เทศกาลแห่งความเร็วที่ Goodwood กลายเป็นสถานที่ฉลองชัยของ Ferrari ในปีนี้ หลังจากคนของเรานำ 250 LM
เข้าไปมีส่วนร่วมในงาน
เจ้าหน้าที่สนามอาจจะต้องตะโกนถึงจะได้ยินกัน ท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์รถแข่งที่ดังกระหึ่มอยู่รอบ ๆ ตัวเรา มันเหมือนเอารถยนต์มาร้องประสานเสียงกันดี ๆ นี่เอง หนึ่งในนั้น…ที่หมอบอยู่ด้านหลังผมไปไม่กี่นิ้วคือเครื่องยนต์ V12 ขนาด 3.3 ลิตร เครื่องยนต์เพิ่งสตาร์ทท่ามกลางอากาศหนาว ผมเองมีโอกาสได้สะบัดทั้งหัวไหล่ เข่า และขา ในขณะที่กำลังคุมรถคันนี้ด้วยเบรกใต้ฝ่าเท้า เพื่อควบคุมเครื่องยนต์ที่กำลังอุ่นอยู่ไม่ให้ดับ มันไม่ได้ต่างกันเลย เหมือนกับการใช้เวลาไม่กี่นาทีหลังจากที่เราก่อไฟเพื่อจะย่างบาร์บีคิว เราต้องคอยเติมถ่าน และควบคุมความร้อนเพื่อให้ได้ไฟที่พอดี
ผมชำเลืองมองไปยังผู้นำทางส่วนตัวของผมในห้องโดยสารแคบ ๆ และอยู่ในระดับต่ำ ผมคิดว่าเขาคงกำลังอยากบอกว่า “ไปเถอะ แล้วไปจอดด้านหน้า 250 TestaRossa ให้ที” ซึ่งน่าจะเป็นอะไรที่ฟังดูแล้วเข้าท่าเหมือนกันนะ แต่ว่าตอนนี้ และที่นี่…คือเทศกาลแห่งความเร็วแห่ง Goodwood ดังนั้น อะไรก็ตามที่มัน “ธรรมดา ๆ” น่ะ มันจบไปแล้วตั้งแต่สุดสัปดาห์
และตอนนี้ น้องนางคนสวยในชุดขาวก็ส่งสัญญาณอะไรบางอย่างมาจากใกล้ ๆ 250 TestaRossa ว่าแล้วผมก็ค่อย ๆ ปล่อยเบรกให้รถเคลื่อนไปด้านหน้าช้า ๆ แรงโน้มถ่วงขณะรถเคลื่อนที่ทำให้ผมต้องใช้มือเล็กน้อยในการประคองพวงมาลัย ผมเห็นแล้วว่าไอ้เจ้านี่แหละที่เรียกร้องให้ผมต้องเปลี่ยน 250 LM ทีมีมูลค่านับล้านปอนด์ ไปเป็น 250 TR ที่มีราคาไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่ นั่นแหละ….คือสิ่งที่มันทำให้นึกปวดสมองขึ้นมาทีเดียวเชียว
ช่างมันเถอะคิดอะไรมากไปก็เท่านั้น เท้าของผมกำลังแตะคลัทช์ เครื่องยนต์ส่งเสียงกระหึ่มมากยิ่งขึ้นเมื่อกลไกทุกอย่างถูกกระตุ้นด้วยปลายเท้าซ้ำ ๆ ผมสัมผัสได้เลยว่าคันเร่งของรถคันนี้ค่อนข้างหนัก ต้องการการออกแรงมากกว่าปกติในการสั่งให้รอบเครื่องยนต์ทำงาน และก็ไม่รู้จะบอกอย่างไรดีว่าแป้นเหยียบอีกด้านหนึ่งที่อยู่ถัดมาทางซ้ายมือ มันก็อยู่สูงอย่างน่าแปลกใจ ขณะที่รถเคลื่อนไปด้านหน้า รู้สึกได้ว่าเหมือนร่างกายผมจะถูกแรงโน้มถ่วงผลักให้ถอยหลัง รถเคลื่อนจนกระทั่งผมมาอยู่ในตำแหน่งสตาร์ทของตนเอง มองออกไปด้านนอกจากตำแหน่งที่นั่งหลังพวงมาลัย มีคน ๆ หนึ่งโบกมือทักทายมาทางนี้ ในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างทยอยนำรถของตนเองเข้าสู่ตำแหน่งของแต่ละคน อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกได้คือในบรรดารถเกือบทั้งหมดที่มารวมกันอยู่ในที่นี้ เหมือนจะมีแค่ผมคนเดียวนี่แหละที่นั่งในรถที่มองจากภายนอกแล้ว รูปโฉมของมันช่างร้ายเหลือจริง ๆ
