488 Pista เป็นรถที่เร็วอย่างบ้าคลั่งและดุเดือด เร็วเกินกว่าที่จะรู้สึกสนุกพอเมื่อขับบนถนนสาธารณะหรือไม่? เรามาหาคำตอบกัน
ผมมีแว่นกันแดดถูกๆ อยู่อันหนึ่งที่ผมเอาติดตัวไปตอนไปซิ่งรถในวันที่แดดจ้า และหลายปีที่ผ่านมาถึงแม้ว่ามันจะดูไม่น่าเชื่อแต่แว่นกันแดดได้เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในกฎการทดสอบรถของผมโดยไม่ได้ตั้งใจ จริงอยู่ที่มันอาจจะไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะเป็นอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นเป็นประโยชน์ทุกครั้ง ตามประสบการณ์ของผม มันแม่นยำพอๆ กันเลยทีเดียว
การทดสอบเริ่มต้นจากการสวมแว่นกันแดดไว้ตรงตำแหน่งยกสูงโดยเอาคิ้วดันไว้ จากนั้นผมก็เร่งรถให้เร็วที่สุดเท่าที่รถจะเร็วได้ด้วยเกียร์ 3 ถ้าแว่นไม่ขยับแปลว่ารถคันนั้นช้า แว่นจะต้องยกขึ้นเล็กน้อยและหมุนรอบๆ หูผมถึงจะเรียกได้ว่ารถคันนั้นเร็วจริงๆ และมีรถเพียง 2-3 คันที่ทำให้ผมต้องเอื้อมมือขึ้นไปคว้าแว่นก่อนที่แว่นจะหลุดจากหัวผมไปทั้งอัน
อย่างไรก็ตาม ในรถ Ferrari 488 Pistaไม่มีทางเป็นแบบนั้นไปได้อัตราการเร่งมันรุนแรงจนแว่นปลิวหลุดออกจากหัวผม เด้งออกจากฝากั้นด้านหลัง เฉี่ยวไหล่ซ้ายผู้โดยสารผมและตกลงมาตรงที่วางเท้าผมด้วยท่าไหนก็ไม่รู้ ก่อนที่ผมจะทันได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบเสียอีก รถมันเร็วมากขนาดนั้นจริงๆ ตอนนี้ผมเลยมีแว่นกันแดดที่ผิดรูปและเป็นรอยเล็กน้อยเอาไว้พิสูจน์
Ferrari จำเป็นที่จะต้องสร้างรถที่เร็วกว่า 488 GTB ซึ่งพูดกันตรงๆ ว่าทั้งสวยและมีพลังมากอยู่แล้วไหม? แน่นอนว่าจำเป็น และเป็นเหตุผลให้Pistaถือกำเนิดขึ้นมา ต้องขอขอบคุณบรรดาผู้ผลิตซุปเปอร์คาร์ทั้งหลายที่หมกมุ่นอยู่กับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือมันเป็น Ferrari อีกคันที่น่าเหลือเชื่อและเร็วเสียยิ่งกว่าเก่า ในขณะที่เรารู้สึกพ่ายแพ้ต่อกิเลสแล้วใครจะไม่อยากมีไว้สักคัน?
