California คือความสำเร็จครั้งใหญ่แม้ว่ามันจะไม่เคยโน้มน้าวเหล่าสาวกรถสปอร์ตชนิดเข้าเส้นได้สำเร็จสักครั้ง แล้ว Portofino จะต่อยอดคุณสมบัติเด่นจากรุ่นพี่กับมีสิ่งที่สาวกพวกนั้นถวิลหาไปพร้อมกันได้หรือไม่?
เรื่องนึงที่เรารู้สึกมาตลอดก็คือ Ferrari เองก็งงกับความสำเร็จของ California อยู่เหมือนกัน ตอนเปิดตัวในปี 2008 ก็เคยมีข่าวลือว่ามันถูกล้อว่าเป็น Maserati (ภายหลังฝั่งโรงงานออกมาปฏิเสธ) แต่เรื่องที่ไม่มีใครสงสัยก็คือการที่มันเป็นFerrari คนละสายพันธุ์กับรถรุ่นอื่นๆ อย่างแน่นอน หนึ่งทศวรรษต่อมาเรามี Portofino ซึ่งก็คือรถเจนเนอเรชันที่สามที่แค่ไม่ได้ใช้ชื่อ Californiaและมันก็ชัดเจนว่าFerrari ทำการบ้านกันมาหนักและนานเอาเรื่อง เพื่อที่จะรีดจุดแข็งของรถรุ่นนี้ออกมาจนหมดหลอดและทำให้มันเป็นรถ GT ที่ดีขึ้น และเพื่อที่จะทำให้มันเข้าพวกกับรถอื่นๆ ของค่ายมากกว่าที่เป็นอยู่
นั่นเป็นกลยุทธ์ที่ทั้งน่าตื่นเต้นและเสี่ยงอยู่นิดหน่อย สาวก Ferrari หัวโบราณอาจจะทำท่าเย้ยใส่ California แต่มันก็กลับกลายเป็นรถขายดีที่สุดของบริษัทไปอย่างรวดเร็วปีที่แล้ว California T ทำส่วนแบ่งได้ถึง35%ของยอดขาย Ferrari ทั่วโลก แถม70% ในนั้นยังเป็นลูกค้าใหม่ด้วย ดังนั้น ไม่ว่ายอดขายเดิมของคุณจะอู้ฟู่ขนาดไหน เจ้านี่ก็คือขุมทองชัดๆ การคิดจะทำให้มันดึงดูดพวกแฟนหัวโบราณมากขึ้นจึงเสี่ยงที่จะทำสูตรสำเร็จครั้งนี้ให้พังไม่เป็นท่า
ดังนั้นถึงแม้ Californiaจะมีบางจุดที่ควรถูกปรับปรุงอย่างชัดเจน(เช่นหน้าตา หรือ ความคล่องแคล่ว) แต่ Portofino ก็ต้องหาจุดสมดุลให้ดีอย่างที่ดีไซน์เนอร์ Adrian Grifithsกล่าวไว้ว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคือการทำให้รถรุ่นใหม่ดู ‘สปอร์ตขึ้นในขณะที่ยังเป็นที่ยอมรับในสังคมกว้าง และไม่ใช่ก้าวร้าวขึ้น’ เจ้าของ California ใช้รถของพวกเขาต่างไปจากเจ้าของ Ferrari รุ่นอื่นๆ พวกมันส่วนใหญ่ถูกขับใช้งานในชีวิตประจำวันและบางทีก็ต้องพาเจ้าของออกทริปในช่วงวันหยุดพูดง่ายๆ คือพวกเขาใช้ California ในแบบที่มันจงใจถูกสร้างมาหรือGran TurismoมันจึงกระเดียดไปทางMercedes SL มากกว่าที่จะเป็น488 Spider
เช่นนั้นก็คงไม่แปลกที่พัฒนาการหลายจุดของ Portofino จะเป็นเรื่องการเพิ่มความสะดวกสบายและประโยชน์ใช้สอย อย่างพนักพิงเบาะหน้าบางลงเพื่อให้พื้นที่วางขาด้านหลังกว้างขึ้น แอร์ที่เย็นเร็วขึ้นและเงียบขึ้น และแผ่นลดแรงลมสะท้อนที่ใช้การได้ดีกว่าเดิม ส่วนการปรับปรุงในจุดอื่นๆ เช่น การลดน้ำหนักลงถึง 80 กิโลกรัม ซึ่งช่วยทั้งเรื่องแฮนด์ลิง สมรรถนะ และความประหยัด เป็นสิ่งที่คนทุกกลุ่มได้ประโยชน์กันถ้วนหน้า แล้วการที่แรงม้าเพิ่มจาก 552 มาเป็น 592 ตัว นั่นมันจำเป็นด้วยไหม? ก็อาจจะไม่