กระจกหน้าของ LM จะค่อนข้างชันและมีความโค้งอย่างเห็นได้ชัด เพราะฉะนั้น มันส่งผลให้มุมมองที่เราได้รับจากการมองสู่ข้างนอก ค่อนข้างแปลกและแตกต่างจากรถคันอื่น และเนื่องจากรถรุ่นนี้ไม่ได้มีรูปทรงของฝากระโปรงยาวเหมือนรุ่นก่อนหน้านี้ ทำให้ผมรู้สึกได้ว่าเหมือนกำลังนั่งชมภาพยนตร์แบบใกล้ชิดติดจอ ไม่ได้รู้สึกเหมือนนั่งด้านหลังที่มีคนอื่นมานั่งขนาบซ้าย–ขวาเหมือนแต่ก่อน เพราะฉะนั้น ว่าไปแล้วนี่คือดาวดวงใหม่และดวงใหญ่ การประลองชัย ณ สนามแข่งแห่งนี้คือรถคันนี้ก็ว่าได้ วันนี้นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่หาได้ยาก ไม่ใช่เป็นเพียงโอกาสครบรอบ 70 ปีของ Ferrari เท่านั้น ทุกอย่างพิเศษไปหมด งานของ Bernie Ecclestone (นายใหญ่ของค่าย Ferrari) ในวันนี้จึงเหมือนเป็นการมาเฉลิมฉลองสุดสัปดาห์ที่งานเทศกาลแห่งความเร็วที่ Goodwood ผมสังเกตว่าเขาพูดคุยกับผู้คนและร่วมถ่ายภาพของคนเหล่านั้นอย่ามีความสุข
อีกคนที่คงเด่นไม่แพ้กันของงานวันนี้ ไม่กล่าวถึงไม่ได้นั่นคือ Jackie Stewart วันนี้เขาดูทะมัดทะแมงกว่าปกติที่เคยเห็น สวมหมวกแก็ปสีดำซึ่งคงจะได้มาจากที่ไหนสักแห่งที่พิเศษมากจนทำให้วันนี้เขาดูเหมือนชายผู้มาจากท้องทะเลไปโน่นเลย แต่สุดท้ายเขาก็ต้องได้ถอดแล้วเปลี่ยนไปสวมหมวกกันน็อคแล้วล่ะเมื่อต้องเข้าไปนั่งใน P3/4 สิ่งที่ผมอยากบอกคือ วันนี้คนดัง ๆ จากค่าย Ferrari มารวมกันอยู่ที่นี่หมด ทั้ง Nick Mason, Lord March, Enrico Galliera (หัวหน้าฝ่ายการตลาดและการพาณิชย์ของ Ferrari ซึ่งถ้าหากคุณอยากจะได้ FXX K ล่ะก็ นี่แหละคือคนที่คุณต้องทำตัวให้คุ้นเคยเข้าไว้), Derek Bell, James Calado…รู้สึกมองไปทางหนึ่งก็มีจำนวนคนเด่นคนดังมากขึ้น ๆ ในขณะที่กำลังนั่งดูอยู่ตรงนี้
พูดถึงคนไปเยอะ มาพูดถึงรถบ้างดีกว่า ซึ่งผมคิดว่ามันสุดแสนจะพิเศษกว่าการเจอคนดัง ผมมั่นใจเหลือเกินว่าที่ผ่านมาอาจจะมีการมารวมตัวกันของFerrari ที่น่าตื่นตาตื่นใจเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อนอย่างแน่นอน แต่ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่การรวมตัวแบบนี้จะเกิดขึ้นนอกอิตาลี ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีแบบนี้อีก สำหรับคนรัก Ferrari นี่คือโอกาสที่หาได้ยาก มันน่าตื่นเต้นจนแทบกลั้นหายใจไม่ได้ มองไปด้านขวามือของผมมีแม้กระทั่งรถรุ่นที่เขาพัฒนามาให้มีที่นั่งเดียว ไม่ว่าจะเป็น 312 – B3, T รวมไปถึงโฉม T5 ที่เป็นดาวค้างฟ้ามาตั้งแต่ปี 1974 1975 และยุค 1980 โน่นเลย ขณะที่ชำเลืองมาทางฝั่งซ้ายมือ นี่คือ 250 TestaRossa สุดยอดยนตรกรรมที่พัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ปี 1958 และไม่ไกลจากคันนั้นมากนักก็คือ 750 Monza คันน่ารักที่ฝังกำลังเอาไว้ด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบขนาด 3 ลิตร
