึ้นไปจากแพลทฟอร์มที่มีการใช้งานกันมาก่อนหน้านี้แล้วนั่นคือความรู้สึกถึงความมั่นคงปลอดภัยเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นถนนมากขึ้น, การบังคับทิศทางที่เที่ยงตรงแม่นยำรวดเร็วที่สัมผัสรับรู้ทางกายภาพได้มากขึ้นและจากสมรรถนะประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ V8 ที่ค่อย ๆ ไล่ระดับความร้อนแรงขึ้นไปจนเข็มบอกความเร็วรอบขยับตัวขึ้นไปแตะแถบสีแดงบนมาตรวัดรอบ อย่างไรก็ตามหากคำนึงถึงสมรรถนะของ Pista ที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคู่แข่งสำคัญ McLaren 720S เช่นเดียวกับราคาค่าตัวแล้ว เครื่องยนต์ V8 ของ F8 Tributo ที่มีสมรรถนะเกือบจะไม่แตกต่างไปจาก Pista แต่สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบายมากกว่าแล้ว F8 น่าจะเป็นทางเลือกที่ช่วยให้ผู้อยากเป็นเจ้าของซูเปอร์คาร์ที่ประดับด้วยตราสัญลักษณ์ม้าลำพอง Ferrari ตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้น
กลับมาที่ชื่อของ Tributo อีกครั้งหนึ่ง? F8 Tributo จะเป็นซูเปอร์คาร์เครื่องยนต์ V8 โมเดลสุดท้ายและถูกออกแบบมาเพื่อความเป็นที่สุดของซูเปอร์คาร์สายพันธ์นี้หรือไม่? Ferrari SP90 ที่ใช้ชุดส่งกำลังแบบไฮบริดที่มีแผนจะเปิดตัวในปี 2020 นี้เป็นกระจกเงาที่แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมยานยนต์ไฮบริดในอนาคตของ Ferrari จะดำเนินไปในทิศทางใดหรือไม่อย่างไร ขณะที่มีการร่ำลือถึงการใช้เครื่องยนต์ V6 twin-turbo ที่ทำงานร่วมกับระบบไฮบริดของ Ferrari SF90 ที่สามารถก่อให้เกิดพละกำลังแรงม้าสูงถึง 700 ถึง 800 แรงม้า bhp แล้วอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คงเป็นคำถามที่หาคำตอบที่แน่ชัดจาก Ferrari ไม่ได้ในเวลานี้ แต่หากพิจารณาใคร่ครวญว่า F8 อาจจะเป็นโมเดลสุดท้ายที่ใช้เครื่องยนต์แบบ V8 ที่ยอดเยี่ยมสมรรถนะสูงสุดประสิทธิภาพในการใช้สูงสุด ณ ห้วงเวลาปัจจุบันนี้แล้ว นี่คือทางเลือกที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
ข้อมูลเทคนิค
ENGINE V8, 3902CC. twin-turbo MAX POWER 710bhp @ 8000rpm MAX TORQUE 568lb ft @ 3250rpm TRANSMISSION Seven-speed DCT, rear-wheel drive, E-Diff3, F1-trac, SSC, FDE SUSPENSION Front: double wishbones, coil spring, adaptive dampers, anti-roll bar, Rear: multi-link, coil springs, adaptivedampers, anti-roll bar Brake Carbon-ceramic discs, 398mm front, 360mm rear, ABS, EBD WHEELS 9x20in front, 11x20in rear TYRES 245/35 ZR20 front, 305/30 ZR20 rear WEIGHT 1435kg POWER TO WEIGHT 502bhp/ton 0-62MPH 2.9sec (claimed) TOP SPEED 211mph (claimed) PRICE €203,476
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น