Ferrari For Four | 456 VS 612 Scaglietti

เครื่อง V12 อันเยี่ยมยุทธ์ ห้องโดยสารกว้างพอขนกันไปได้ทั้งครอบครัว และราคาอยู่ในฝั่ง Ferrari ที่เอื้อมถึงง่ายเราทดลองขับ 456 GT และ 612 Scaglietti

แค่คิดว่าได้เป็นเจ้าของ Ferrari V12 สักคันก็ชุ่มฉ่ำหัวใจแล้ว แต่การจะทำให้ความทะเยอทะยานนั้นเป็นจริงขึ้นมา คุณก็จะต้องร่ำรวยหรือไม่ก็ต้องเตรียมใจรับเดิมพันกับการค่อยๆ ไล่ซ่อมแซมบูรณะกันไปทีละอย่างแล้วแต่อาการเสียที่จะโผล่ขึ้นมา แต่มันก็มีอยู่สองทางที่จะทำให้คุณเป็นเจ้าของรถ V12 ที่ใช้งานได้จริงและฝากผีฝากไข้ได้ในราคาสมเหตุสมผล แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นรุ่นสี่ที่นั่ง และไม่ใช่พวก Berlinetta คันกะทัดรัดหรือ Spider ปะทะลม กระนั้นการที่สามารถพาสมาชิกครอบครัวซิ่งไปด้วยกันได้ก็อาจจะเพียงพอแล้วต่อการตัดสินใจ

พวกมันคือ 456 GT และ 612 Scaglietti แต่รถรุ่นเก่าอย่าง 456 คือคันที่ใครต่อใครก็ชมว่าหล่อเหลาเอาการกว่ามันเปิดตัวในปี 1993 ในฐานะรถใหม่ทั้งคันรุ่นแรกแห่งยุค Montezemeloและเป็นรถต้นแบบที่สืบสายพันธุ์ทั้งด้านชิ้นส่วนและประสบการณ์ความรู้ต่อไปให้ 550 Maranello อันยอดเยี่ยม และถึงแม้ว่า 550 จะไม่มีรุ่นสำหรับครอบครัว แต่มันก็พิสูจน์แล้วว่าขับได้คล่องและมีชีวิตยืนยาวกว่ารุ่น 365/400 หน้าตาทรงลิ่มที่มันออกมาทดแทนตั้งเยอะ

เครื่อง 5.5 ลิตร V12 บล็อกใหม่ของ 456 ผลิตแรงม้าได้ 436 ตัว และถ้าได้รับการปรับจูนแอโรไดนามิกส์ดีๆ กับใส่สปอยเลอร์หน้าแบบแอคทีฟเข้าไป456 ก็จะวิ่งไปสุดอยู่ที่ 186 ไมล์/ชั่วโมง ได้อย่างน่าทึ่งและทำให้มันได้ตำแหน่งรถ GT สี่ที่นั่งเร็วที่สุดในโลกมาครอง แต่เรื่องที่น่าสนใจกว่าก็คือในขณะที่รถยุค 400 ใช้เกียร์อัตโนมัติกันหมด แต่ 456 กลับมีขายเฉพาะเกียร์ธรรมดาเท่านั้นในตอนแรก และเป็นอย่างนั้นอยู่จนกระทั่งปี 1996 ถึงได้มีเกียร์อัตโนมัติสี่จังหวะให้เลือก

รถคันของเราเป็น 456M รุ่นท้ายๆ ที่จดทะเบียนในปี 2003 แต่ตอนที่เวอร์ชัน M เปิดตัวในปี 1998 มันก็ไม่ได้มีรายละเอียดเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก มีแค่ภายในปรับปรุงใหม่ สปอยเลอร์แอคทีฟถูกถอดออก คือมันเป็นการปรับปรุงเป็นแบบกระจุ๋มกระจิ๋ม เครื่องยนต์ยังเป็นตัวเดิมแต่คราวนี้มีเวอร์ชัน GTA เกียร์อัตโนมัติมาให้เลือกซึ่งได้รับความนิยมกว่า และทำให้รถเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ แบบคันของเราเป็นอะไรที่หายากสักหน่อย