และแน่นอน มาถึงรถคันนี้ที่ผมกำลังนั่งอยู่ในเวลานี้ครับ นี่คือ 250 LM รถรุ่นสุดท้ายของ Ferrari ที่เคยชนะในการแข่งขันในรายการใหญ่ที่ Le Mans เมื่อปี 1965 ตามประวัติการสร้าง รถรุ่นนี้มีความน่าสนใจและมีความเป็น “ไอคอน” มากกว่าตัว GTO เสียอีก ที่น่าจะรู้ตรงนี้คือ นี่คือรถที่เป็นความตั้งใจของ Ferrari ในการเข้าสู่ประเภทความเป็นรถ GT ที่ขับขี่ได้ในการแข่งขันสนามใหญ่ แต่ว่าติดตรงที่ FIA ไม่ยอมไฟเขียวแต่โดยดี ขณะที่ Ferrari เองก็ไม่ได้ผลิตรถตามออเดอร์ 100 คันตามที่คาดหวัง ดังนั้น รถที่เข้าแข่งขันในคราวนั้นจึงเป็นการแข่งขันในประเภทรถต้นแบบ หากยังจำกันได้ คือ 330 P2 การแข่งขันในครั้งนั้นแม้ว่าคู่แข่งจะมีรถต้นแบบแรง ๆ หลายรุ่นแต่ว่า 250 LM ก็เข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 จากผลงานของ Masten Gregory และ JochenRinht ในขณะที่ค้นที่เข้าวินอันดับที่ 2 ก็เป็น 250 LM เช่นกัน รถรุ่นนี้ผลิตเพียงแค่ 25 คันเท่านั้น ดังนั้น การได้มาขับ 1 ใน 25 คันในโลก และภายใต้การเตรียมการด้านวิศวกรรมโดยทีมงาน DK Engineering สำหรับผม….มันช่างหาได้ยากยิ่งนัก
เมื่อทุกอย่างเข้าสู่สภาวะเตรียมพร้อม และได้รับสัญญาณให้ทุกคนและทุกคันเข้าที่ เสียงเครื่องยนต์จากรถทุกคันดังสนั่นสะท้อนเข้าไปในอณูเนื้อและกระหึ่มในโสตสัมผัส ผมมาอยู่ตรงนี้แล้ว คำว่าไม่พร้อมลืมไปได้เลย หลังจากติดเครื่องยนต์รอมาพักใหญ่ เครื่องยนต์ของ 250 LM บอกให้รู้ได้ไม่ยากเลยว่า แบบฉบับของขุมกำลังเพื่อการแข่งขันนั้น…มันเป็นแบบไหนกัน
เมื่อสัญญาณปล่อยตัวเริ่มขึ้น ทุกคันก็ทะยานออกจากจุดสตาร์ทตามตำแหน่งของตัวเองอย่างรวดเร็ว ผมสังเกตเห็นว่า Monza ซึ่งวันนี้เขาขับ Daytona สีเหลือง ออกนำหน้าคันอื่น ผมเองแม้ว่าจะไม่ค่อยคุ้นมือคุ้นเท้ากับการใช้งานเกียร์ คลัทช์ และคันเร่ง เพราะมันไม่เหมือนรถรุ่นอื่น ๆ ตามที่ได้บอกไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่กระนั้น คันของผมก็ยังออกตัวมาเป็นที่ 2 ในขณะที่เราทุกคนกำลังมุ่งหน้าสู่ Lime Avenue นี่คือโอกาสที่ผมได้สังเกตรถคันอื่น ๆ ที่มาเข้าร่วมในงานฉลองวันเกิดของ Ferrari วันนี้ นอกจากรุ่นต่าง ๆ ที่ผมได้พูดถึงไปบ้างแล้ว นั่นไง…ผมเห็น 512M ซึ่งตอนนี้ทราบว่าเจ้าของกรรมสิทธิ์คือ Lawrence Stroll และอีกสองคันที่เข้ามาอยู่ในวิถีมุมมองของผมในขณะที่รถกำลังทะยานไปข้างหน้า คือ 512 BB คันหนึ่งสีเหลือง อีกคันสีแดง อย่างที่บอกครับ…นี่คือการรวมตัวเลี้ยงงานวันเกิดที่หาได้ยากจริง ๆ