สาวลงไปให้ลึกอีกนิดแล้วคุณจะรู้ว่ามันมีอะไรที่เหมือนกับ 458 Speciale, 430 Scuderiaและ 360 Challenge Stradale(และรถ “Special Series” ที่คล้ายกันทั้งหมดซึ่งผลิตโดยผู้ผลิตคู่แข่ง) คือมันถูกปล่อยออกมาช่วงฤดูใบไม้ร่วงของวงจรชีวิตรถรุ่นนั้นเป็นช่วงเวลาที่ถ้าไม่ปล่อยออกมาความต้องการในตลาดคงจะเริ่มลดลงเพราะลูกค้าเริ่มตั้งหน้าตั้งตารอดูรุ่นเวอร์ชันใหม่กันแล้ว มันคงจะฟังดูโหดร้ายมากกว่าไม่ยุติธรรมที่จะไปเรียกรถแบบนั้นว่าเป็นรถ Special หมดอายุ
แต่ก็มีเรื่องอื่นเกิดขึ้นเช่นกัน คุณอาจคิดว่าคนคงจะแห่กันไปซื้อ Pistaที่ Ferrari ขายกันหมดแทนที่จะเป็น 488 GTB และคงจะคิดว่าผลกำไรจึงมาจากการที่สามารถตั้งราคาขาย252,765 ปอนด์ซึ่งยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ แทนที่จะเป็นราคา 197,418 ปอนด์ แต่ไม่ใช่แบบนั้นเลย ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่รถอย่าง Pistaได้ทำคือ ช่วยให้ 488 กลับไปโดดเด่นพร้อมการต่อสู้แย่งชิงอีกนิดหน่อย Ferrari บอกว่าผลที่ตามมา คือ ไม่ใช่แค่ขาย Pistaที่ตัวเองผลิตได้หมดทุกคัน (คิวรอรถยาวไปถึง 2 ปีซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็คงจะเลิกผลิต 488 ไปแล้ว)
แต่ยังขาย GTB และ Spider ได้มากขึ้นด้วย ซึ่งผมคิดว่าลักษณะแบบนี้เรียกว่ามีแต่ได้กับได้
ถ้ามันมีสิ่งที่ดึงดูดใจได้จริง ถึงขั้นนี้คุณก็ไม่ควรที่จะหยุดกระตุ้นการขายไปเสียเฉยๆ แล้วหันมาเพิ่มความพิเศษเข้าไปและหวังว่าลูกค้าจะกล้าเสียเงินเพื่อแลกกับประโยชน์สำหรับรถดีๆ คันหนึ่งที่ควรจะมีราคาประมาณนี้อยู่แล้วFerrari จึงถือโอกาสนี้มาเตือนให้เรารู้ว่าไม่ว่าคนที่ชอบดูมากกว่าจ่าย จะซื้อรถของพวกเขาหรือไม่ก็ตาม พวกเขาเคยและยังคงมีเป้าหมายที่จะหาแรงบันดาลใจจากวิศวกรรมยานยนต์แต่เพียงอย่างเดียวตลอดไป
ยกเอาเครื่องยนต์มาเป็นตัวอย่าง มันคงระยะชักของมอเตอร์ 488 GTB เอาไว้ นั่นคือขนาด 3,902 cc แต่ทั้งๆ ที่เครื่องยนต์อื่นๆ อาจจะใส่โค้ดโปรแกรมแบบใหม่ที่บอกเครื่องยนต์เทอร์โบให้ทำงานหนักกว่าเดิมแต่Ferrari ก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มกำลัง ในเสื้อสูบคุณจะพบเพลาข้อเหวี่ยง ก้านสูบ ลูกสูบ และวาล์ว ซึ่งถ้าไม่ใช่ของใหม่ก็จะเป็นแบบดัดแปลงแล้ว และก้านสูบพวกนั้นปัจจุบันถูกทำตามสมัยนิยมด้วยไทเทเนียม แน่นอนว่าภายนอกยังมีความดันเสริมในท่อร่วมไอดีต่างหากอีก 0.2 bar แต่ท่อร่วมแบบใหม่ทำมาจากโลหะผสมที่มีน้ำหนักเบามากและทนความร้อนที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้กับเครื่องยนต์ของเครื่องบินเจ็ทในยุค 1940 และถูกเรียกว่า Inconel
