Ferrari Portofino อีกระดับของสถาปัตยกรรมบนท้องถนน

น้อยครั้งนักที่เราจะได้เห็นรถสปอร์ตอย่าง Ferrari ทำรถเปิดประทุน ถ้าให้นึกถึงตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้น California ตัวเก่า ที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดผู้ที่ไม่เคยมีรถ Ferrari ให้หันมามองและเพิ่มไปในตัวเลือกของการตัดสินใจซื้อรถสปอร์ตชั้นเยี่ยมอีกสักคัน และ California ก็ได้ทำตัวเปิดหลังคาแข็งขึ้นมาให้เป็นอีกทางเลือกของผู้ที่ชอบใช้ชีวิตในการขับรถท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ

จนมาวันนี้ Ferrari ได้พัฒนารถสปอร์ตเปิดประทุนรุ่นใหม่ขึ้นมาอีกครั้งในชื่อ Portofino ถึงแม้รุ่นใหม่นี้จะมีกลิ่นอายของ California อยู่แต่ Ferrari ใช้เทคโนโลยี รวมถึงการออกแบบใหม่ทั้งหมด เส้นสายของตัวรถได้รับการปรับเปลี่ยนให้มีความดุดัน และโฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น เห็นได้จากการออกแบบไฟหน้าที่ดูเฉียบคม ช่องดักลมข้างหน้าที่ให้ความรู้สึกในแบบสปอร์ต ไฟท้ายหลังถูกปรับเปลี่ยนตำแหน่งให้วางอยู่บนตัวรถแทนที่จะอยู่กับฝากระโปรงหลังและเพิ่มไฟเบรกไว้ที่กันชนล่างเหมือน California (เพราะด้วยกฎหมายบางข้อของทางสหรัฐอเมริกา) เส้นสายบนฝากระโปรงท้ายที่ออกแบบมารับกับหลังคาก็ทำออกมาให้ดู Sexy ยิ่งขึ้น เมื่อมองจากด้านข้าง โดยรวมตัวรถมีความโฉบเฉี่ยวและมีเส้นสายที่ดูเฉียบคมมากกว่า California ที่ออกแบบไปในแนวโค้งมน

เครื่องยนต์ของ Portofino เป็นแบบ V8 Twin Turbo ความจุ 3,855 ซีซี ให้กำลังสูงสุดที่ 600 แรงม้า แรงบิดอยู่ที่ 760 นิวตันเมตร ที่ 3,000-5,250 รอบต่อนาที ส่งกำลังลงล้อคู่หลังด้วยระบบเกียร์แบบคลัทช์คู่ 7 สปีด ด้วยระบบเกียร์แบบนี้เอง ที่ทำให้การขับขี่มีความต่อเนื่องและลื่นไหล ไม่รู้สึกถึงอาการเปลี่ยนเกียร์ให้เสียความรู้สึกของการขับรถแบบ Luxury Car ด้วยการขับในโหมด Comfort ทำให้ตัวรถเงียบและให้ความรู้สึกที่นุ่มนวล ทำให้คนขับ Enjoy ไปกับการขับขี่ แต่ในความหรูหราและสะดวกสบายของเจ้า Portofino ก็ยังมีอีกมุมหนึ่งที่ผู้ขับสามารถเรียกพละกำลังและการขับที่สนุกยิ่งขึ้น ด้วยการเปลี่ยนเป็นโหมด Sport และเปลี่ยนเกียร์จากอัตโนมัติมาเป็นแบบเปลี่ยนเกียร์เองเพื่อรับรู้ถึงกำลังของมันที่ซ่อนอยู่ สิ่งแรกที่สามารถรับรู้ได้ถึงพละกำลังนั่นคือเสียงคำรามที่ออกมาจากปลายท่อ และด้วยการเพิ่มพละกำลังขึ้นมาอีก 40 แรงม้าทำงานผสานกับระบบอัดอากาศแบบ turbo คู่ ที่สร้างแรงบิดออกมาได้อย่างมหาศาล ทำให้การขับแบบ Sport สนุกเหมือนการขับตัว 12 สูบเลยทีเดียว ความรู้สึกที่โดนแรงจีกดเข้ากับเบาะนั่งแบบต่อเนื่องตลอด 7 เกียร์ มันน่าจะโดนใจคนที่ชอบความเร็ว แถมอาการ Oversteer เล็ก ๆ แทบทุกครั้งที่กระแทกคันเร่งลงไป มันยิ่งเร้าอารมณ์ผู้ขับให้รู้สึกสนุกยิ่งขึ้นไปอีก ถือว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัว สามารถเป็นรถที่ใช้ได้ในชีวิตประจำวันและเป็นรถสปอร์ตที่ขับสนุกได้ในทุกเวลาที่คุณต้องการ