ด้วยสภาพการขับวันนี้ที่อากาศค่อนข้างร้อนเนื่องจากแสงแดดจ้าและอยู่ในพื้นที่เชิงเขาที่ค่อนข้างต่ำมาก ๆ ผมตัดสินใจว่าจะจอดรถและลงจากรถสักพักเพราะสภาพอากาศ และยังพอมีเวลาเพียงพอที่จะรอ พูดเอามือจับประตูที่มีน้ำหนักค่อนข้างเบา มันทำให้ผมมีความรู้สึกว่ามันให้เซนส์เหมือนกับ F40 ซึ่งหากมองในแง่ของการออกแบบอย่างเผิน ๆ อาจคิดว่าผิดที่ผิดทาง แต่จริง ๆ มันโอเคทีเดียว แต่ผมมีอุปสรรคส่วนตัวที่ต้องแก้ไขเล็กน้อย ว่ากันตามตรงผมเป็นคนตัวสูง กล่าวคือสูงเกินไปสำหรับ 250 LM อย่างน้อยล่ะ..5 นิ้ว และสิ่งนี้เองทำให้มันไม่ง่ายหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดตำแหน่ง ท่าทางการนั่งของตนเองให้นั่งเต๊ะท่าสวยในรถคันนี้ ถ้าคุณนึกภาพไม่ออก อยากให้หลับตานึกถึงสภาพที่ผมกำลังนอนในถุงนอน ที่มันไม่ได้มีความยาวพอสำหรับการคลุมทั้งตัวได้ ผมจึงต้องนอนขดในถุงนั้นโดยส่วนบนของร่างกายไม่ได้อยู่ในถุงนอนตลอดเวลา นึกภาพออกไหมครับ ดูไม่ดีเลยใช่ไหมล่ะ เวลาขับไปไหน….คนก็มอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเวลามากพอผมจะต้องสำรวจรถให้รอบคัน เมื่อตัดสินใจจอดรถข้าง ๆ 250 GTO รุ่นปี 1964 (ซึ่งผลิตเพียงแค่ 7 คันเท่านั้น) น่าแปลกใจมากที่ผมรู้สึกได้ทันทีว่าในแง่ของการออกแบบภายนอก รถสองรุ่นนี้มีอะไรบางอย่างที่ถ่ายทอดกันไปมา ผมไม่ได้บอกว่ามันเหมือนกันทุกมุมมอง แต่ว่าเมื่อเพ่งพิจารณาดี ๆ เราจะเห็นความละม้ายคล้ายคลึง (ที่ดี) ระหว่างรถสองรุ่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเส้นสายและความโค้งมนในหลาย ๆ จุด คุณเองก็คงรู้สึกแบบนี้ถ้ามายืนตรงนี้
พักได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์สมัยใหม่ขนาดV10 ของ F1 แว่วมา…เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะขยับไปข้างหน้า เป็นการบอกว่าถึงเวลาที่ต้องเก็บถุงนอนที่ไม่พอดีตัวอันนั้นแล้ว เรื่องความสูงต่ำของร่างกายหรือของรถคงไม่ใช่ปัญหามาก ผมเชื่อว่า LM ถูกสร้างมาอย่างมีเป้าหมาย อาจมีบางอย่างที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของคนขับรถในปัจจุบัน เช่น ตำแหน่งของแป้นที่เราต้องใช้เท้าในการบังคับ ที่นั่งที่มีเพียงที่เดียวอยู่ตรงกลาง ตำแหน่งของเบรก และคลัชท์ แต่มันก็เป็นผลมาจากการวิศวกรรมยานยนต์ที่เป็นเหตุเป็นผล