ด้วยลูกสูบที่มีแรงดันที่สูงขึ้น ผลลัพธ์จริงๆ คือ กำลังที่เพิ่มขึ้นจาก 660 แรงม้าเป็น 710 แรงม้าซึ่งเกี่ยวเนื่องกับแรงบิดที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกัน มาพร้อมกับเกียร์ที่ไม่ได้แตกต่างกันในเรื่องโลหะที่ใช้แต่คันเลื่อนเปลี่ยนเกียร์ถูกจงใจทำให้หยาบขึ้นในโหมด Race เพื่อเพิ่มอารมณ์ดราม่าเข้าไปเล็กน้อย ทำให้มันดราม่ามากขึ้นเยอะทีเดียว
ส่วนที่ได้รับการพัฒนาซึ่งรู้จักกันในนามแอโรไดนามิกของสุดยอดซุปเปอร์คาร์คันนี้ได้รับความสนใจอย่างสูง คุณจึงเสียพื้นที่ ¼ ของกระโปรงรถให้กับจมูก S-Duct แบบใหม่ที่นำทางลมให้ไหลไปใต้ด้านหน้ารถและเหนือฝากระโปรงเพื่อให้มีแรงกดที่เกิดกับตัวรถเมื่อมีอากาศมาปะทะด้านหน้า (downforce) ในขณะที่ปัจจุบันนี้หม้อน้ำเอียงลงพร้อมทางออกของช่องลมร้อนที่ถูกปรับเปลี่ยนเพื่อทำให้มั่นใจว่ารถจะไม่ช้าและอากาศเสียจะไม่เข้าใกล้ช่องอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อน (intercooler) Diffuser ด้านหน้าและด้านหลังที่อยู่ใต้ท้องรถช่วยเร่งการระบายอากาศที่เพิ่มขึ้นอยู่แล้วให้มากยิ่งขึ้นไปอีก และทำงานควบคู่กับสปอยเลอร์ท้ายที่สูงขึ้นซึ่งสูงขึ้นกว่าเดิม 30 มม.และยาวขึ้น 40 มม. รวมกันแล้วมันสามารถเพิ่มแรง downforce ทั้งหมดได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับ 488 GTB
และมันจะเป็น Ferrari ซีรีส์พิเศษไปไม่ได้เลยถ้ามันไม่ได้มีน้ำหนักเบาขึ้นมากรวมอยู่ในความเปลี่ยนแปลง ช่อง Inconel เหล่านั้นรวมกับเพลาข้อเหวี่ยงที่เบาขึ้น ล้อตุนกำลัง (flywheel) และก้านสูบไทเทเนียมซึ่งเป็นเหตุผลของน้ำหนักที่หายไปจากห้องเครื่องเพียงส่วนเดียวถึง 18 กก. นั่นยังไม่นับแบตเตอรี่ลิเธียมเข้าไปด้วย ด้านนอกมีกันชน สปอยเลอร์ และชุดแผ่นปรับแบ่งลม (splitter) ที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์และกระจกหลัง Lexan ในขณะที่ด้านในเก๊ะหน้ารถถูกโละทิ้งไป
ทุกอย่างนี้รวมกันแล้วลดน้ำหนักรวมลงไปได้ถึง 80 กก. ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นลดลง 90 กก. ได้สำหรับคนที่ยอมจ่าย 14,280 ปอนด์ให้กับล้อคาร์บอนไฟเบอร์ผมได้ล้อแบบนั้นมาล้อหนึ่งและมันเกือบจะบินไปเลยทีเดียว
เรื่องที่แปลกคือ Ferrari ไม่ได้พูดถึงพวงมาลัย ระบบกันสะเทือน หรือเบรกเลยจนกระทั่งเราถาม และปรากฏว่าถึงแม้พวงมาลัยจะยังคงเหมือนเดิม แต่ค่าความแข็ง/อ่อนคงที่ของสปริง (spring rate) ถูกทำให้เพิ่มขึ้นในปริมาณที่ไม่ได้ระบุไว้ และตัวหน่วงการสั่นสะเทือนก็ถูกปรับไว้อย่างสอดคล้องกัน ด้วยมวลน้ำหนักที่น้อยลงในการทำให้รถช้าลงจึงใช้เบรกคาร์บอนเซรามิกที่ยกมาจาก 488 GTB
นั่นคือสิ่งที่เป็น แต่สิ่งที่เป็นมันทำให้รู้สึกอย่างไร?