แต่ที่ยิ่งหายากกว่านั้นก็คือ 612 Scaglietti เกียร์ธรรมดา เพราะตอนที่มันออกมาทดแทน 456 ในปี 2004Ferrari กำลังโปรโมทเกียร์ ‘F1’ หรือเกียร์ธรรมดาทำงานอัตโนมัติสองแป้นเหยียบกันอย่างครึกโครม ในจำนวน 612 3,025 คัน ที่ผลิตในช่วงหกปี มีแค่ 199 เท่านั้นที่เป็นเกียร์ธรรมดา แต่เอาจริงๆ ผมก็ยังแปลกใจเลยด้วยซ้ำว่าทำไมมันถึงเยอะได้ขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะมันสับเกียร์แย่อะไรหรอกครับตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะด้ามเกียร์ที่โผล่ขึ้นมาจากคอนโซลกลางที่ดูเหมือนมาคิดเอาทีหลังหรือให้อู่นอกแปลงให้เหมือนกับผู้บริหารมาเปลี่ยนใจเอานาทีสุดท้าย

ส่วน 612 คือรถยุคใหม่ เพราะในขณะที่ 456 ยังใช้วิธีการสร้างแบบดั้งเดิมคือตัวถังอะลูมิเนียมบนแชสซีส์ที่ทำจากเหล็กท่อ แต่ 612 เป็น Ferrari รุ่นที่สองที่ทำกับ Alocaซึ่งใช้ตัวถังแบบอะลูมิเนียมทั้งคัน (คันแรกคือ 360 Modena) ขนาดตัวมันใหญ่กว่า 456 มาก ส่วนนึงเพื่อที่จะให้มันรองรับสี่คนได้ดีขึ้น แต่อีกส่วนเพื่อให้การกระจายน้ำหนักของมันเป็นในแบบที่ทีมวิศวกรของ Ferrariต้องการเพื่อให้ขับได้คล่องที่สุด เพราะถึงแม้จะมีเครื่อง V12 อยู่ข้างหน้า พวกเขาก็ต้องการให้มันมีการกระจายน้ำหนักเหมือนกับรถเครื่องวางกลาง ซึ่งก็เลยเป็นที่มาว่ามันมีด้านหน้าและฐานล้อที่ยาวกว่าปกติ

ถึงจะสร้างมาอย่างนั้น 612 กับน้ำหนัก 1,875 กิโลกรัม มันก็ยังหนักกว่าที่คาดไว้ (456 หนัก 1,690 กิโลกรัม หรือ 1,770 กิโลกรัม ถ้าเป็นเกียร์ออโต้)​ แต่สิ่งที่ฝังลึกลงไปใต้ฝากระโปรงของมันก็คือเครื่อง V12 5.7 ลิตร ที่เคยเห็นครั้งแรกใน 575M Maranello ซึ่งแรงและใหม่กว่ากันมาก มันผลิตแรงม้าออกมาได้ 533 ตัว ถ้าเล่นเกมส์ทายตัวเลข 456 ก็จะสามารถถอดรหัสได้ง่ายๆ เพราะเลขรุ่นนั้นคือปริมาตรความจุแต่ละกระบอกสูบของเครื่อง V12 แล้ว 612 ล่ะ? มันไม่ได้หมายถึงกระบอกสูบนึงมีปริมาตร 612 ซีซี หรือเป็นเครื่อง 6 ลิตร V12 เลย แต่เป็นแค่เลขสวยชุดนึง เหมือนกับที่เครื่อง V12 5,748 ซีซี ขุมพลังของมันที่ผลิตเลขสวยออกมาอีกชุด คือ 199 ไมล์/ชั่วโมง ในขณะเดียวกันการกระจายน้ำหนักที่ดีของ 612 ก็ทำให้มันมีแรงยึดเกาะดีเยี่ยม และทำให้รถสี่ที่นั่งรุ่นนี้สามารถเร่งไปถึง 60 ไมล์/ชั่วโมง ได้ในเวลา 4.3 วินาที ซึ่งแรงกว่า 456 ถึงเกือบหนึ่งวินาทีเต็มๆ