เครื่องยนต์ถูกจุดระเบิดขึ้นมา ผมคว้าเอาหมวกกันน็อคของ Stilo มาสวมให้ถูกต้อง จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมเคยขับรถยนต์ขึ้นภูเขาเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ว่าทุกอย่างที่ขับแบบนั้นล้วนเป็นประสบการณ์การเดินทางที่ยอดเยี่ยม ผมผ่านสองโค้งแรกบนเส้นทางของวันนี้ได้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น หลังจากนั้นผมปล่อย LM ทะยานด้วยรอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้น เสียงเครื่องยนต์คำรามดัง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเกียร์ 3 ค่อย ๆ รีดแรงม้าออกมาให้เต็มที่ แต่ทุกอย่างต้องทำด้วยความมีสติ เพราะตำแหน่งของแต่ละอย่างไมได้เหมือนรถสมัยใหม่ ขณะเดียวกัน เบรกของ 250 LM ก็ต้องออกแรงมากกว่าปกตินิดหน่อยเพื่อให้มันทำงาน ณ จุดนี้สิ่งที่ผมสามารถบอกได้คือ LM ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่แปลกและแตกต่างจากรถรุ่นอื่น ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย แต่สำหรับความปลอดภัยบอกได้ว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ขณะที่สมดุลในการทรงตัวของรถก็ยอดเยี่ยม เป็นธรรมชาติดีมาก (จากการใช้ระบบกันสะเทือนแบบดับเบิ้ลวิชโบนอิสระทั้งด้านหน้าและด้านหลัง) ส่วนหนึ่งก็เพราะการวางตำแหน่งของเครื่องยนต์ที่อยู่หลังผมไปไม่กี่นิ้วนี่เอง
ข้างหน้าจะมีอีกทางโค้งสำคัญ 2 จุดด้วยกัน ดังนั้น ผมลดเกียร์ลงมาที่เกียร์ 2 และเมื่อเข้าโค้ง ผมตั้งใจจับความรู้สึกที่เกิดจากการใช้งานพวงมาลัยขนาดใหญ่ที่แต่งขอบด้วยลายไม้ ผมพบว่าระบบบังคับเลี้ยวของรถคันนี้ในทางโค้งนั้น เชื่อและมั่นใจได้เป็นอย่างดี เมื่อผ่านโค้งออกมาผมตัดสินใจใช้ความเร็วด้วยการกดคันเร่งหนักขึ้น ความรู้สึกที่สัมผัสได้คือการพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความแรงและเร็วอย่างน่าตื่นเต้น ด้วยเครื่องยนต์กำลัง 320 แรงม้าและน้ำหนักรถรวมเพียงแค่ 820 กิโลกรัม (ไม่รวมน้ำมัน) ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่จะบอกนอกจาก…แรง เร็ว ของแท้
ระหว่างทางที่จะไปถึงยอดเขา มีอุโมงค์แคบ ๆ อยู่ เราคงได้จอดอีกสักครั้งก่อนที่จะลอดอุโมงค์ขึ้นเขา มาถึงตรงนี้ถึงคราวที่ต้องสารภาพว่าการใช้งานเกียร์และเบรกซึ่งเดิมทีคิดว่าจะสร้างปัญหาในการขับขี่นั้น เมื่อขับจริง ๆ กลับไหลลื่นเป็นอย่างยิ่ง คราวนี้ผมตัดสินใจจอดด้านหลัง 275 GTB/C ถึงแม้ว่านามเรียกขานจะแตกต่างกัน แต่ว่ารถสองคันนี้ใช้เครื่องยนต์ขนาด 3.3 ลิตรเหมือนกัน มี LM เพียงแค่สองคันที่ผลิตแรก ๆ เท่านั้นที่ใช้เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร แต่ว่า Ferrari ไม่ได้เปลี่ยนชื่อรุ่นของรถแต่ประการใด