สิ่งแรกและน่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่สังเกตเห็นได้คือ Pistaไม่ได้เป็นที่สุดในด้านคอนเซ็ปท์เท่า Specialeซึ่งมันเข้ามาแทนที่ในด้านกำลังที่รุนแรงและศักยภาพในสมรรถนะที่มีแบบแผนที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงอันที่จริงผมอยากจะแย้งว่ารถลำดับที่ 4 ในซีรีส์พิเศษของ V8 คันนี้ทันสมัยที่สุดแล้ว
รู้สึกผิดหวังหรือ? อย่าผิดหวังไปเลย มันไม่ได้มีอะไรน่าผิดหวังกับรถแบบนี้ที่ทำให้คุณอยากจะขับมันไปให้ไกลขึ้นและบ่อยกว่าเดิม ในทางกลับกัน ปัญหาที่ผมพบจาก Specialeคือ ถึงแม้ว่ามันจะดูโดดเด่นบนสนามแข่งแต่ก็ต้องพยายามกันหนักมากกว่าจะเอามันไปที่นั่นและเอากลับมาได้ (และผมยอมรับว่าผมเป็นเพียงส่วนน้อยในบรรดาเพื่อนๆ ที่ชอบ 458 รุ่นมาตรฐานมากกว่า) มันไม่ใช่รถที่ผมจะเลือกขับไปเที่ยวในวันหยุดอย่างแน่นอน และไม่ใช่จะขับไประเบิดความเร็วบนถนนที่ไหนก็ได้แต่ต้องเป็นบนถนนสาธารณะที่ดีมากเป็นพิเศษเท่านั้น
ในประเด็นที่กล่าวถึงข้างต้นนี้ Pistaก็มีปัญหาแบบเดียวกันแต่ด้วยเหตุผลที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ความคิดเกี่ยวกับเสียงกร้าวของ Specialeกับการขับรถที่มีคุณภาพโดยไม่ปราณีใครและทำตัวเป็นสิ่งกีดขวางในการขับระยะทางไกลแต่ Pistaไม่มีเหตุขัดข้องแบบนั้น การขับ Pistaอาจจะไม่ได้โดนตำหนิอย่างไม่สมเหตุสมผลมากเท่าสุดยอดรถ 488 GTB แต่คนอวดรวยก้นนิ่มๆ ก็สบายเกินพอที่จะยอมทนฟังคนตำหนิไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุดคุณเข้าใจถูก มันดังกว่า GTB ถึง 10 เดซิเบลแต่เครื่องยนต์เทอร์โบไม่เคยส่งเสียงดังมากๆ ที่จริงแล้วก็ไม่ได้จะบอกว่าดังขนาดนั้น ในทางตรงกันข้าม รถ Specialeกลับทำให้ผมคันในหูได้ด้วยซ้ำ และเข้าใจผิดแล้ว สิ่งที่อาจจะทำให้ผมจอด Pistaทิ้งไว้ในร่มได้คือมันเร็วมากเกินไปเท่านั้น
ให้พูดถึงเรื่องไร้สาระสักเรื่องเกี่ยวกับรถ Ferrari หรือ? นั่นมันความคิดเห็นทั้งหมดเกี่ยวกับรถอย่างคันนี้เลยไม่ใช่หรือ? ถ้าใช่ อย่างนั้นแล้วประเด็นนั้นได้มองข้ามกรณีหนึ่งที่ว่า แม้แต่ผู้ผลิตรถซุปเปอร์คาร์รายใหญ่ที่สุดก็ไม่ได้มีประสบการณ์ทางด้านวิศวกรรมซึ่งเป็นสิ่งรอบตัวข้างในสิ่งที่คุณจะต้องขับเอาเสียเลย
ในกรณีของผม สิ่งรอบตัวนั้นเป็นเส้นทางของบททดสอบที่ไม่ธรรมดาซึ่งถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยบุคคลสำคัญอย่าง Raffaele de Simone ผู้เป็นตำนานของ Ferrari ในยุคปัจจุบันซึ่งรุ่นก่อนหน้านี้เคยเป็น Dario Benuzziแต่ไม่สวมแว่นกันแดดเท่านั้น
และแม้แต่บนถนนที่น่าจะเป็นถนนที่ดีที่สุดเท่าที่แคว้น Emilia-Romagna จะมี Pistaก็ยังรู้สึกเหมือนเป็นเสือเบงกอลที่เดินไปตามร่มเงาของโรงเพาะชำ