ตอนที่ 612 เปิดตัว ผมรู้สึกว่าแม้แต่สมรรถนะอันคล่องแคล่วกับความสามารถในการขนกันไปได้ทั้งครอบครัวของมันก็ยังไม่สามารถชดเชยหน้าตาของมันได้ แต่ตอนนี้หนึ่งทศวรรษหลังจากนั้น ผมกำลังขับตาม 612 ที่ซิ่งเข้าวงเวียนที่กระทบกับแสงแดดอยู่ข้างหน้า พร้อมกับคิดในใจว่าเออ มันก็ดูสวยดีเหมือนกันนะ!’ ผมคิดว่าการที่มันเป็นสีดำ (ซึ่งเป็นสีที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์พยายามเลี่ยงเสมอ) น่าจะมีส่วนช่วยได้เยอะ แล้วก็อาจจะเป็นเพราะการใส่ล้อห้าก้านแยกชิ้น กับกาลเวลาที่ทำให้มันสุกงอมขึ้นด้วย

สิ่งที่เพิ่มเสน่ห์ให้กับ 612 ก็คือการที่มันเป็นเกียร์ธรรมดาหนึ่งใน 23 คัน ในอังกฤษ แป้นเหยียบสามชิ้นกับลูกบอลที่ยอดคันเกียร์เป็นอะไรที่ฟังดูเรโทรได้อย่างน่าหลงใหลในยุคที่มีแต่เกียร์ Dual-clutch ที่สะดวกแบบเกียร์อัตโนมัติและส่งกำลังได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบเกียร์ธรรมดา (และเกียร์ F1 ที่ใช้คอมพิวเตอร์สั่งการเหยียบคลัทช์แผ่นเดียวที่ทำงานไม่ค่อยจะสมประกอบเท่าไหร่ก็มีเสน่ห์กับเขาด้วยเหมือนกัน) แต่ความจริงก็คือ ถ้าคุณต้องการจะเล่นสนุกกับเครื่องยนต์ อยากจะคุมมันเอง อยากจะเรียนรู้อุปนิสัยใจคอของมัน หรืออยากจะเชื่อมต่อกับรถอย่างถ่องแท้ เกียร์ธรรมดาก็ยังเป็นทางออกเดียวเท่านั้น และการที่เรากำลังพูดถึง Ferrari V12 กันอยู่ ก็ทำให้เรายิ่งอยากได้การเชื่อมต่อที่ว่านั่นมากเข้าไปใหญ่

คราวก่อนที่ผมขับ 456 มันก็นานมาแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้สูงขึ้นกว่าเดิม มันยังคงอยู่ที่ 5 ฟุต 8 นิ้ว (อะแฮ่มแต่รอบเอวที่อาจจะใหญ่ขึ้นนิดหน่อยนะ) แต่มุมมองจากหลังพวงมาลัยก็ยังทำให้มันรู้สึกว่าเล็กกว่าที่คิดเอาไว้ หลุมวางเท้ารู้สึกคับแคบ และถึงแม้ว่าเบาะจะสามารถปรับความสูง มุมก้มเงย องศาการเอนของพนักพิง และตัวดันหลังด้วยไฟฟ้า พื้นฐานโครงสร้างของมันก็ยังให้ความรู้สึกเป็นเบาะตัวเล็กและสั้นจนรองรับได้ไม่ถึงน่องอยู่ดี แต่ผมก็ยังหาตำแหน่งนั่งขับที่ดีจนเจอได้ โดยมีพวงมาลัยที่ปรับระดับได้เป็นตัวช่วย

แผงหน้าปัดวางตัวในระดับต่ำ ทำให้วิสัยทัศน์ด้านหน้าโปร่งโล่งตา ส่วนมาตรวัดทั้งหลายก็ให้ความรู้สึกถึงความสวยงามในยุคเก่าและดูราวกับพวกมันถูกลงสีด้วยช่างฝีมือที่มือนิ่งสุดๆ ตัวเลขที่เขียนเอาไว้อาจจะช่วยทำให้ดูทันสมัยขึ้นมาหน่อย โดยมาตรวัดรอบจะมีเขียนไว้สุดที่ 10 ส่วนความเร็วสุดที่ 220 ไมล์/ชั่วโมง