ผมมีความสุขกับชีวิตที่ตัดสินใจเสี่ยงที่จะออกมาจากรถอีกครั้ง ผมเดินสำรวจ F40 LM ที่จอดอยู่ด้านหน้า และอีกคันคือ 488 Challenge ที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งต่างเป็นรถต้นแบบเพื่อการแข่งขันที่ Ferrari ต้องการพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในสนามแข่งเมื่อ 2 ทศวรรษที่ผ่าน รถรุ่น 335SP ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกันกับ F50 ที่ผลิตเพื่อการขาย ซึ่งรุ่นนี้ผมมองทีไรก็เทให้หมดทั้งใจ หันไปเห็น Nick Minassian ลงจากรถที่เขาขับพอดี เราเริ่มต้นสนทนากัน เขาถามผมเกี่ยวกับการขับขี่ที่เกิดขึ้นในวันนี้
“เอ่อ…ผมเคยมาขับที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง” เขาบอก ชายผู้ร่ำรวยชาวฝรั่งเศสคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นตอนอาศัยอยู่ที่ Bedfordshire หรือว่าตอนนี้มาอยู่ที่ Sussex ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย ดังนั้น นี่คือโอกาสที่หาได้ยากสำหรับผมในการได้สนทนากับเขาเพราะตลอดเส้นทางขับขึ้นเขามานี้ เราไม่รู้เราจะได้เจอและได้คุยกับใครมากหรือน้อยแค่ไหน ผมจึงต้องสัมภาษณ์เขาหน่อย “คันที่ผมขับเป็นคันที่ทุกอย่างเป็นของแท้และดั้งเดิม คุณคงรู้ ว่าใคร ๆ ต่างก็พากันไม่อยากผลิตรถยนต์แบบที่เราเห็น แต่ว่า Ferrari ทำ มันไม่ใช่รถที่ติดตั้งเครื่องยนต์เร็วที่สุด แต่ว่าเครื่องยนต์ก็ทำงานดีเยี่ยม ระบบกันสะเทือนไว้ใจได้ ถือได้ว่าอาจเป็นหนึ่งในตัว GT ที่ดีที่สุดก็ว่าได้นะถ้าพูดถึงเรื่องสมดุลในการขับขี่ Ferrari ทำได้ดีอยู่แล้วในเรื่องนี้ และรถคันนี้ก็พิเศษมาก ๆ เป็นรถที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อ Le Mans อย่างแท้จริง”
ผมถามเขาด้วยความเคารพ และเขาก็อธิบายอย่างเป็นกันเอง “เพราะว่ารถรุ่นนี้ขับง่ายมาก ๆ ทุกสิ่งที่ทำมาคือทุกสิ่งที่นักขับควรรู้ และไม่มีอะไรเหนือเกินวิสัยในการควบคุม ถือเป็นความก้าวล้ำที่ไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุกเอาเผากิน ผมอยากจะบอกด้วยซ้ำว่า Ferrari ในยุคนี้เวลาที่เราพูดถึงสมดุลในการขับขี่ พวกเขาไม่ได้เป็นที่สองรองใคร ไม่ว่าจะเป็น Breadvan, 330 LMB ที่ผมเคยขับมา รวมถึง 250 LM รถเหล่านี้ดีกว่าพวก Cobra หรือ Corvette หรือรถรุ่นไหน ๆ ก็ตามที่ว่ากันว่าดีนักในยุคนี้”
“ตำแหน่งการนั่งขับอาจจะแปลก” ผมถามเขาว่าอาจจะดีกว่าถ้าหากคนขับไม่ใช่คนสูง 6 ฟุต 5 นิ้วแบบผม “แต่ว่าผมไม่เคยเอามาใส่ใจ ผมแค่ต้องการอยากจะขับ ดังนั้น ไม่สำคัญว่าตำแหน่งการนั่งจะเป็นอย่างไร ขอให้ได้ขับเป็นพอ ไม่รู้นะ ต่อให้ต้องขับด้วยมือข้างเดียว ผมก็จะขับถ้ามีโอกาส”