รถคันนี้เร็วมากพอที่จะขึ้นไปถึง 124 mph จากการจอดนิ่งๆ ได้ภายใน 7.6 วินาที เร็วกว่ารถ F1 McLaren ในระยะการวัดเดียวกันถึง 2 วินาทีเต็มๆ และช้ากว่ารถ Scuderia 430 ที่ขึ้นไปถึง 100 mph เมื่อ 10 ปีก่อนเพียง 0.2 วินาที Ferrari ไม่ได้ประกาศการจับเวลาของระยะ 0-100 mph เอาไว้ ถ้าประกาศคุณก็คงจะได้เห็นอยู่ที่ราวๆ 5.5 วินาทีซึ่งเป็นความบังเอิญที่ดันไปตรงกับเวลาที่ 328 GTB ใช้ในระยะ 60 mph เมื่อ 30 ปีก่อนพอดิบพอดี
สรุปว่า Pistaเป็นรถที่บ้าดีเดือด โหดเกินกว่าที่จะเอามาวิ่งบนถนนแบบนี้หรือจริงๆ แล้วก็ทุกถนนที่ผมรู้จักเลย และทางเลือกเดียวที่มีคือ “นั่งสบายๆ แล้วทนไป” ก็ไม่เป็นที่น่าพอใจเท่านั่งในรถ 488 GTB ที่ซิวิไลซ์กว่ามาก Pistaอาจจะเป็นรถ Ferrari เครื่อง V8 แสนวิเศษที่โค้งมนและมีความแตกต่างน้อยที่สุด แต่หากคุณไม่ได้ขับเร็วมากๆ แน่นอนว่าคุณจะต้องนึกสงสัยว่าทำไมคุณต้องมานั่งขับมันเสียตั้งแต่แรก
คำตอบคือการหาสถานที่สักที่ที่จะสามารถขับเร็วมากๆ ได้ สำหรับคนที่ไม่เห็นด้วยกับการต้องเปลืองน้ำมันขนาดนั้น สถานที่ที่ว่าก็คงจะหมายถึงสนามแข่ง
วันนี้ผมได้ครองสนาม Fioranoคนเดียวอย่างมีความสุข อย่างน้อยก็สัก 2- 3 รอบ ถึงแม้จะยกสาระสำคัญเล็กๆ เรื่องเครื่องยนต์ 710 แรงม้าที่ทำให้มีน้ำหนักเท่ากับรถ Golf GTI 3 ประตูพอดีออกไป แต่นี่ก็ยังคงเป็นการฝึกที่น่าสนใจทุกครั้งเพราะคุณจะถูกจัดสรรเวลาในการใช้สนามให้น้อยมากเสียจนถ้าหากคุณอยากจะสัมผัสให้รู้ว่ารถเป็นอย่างไรในเวลาที่จำกัดขนาดนั้น คุณคงจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องออกตัวจากบริเวณหยุดเติมน้ำมันหรือเปลี่ยนยาง (pit) อย่างรวดเร็ว
ด้วยยาง Cup 2 K2 ที่ Michelin ผลิตมาให้โดยเฉพาะ ทำให้แรงฉุดลากดีมาก และแรงบิดก็แข็งแรงมากจนทำให้คุณรู้สึกวิงเวียนนิดหน่อยในทางตรงแม้ในขณะที่ขับรถอยู่ก็ตาม การเปลี่ยนเป็นเกียร์สูงอย่างกะทันหันทำให้แสงที่คุณไม่มีทางพบเห็นได้บนถนนมาเต้นรำอยู่เหนือพวงมาลัย พอปิดทุกอย่างหมดแล้ว ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงของรถถูกจงใจทำให้ดูรุนแรงเพราะเห็นได้ชัดว่าคุณจะหาความดราม่าในรถคันนี้ได้ค่อนข้างยาก ในระยะเวลาที่ดูเหมือนสั้นๆ คุณก็เหยียบไป 130 mph แล้ว
แต่เบรกกลับสลัดความเร็วให้หลุดได้ดียิ่งกว่าที่มอเตอร์ต้องการเสียอีก มันมีพละกำลังมากจริงๆ มันแทบจะไม่ได้ทำให้ผมนึกถึงขีดจำกัดต่างๆ ของยางที่ดีที่สุดสำหรับวิ่งบนถนนเลย บนถนนลื่น ผมคาดว่ามันคงหยุดเร็วมากจนจอตาคุณแทบจะลอกออกมาได้เลย
และจากนั้นคุณก็จะมาถึงส่วนนั้นของสนาม Fioranoที่มันจะล่องจากขวาไปซ้ายไปขวา ในรถ Pistaคุณจะเกิดความทุลักทุเลในการพยายามที่จะไม่ควบคุมมัน แต่ในทางตรงกันข้าม คุณจะสไลด์เข้าโค้งสวยๆ อย่างเป็นธรรมชาติพร้อมกับแรงด้านข้างของรถคันนี้ที่กดทับร่างคุณอย่างรุนแรง บางสิ่งได้สิ้นสุดลงแล้วและมันใช้เวลาในการนำเสนอทางเทคนิคเพียงแค่ 2 ชั่วโมงในการที่จะรู้ว่าบางสิ่งนั้นคืออะไร