หมุนกุญแจแล้วเครื่อง V12 ของ 456 ก็ตื่นขึ้นมาอย่างว่านอนสอนง่าย จากนั้นก็ปรับสู่เสียงโน้ตเบาๆ ในรอบเดินเบาที่ราบเรียบแต่ฟังดูซับซ้อน โยกคันเกียร์ไปตำแหน่งบนสุดซ้ายของเกียร์Open gate แล้วค่อยๆ ถอนคลัทช์ออกมา น้ำหนักของแป้นควบคุมต่างๆ อาจจะหนักอยู่หน่อย แต่ก็ถือว่าทำมาได้ดี 456 ออกตัวไปที่รอบเดินเบาได้สบาย เกียร์สองอาจจะเข้ายากหน่อย (เหมือน Ferrari แท้ๆ) แต่คุณก็จะกะจังหวะกับแรงที่ต้องใช้คุมคลัทช็จนเฟอร์เฟกต์ได้อย่างรวดเร็ว

เครื่อง V12 ส่งเสียงพึมพำออกมาเบาๆ ในความเร็วเดินทางปกติแต่ตอบสนองต่อน้ำหนักบนคันเร่งได้ดีกว่าที่คิดเอาไว้มันเป็นเครื่องที่เชิ่องเท้าพอดูด้วยความเร็วสูงสุดที่น้อยกว่ากันแค่30 ไมล์/ชั่วโมง ต่อ 1,000 รอบ/นาที แต่เจ้าV12 จะได้เร่งจากรอบเดินเบาขึ้นไปได้อย่างรวดเร็วเพราะฉะนั้นคุณก็จะไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์บ่อยๆ

แต่คุณก็ยังจะทำแบบนั้นแหละ เพราะว่าการได้ควบคุม V12 ทุกระเบียดนิ้วเป็นรางวัลตอบแทนที่คุ้มค่าสุดๆ การใช้เทคนิค Heel-and-toe เพื่อเปลี่ยนเกียร์ลงมาที่เกียร์สองเป็นอะไรที่ท้าทายมาก เพราะคุณจะรับรู้ถึงแรงต้านของด้ามเกียร์ในอุ้งมือขณะที่รอบค่อยๆ ดีดสูงขึ้น จากนั้นคลัทช์ก็ถูกคลายออกมาอย่างแนบเนียน มันทำให้การเปลี่ยนเกียร์แต่ละครั้งเหมือนกับคุณได้รางวัลอะไรสักอย่าง และเป็นโอกาสให้ได้สนุกกับการปล่อยพลังของเครื่องยนต์และแรงบิดที่ไต่ชันขึ้นไปถึงรอบสูงสุด พร้อมกับเสียงโน้ตท่อไอเสียเพราะๆ ส่งกลับมา

456 เป็นรถที่เร็วและสนุกกับการลากรอบ จิตวิญญาณในตัวมันจะชักชวนให้คุณลองทดสอบแรงยึดเกาะของมัน ในจังหวะแรกมันจะรู้สึกนุ่ม พวงมาลัยดูเหมือนตอบสนองช้า แต่พอเข้าโค้งไปแล้วเหมือนกับมีมนต์วิเศษบางอย่าง มันทั้งมั่นคงและสมดุลอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้คุณกล้าที่จะเรียกใช้มัน 456 จะลื่นไหลไปกับถนน ในโค้งมันให้ความรู้สึกเชื่อมต่อและตอบสนองกับทั้งพวงมาลัยและคันเร่ง และคล่องแคล่วกว่าที่คุณคาดคิด ล้อขนาด 17 นิ้ว ของมันถือว่าเล็กและยางก็แก้มสูงสำหรับมาตรฐานยุคนี้ ฉะนั้นคุณคงจะคาดหวังว่ามันต้องนุ่มนวลชวนฝันแน่ แต่ในขณะที่มันจะทำงานได้ดีบนเนินหรือหลุมขนาดใหญ่ แต่รอยต่อเล็กๆ ก็ยังสะดุ้งให้รู้สึกอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากสำหรับผมและ Rardley Motors ที่ขายรถคันนี้ให้กับเจ้าของคนปัจจุบันเมื่อหลายปีก่อน ยางที่เก่าจัดมีโอกาสเป็นตัวการได้สูงทีเดียว

มันยังไม่ใช่รถสี่นั่งแท้ๆ อีกด้วย เพราะพื้นที่ของมันไม่พอสำหรับผู้ใหญ่สี่คนแน่ แทรกตัวคุณเองผ่านเบาะหน้าไปจะพบกับหลุมบนเบาะหลังที่เล็กจิ๋ว ส่วนพื้นที่เข่าก็จำกัด ซึ่งนี่เทียบกับตัวผมที่ความสูงราวเกณฑ์เฉลี่ยของชายมาตรฐานและเบาะหน้าที่ปรับไว้สำหรับคนตัวเท่าผม พื้นที่เหนือศีรษะก็ไม่พอใช้การเช่นเดียวกัน แต่ถ้าจะให้ยุติธรรมก็ต้องบอกว่ามันถูกจัดว่าเป็นรถแบบ 2+2 และถ้า +2 ของคุณเกิดเป็นเด็กเล็ก มันก็น่าจะโอเค