การสนทนาของเราถูกขัดจังหวะด้วยการสตาร์ทเครื่องยนต์ของรถคันอื่น ผมกลับไปยังรถคันที่ผมขับมา ปกติถ้าเป็นการขับในการแข่งขันทั่วไป เขาจะให้ขับกลับไปยังจุดสตาร์ท แต่วันนี้พิเศษ เพราะว่าพวกเราทุกคนขับมุ่งหน้าไปยัง Goodwood House ที่นั่นมีคนมากมายรอเราอยู่ และเมื่อเราต้องสัมผัสกับเส้นทางที่มีกรวดหิน ผมก็ตระหนักในใจเป็นอย่างดีว่า คงไม่ดีแน่ถ้าหากจะเอานิสัยเท้าหนักมาใช้ในตอนนี้ เพราะคงไม่คุ้มแน่ถ้าหากเศษหินจะกระดอนกระเด็นทำให้รถที่ประเมินค่าไม่ได้คันนี้ต้องมีริ้วรอยที่ไม่ชวนมอง และผมก็เดินทางถึงที่หมายปลายทาง โดยจอดรถด้านหน้าของตัวอาคาร ปล่อยให้เครื่องยนต์วอร์มดาวน์สักพัก ก่อนที่จะดับเครื่องยนต์ในที่สุด
Lord March เป็นคนจัดการเครื่องดนตรีด้วยการจัดหาวงออเครสตร้ามาบรรเลง เข้าใจว่ามาจากอิตาลีกันเลยทีเดียว แถมยังมาเล่นเพลงชาติอิตาลีให้เราฟังอีกต่างหาก หลังจากนั้นไม่นานก็ปรากฎว่ามีป้ายขนาดใหญ่ถูกติดตั้งขึ้นอย่างรวดเร็วที่หน้าบ้าน ผู้คนที่มารออยู่ต่างพากันโบกสะบัดธงของ Ferrari ถึงตะวันตกดินพอดี และพูดกันตามจริง นี่คือเวลาที่เปรียบเหมือนในความฝันไม่มีผิด
Derek Bell เป็นคนที่ยืนข้าง ๆ ผม และผมถามเขาเกี่ยวกับความทรงจำพิเศษส่วนตัวเกี่ยวกับ Ferrari เขาครุ่นคิดครู่เดียวแล้วตอบ “การได้พบกับ Enzo” เขาหยุดไปสักพัก ก่อนที่จะกล่าวต่อ “เวลาออกไปทานอาหารเย็น ผมก็ใช้รถพวกนี้แหละเป็นพาหนะ เป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก”
“น่ากลัวไหม” “ไม่เลย สำหรับผมแล้วไม่ มันเป็นยอดรถเลยล่ะ”
มีเสียงเรียกร้องให้คนที่ขับรถขึ้นมายอดเขาทุกคนได้ถ่ายภาพร่วมกัน ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เพราะผมไม่ใช่คนมีชื่อเสียงอะไร Bell ตบไหล่ผม “มาเถอะน่า” เขากล่าว “ฟังนะ พรุ่งนี้ คุณอาจต้องขับ Mazda แต่อย่ากังวลอะไร เพราะวันนี้คุณคือคนขับ Ferrari” แล้วเขาก็ดึงผมไปถ่ายภาพในที่สุด.
‘ผมมั่นใจว่าที่ผ่านมาอาจจะมีการมารวมตัวกันของ Ferrari ที่น่าตื่นตาตื่นใจเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน แต่ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่การรวมตัวแบบนี้จะเกิดขึ้นนอกอิตาลี
คนดังมากหน้าหลายตามาปรากฎตัวที่ Goodwood อาทิ Bernie Ecclestone และ Jackie Stewart; 125 S รถรุ่นแรกที่ติดโลโก้ Ferrari และ LaFerrari Aperta นำขบวนพาเหรดรถกว่า 70 คัน; 250 LM มีโอกาสเจอคู่อริ FoS ก็งานนี้เอง
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น