Ferrari เคยชินกับการอธิบายว่าควบคุมรถของพวกเขาได้อย่างไรในเวลาที่เปิดระบบความปลอดภัย มีอยู่อย่างหนึ่งที่ทำงานถึงแม้ระบบจะปิดอยู่ก็ตาม และมันจะไม่เริ่มทำงานจนกว่ารถจะเกิดอาการไวโค้ง…
แล้วก็ในขณะที่รถเริ่มไถล มันก็แค่แตะเบรกตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยเพียงเบาๆ แบบไม่ต้องพยายามอะไรเลยเพื่อที่จะรักษาความคงที่ของอัตราการหันเหและความเป็นแนวตรงเอาไว้ แต่ก็ใช่ว่า GTB จะไม่น่าพอใจอยู่ดี ระบบนี้เรียกว่า ระบบเพิ่มพลังของ Ferrari (Ferrari Dynamic Enhancer) แต่อันที่จริงแล้วมันควรจะเรียกว่า ระบบฮีโร่เร่งด่วนของ Ferrari เสียมากกว่าเพราะนั่นเป็นสิ่งที่มันทำให้คุณรู้สึกและมองเห็น ในเวลาที่คุณเหยียบคันเร่งหลุดโค้ง มือพันกัน รถหมุนไปในทิศทางตรงกันข้ามกับทางตรง
และนั่นเป็นความทรงจำที่จะตราตรึงอยู่ในใจผมไปอีกนานแสนนานจริงๆ ไม่ใช่เรื่องที่ว่า Pistaวิ่งได้เร็วมากเท่าไรแต่ควบคุมได้ง่ายขนาดไหนมากกว่า การแสดงศักยภาพของมันออกมาเป็นความสำเร็จที่พิเศษมากๆ อยู่แล้ว
ราวกับว่า Ferrari ในปัจจุบันจะยอมรับไปโดยปริยายว่าความต้องการของตลาดทำให้พวกเขาก้าวเข้ามาสู่จุดที่รู้ตัวแล้วว่ารถของพวกเขาเร็วเกินกว่าที่จะเอามาวิ่งเล่นสนุกๆ บนถนนสาธารณะเส้นไหนก็ตาม ความท้าทายจึงตกไปอยู่ที่การนำเสนอสมรรถนะในความวิเศษที่ดุเดือดทั้งหมดของมันให้ได้ถึงระดับนั้นจริงๆ แต่ก็ต้องนำเสนอไปในทิศทางที่เข้าใจได้ง่ายที่สุดเช่นกันอาจจะฟังดูเหมือนแผนงานเฉพาะของทั้ง 2ฝ่าย และมันก็เป็นอย่างนั้น แต่ความจริงที่ว่า Pistaทำให้ทั้ง 2ฝ่ายพึงพอใจมากๆ นั้นเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งสิ้น
คุณสมบัติ : เครื่องยนต์ V8, 3,902 cc, twin-turbo กำลังสูงสุด : 710 แรงม้า ที่ 8,000 rpm แรงบิดสูงสุด : 568 lbftที่ 3,000 rpm เกียร์ : 7 speed DCTขับเคลื่อนล้อหลัง, ระบบเฟืองท้ายแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Diff 3), ระบบติดตามแบบ F1, SSCระบบช่วงล่าง : ด้านหน้า :แบบปีกนกคู่, สปริงขด, ตัวหน่วงการสั่นสะเทือนแบบปรับได้(adaptive damper), เหล็กกันโคลง (anti-roll bar) ด้านหลัง : คานบิด (multi-link), สปริงขด, ตัวหน่วงการสั่นสะเทือนแบบปรับได้ (adaptive damper), เหล็กกันโคลง (anti-roll bar)เบรก : ดิสก์เบรกคาร์บอนเซรามิก, ด้านหน้า 398 mm, ด้านหลัง 360 mm, ABS ล้อ : ด้านหน้า 9×20 นิ้ว, ด้านหลัง 11×20 นิ้ว ยาง : ด้านหน้า 245/35 ZR20 ด้านหลัง 305/30 ZR20 น้ำหนัก 1,385กิโลกรัม (พร้อมรูปแบบน้ำหนักเบาให้เลือก) อัตราส่วนน้ำหนักรถต่อแรงม้า 521 แรงม้า/ตัน 0-62 MPH 2.85วินาที (ตามคำกล่าวอ้าง) ความเร็วสูงสุด 211 mph (ตามคำกล่าวอ้าง) ราคา 252,765ปอนด์
–
เรื่อง : ANDREW FRANKEL |
ภาพ: ASTON PARROTT & FERRARI
เรียบเรียง: CHAIYAPONGSE LIMPANONDA
นิตยสาร Enzo ฉบับที่ 5
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น