612 เป็นรถที่ยาวกว่ามากทั้งตัวถังและฐานล้อ สัดส่วนของมันอาจจะหลอกตาให้ดูเล็กกว่าความเป็นจริงและแอบซ่อนความโอ่อ่าของห้องโดยสารภายในเอาไว้ ถ้าให้เทียบระหว่างรถทั้งสองคัน ห้องโดยสารของ 612 นั้นใหญ่กว่ามาก เปิดประตูบานยาว ดึงคันโยกเลื่อนเบาะ แล้วรอให้มอเตอร์ไฟฟ้าจัดการเลื่อนมันมาข้างหน้าจนเรียบร้อย จากนั้นก็ปีนเข้าไปนั่งเบาะหลังอย่างสบายใจเฉิบ และคุณก็ทำได้เช่นกัน เพราะขนาดผมยังมีพื้นที่เหนือศีรษะและหัวเข่าให้เหลือเฟือ ตัวเบาะก็ทำทรงมาอย่างดี วิวด้านหน้าปลอดโปร่ง บรรยากาศรอบตัวดูสว่างและหายใจได้โล่งต่อให้เป็นผู้ใหญ่สี่คนก็ยังสามารถโดยสารไปเที่ยวเป็นร้อยๆ ไมล์ได้สบาย แต่มันจะช่วยได้มากถ้าหากพวกเขาแพ็คกระเป๋ากันแบบน้อยชิ้น เพราะท้ายรถของ 612 กับ 456 มีขนาดกำลังพอดีสำหรับกระเป๋าแบบถุงหรือชุดกอล์ฟหนึ่งเซ็ทเท่านั้น

เกียร์รางเปิดบนฐานยกสี่เหลี่ยมอาจจะดูเหมือนของที่เอามาติดลงไปทีหลัง แต่หลังจาก 2-3 ไมล์ มันก็ชัดเจนว่าการทำงานของมันนั้นดีกว่า 456 เสียอีก ราวกับว่าครีบเหล็กส่วนเกินถูกเจียรเก็บงานได้เนียนกว่าเดิม และยิ่งคุณขับมันนานขึ้นเท่าไหร่ คุณก็จะพบว่าการใช้งานมันเป็นเรื่องสนุกแบบไร้ที่ติมากขึ้นเท่านั้น มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าทีมวิศวกรเกียร์ธรรมดาจะรู้ดีว่านี่คงเป็นโปรเจคท์ท้ายๆ ของพวกเขาแล้ว เลยตัดสินใจทุ่มให้มันอย่างเต็มที่เพื่อจารึกมันไว้ในประวัติศาสตร์ โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะมีลูกค้าสักกี่คนที่เลือกเกียร์ธรรมดาและรู้สึกชื่นชมกับหยาดเหงื่อของพวกเขาที่ใส่ลงไป ด้วยความที่สมัยนั้นเป็นช่วงที่เกียร์ F1 กำลังบูม นักข่าวอย่างเราๆ จึงไม่มีโอกาสได้เห็นรถเกียร์ธรรมดาเลยแม้แต่คันเดียว ซึ่งเป็นอะไรที่น่าเสียดายมาก เพราะมันขับได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์เลยทีเดียว

แต่ถึงมันจะเป็นรถที่ใหญ่และหนักกว่า 612 ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบนั้นเวลาขับ มันเหมือน 456 ที่ทะยานออกจากจุดหยุดนิ่งไปอย่างไม่ต้องเปลืองแรง จุดเดียวที่แตกต่างก็คือแรงผลักของมันหนักหน่วงเพิ่มขึ้นเร็วกว่ามาก เทียบกับมาตรฐานทุกวันนี้ 612 ก็ยังถือเป็นรถที่เร็วและพลังสูงอยู่ แต่มันก็เหมือนกับ 456 ด้วยที่เสียงเครื่องไม่ได้น่าฟังขนาดนั้น เครื่อง V12 ของมันดังหึ่งๆ มากกว่าที่จะโหยหวน แต่พอเป็นเกียร์ธรรมดาก็จะทำให้มีแรงม้ากับแรงบิดให้ได้เล่นสนุกด้วยมากกว่าเดิมมาก รวมถึงความรู้สึกน่าสะพรึงตอนลากไปแตะรอบสูงสุด 8000 รอบ/นาที ตอนที่คุณขับมันอยู่คนเดียวด้วย

ช่วงล่างของ 612 ซึมซับแรงสะเทือนได้ดีตั้งแต่ความเร็วต่ำ ซึ่งช่วยเสริมชื่อเสียงความเป็นรถ Grand Tourer ของมัน มันจัดการกับผิวถนนหยาบกร้านอย่างสุขุมและเงียบสนิท และรูดผ่านหลุมบ่อบนถนนสายรองได้แบบที่คุณจะคาดหวังจากรถ GT ที่มีฐานล้อยาว พวงมาลัยต้องทำความคุ้นเคยกันสักเล็กน้อย มันทดมาไวกว่าของ 456 แต่น้ำหนักหน่วงบนทางตรงเป็นรองอยู่เล็กน้อย ซึ่งนั่นก็หมายความว่ารถรุ่นใหม่ต้องการสมาธิจากคุณมากกว่าเวลาขับ

แต่การบังคับควบคุมก็ทำให้สามารถรีดสมรรถนะออกมาได้ทุกหยด มันดูสุขุมกว่า 456 แต่ก็ยังคล่องแคล่วและเชื่องมือกว่าด้วย วิธีการทีมันปักหัวเข้าและออกจากวงเวียนนั้นนิ่งสนิท และเปิดโอกาสให้คุณปั่นล้อหลังให้ฟรีเล็กน้อยด้วยการเติมคันเร่งง่ายๆ เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ Ferrari ในด้านความสมดุลที่ช่วยเพิ่มคล่องแคล่ว

จุดเด่นของรถทั้งสองคันนี้คือเครื่องยนต์ V12 ของพวกมัน แต่ไม่ว่ามันจะควบคุมได้ง่ายขนาดไหน เกียร์ธรรมดาก็ช่วยทำให้มันขับได้เข้าท่าเข้าทางมากขึ้นกว่าที่คุณจะคิดเอาไว้ ไม่ใช่เพราะว่าคุณจะได้ดริฟท์มันหรืออะไรอย่างนั้น แต่เป็นเพราะแชสซีส์ของมันจะเข้ามามีส่วนร่วม ปรับตัว และเชื้อเชิญให้คุณบังคับมันได้อย่างแม่นยำกว่า ด้วยการตอบสนองแบบต่อตรงของเกียร์ธรรมดากับเครื่อง V12 มันยังเพิ่มความท้าทายที่คุณจะต้องใช้ฝีมือขับมันอย่างเนียนสนิท ลับคมทักษะการขับรถของคุณ และนั่นก็จะทำให้คุณรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการอัดมันหรือขับชิลเก็บบรรยากาศไปเรื่อยเปื่อย

เติมเรื่องที่มันมีโอกาสน้อยมากที่จะมีคนติ 456 และยิ่งน้อยกว่ามากกับ 612 และพวกมันทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกอันยอดเยี่ยมสำหรับ Ferrari V12 ผมเป็นคนที่นิยมชมชอบและอยากได้ 456 มาตลอด แต่ถ้าให้เลือกผมคงเลือก Scaglietti เพราะมันขับดีกว่าและนั่งได้สี่คน ถ้าเลือกสีถูกต้องก็ดูหล่อเหลาเอาการอีกด้วย และนี่ก็ไม่ใช่คำตอบที่ผมคิดเอาไว้ในตอนแรกเลย

สำเนาถูกต้อง 456 และ 612 (ซ้าย) ที่ออกมาแทนมันในปี 2004 เป็นตระกูลเดียวกันแน่ ภายในของ 612 (ขวา) มีความเป็น Ferrari ยุคใหม่ซึ่งทำให้เกียร์ธรรมดาที่ไม่ค่อยจะได้เห็นดูหลงยุคอยู่บ้าง (แต่มันก็ทำให้ขับสนุกมากทีเดียว)

Share

ใส่ความเห็น