ความประทับใจแรกเป็นไปในเชิงบวก กลางแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าที่อิตาลี Portofino ดูหล่อเหลาเอาการกว่า California ทั้งตอนที่คุณกำลังเดินเข้าไปหามันและหลังจากขึ้นมาอยู่หลังพวงมาลัย เมื่อติดเครื่องยนต์เสียงจากเครื่อง V8 ทวินเทอร์โบที่ปรับปรุงใหม่ก็ทั้งก้องกังวาลและซับซ้อน จากนั้นในระยะแค่หนึ่งไมล์คุณก็เริ่มชื่นชมพวงมาลัยกับแฮนด์ลิงที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติมากขึ้น ถามว่า Ferrari ทำสำเร็จไหม? พวกเขาทำให้Portofino เป็นรถที่ทั้งสปอร์ตและเป็น GT ที่เจ๋งขึ้นได้หรือไม่? ทุกอย่างดูท่าจะไปได้สวย…
California รุ่นแรกมีหน้าตาที่ไม่ได้เรื่อง บั้นท้ายหนาเตอะ ส่วนด้านหน้าก็ดูเหมือนมันกำลัง ‘ตกใจ’ อยู่ตลอดเวลา California T แก้ปัญหาไปได้เปราะนึงและหน้าตาดูกลมกลืนมากขึ้น และ Portofino ก็ดูดีขึ้นไปอีกขั้นมันมีกลิ่นอายของ 812 Superfast ให้เห็นทั้งด้านหน้า เส้นโค้งเว้าด้านข้าง และรูปร่างโดยรวมโดยเฉพาะตอนปิดหลังคาที่มันดูเหมือนกับรถ Coupé หลังคาแข็งแท้ๆ แต่เมื่อหลังคาถูกพับลง มันก็ยากที่จะมองข้ามบั้นท้ายหนาๆ ที่จำเป็นต่อการซ่อนหลังคาแข็งแบบใหม่ไปได้ หลังคาใช้เวลาพับเก็บประมาณ 14 วินาที และทำงานที่ความเร็วไม่เกิน 25 ไมล์/ชั่วโมง (40 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ลองนึกภาพดูสิว่าในขณะที่มันทำอย่างนั้นฝาท้ายของมันจะเปิดอ้าราวกับมันกำลังใช้Airbrakeอยู่
แทบจะทุกจุดในรถได้รับการปรับปรุงใหม่ เริ่มจากโครงสร้างตัวถังที่ Ferrari บอกว่าพวกเขาเลือกใช้วัสดุอย่างชาญฉลาดมากขึ้น เช่นโครงเสา A ที่เดิมใช้ชิ้นส่วนถึง21 ชิ้น ก็ถูกลดเหลือเพียง2 ชิ้นเท่านั้น เมื่อนำหลักการแบบนี้ไปประยุกต์ใช้กับรถทั้งคันก็จะทำให้น้ำหนักลดลง คุณภาพดีขึ้น โครงสร้างทนต่อการบิดตัวมากขึ้น (+35%) และจุดยึดต่างๆ แข็งแรงขึ้น (+50%) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับโครงสร้างและตัวถังเป็นปัจจัยหลักของการลดน้ำหนักรวมลงได้ถึง 80 กิโลกรัม ส่วนอื่นที่เหลือก็เช่น การใช้โครงเบาะแมกนีเซียมอัลลอยเป็นต้น ผลลัพธ์สุดท้ายจึงออกมาเป็นน้ำหนักรถเปล่าที่ 1664 กิโลกรัม (รวมของเหลว) ค่อนข้างได้เปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่งโดยตรงอย่าง Mercedes AMG SL63 ที่หนัก1770 กิโลกรัม
แน่นอนว่ารถเบากว่าย่อมตอบสนองดีกว่า แต่ข้อสรุปอีกอย่างนึงที่ Ferrari ได้จากการวิจัยอุปนิสัยใจคอของเจ้าของ California ส่วนใหญ่ก็คือ คนกลุ่มนี้รับรู้ความสนุกในการขับรถผ่านทาง “เสียงและความว่องไว” พวงมาลัยของ California T ที่กำลังจะตกรุ่นถือว่าไวพอใช้ได้ แต่ยังขาดการสื่อสารและส่งผ่านความรู้สึกที่ดีทว่าการนำแร็คที่อัตราทดช้าลงกว่าเดิม (ประมาณ 7%) มาใส่ในPortofino ก็ดูค้านกับความรู้สึกอยู่เสียหน่อยแต่นั่นเป็นเพราะแท้จริงแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้น อีกฝั่งนึงของรถคือที่อยู่ของเฟืองท้ายActive differential แบบใหม่ล่าสุด ‘E-Diff 3’ ซึ่งสามารถปรับบุคลิกของรถภายใต้สถานการณ์ต่างๆ รวมถึงทำให้รถเริ่มหักเลี้ยวเมื่อถึงโค้งได้อย่างแนบเนียนขึ้นได้รถจึงสามารถใช้แร็คที่เฉื่อยกว่าเดิมได้ อีกส่วนนึงคือPortofino เป็นเพียงFerrari รุ่นที่สองเท่านั้นที่เปลี่ยนจากแร็คพวงมาลัยไฮโดรลิค (HPAS) มาเป็นแร็คไฟฟ้า (EPAS) และมีโอกาสได้นำบทเรียนจากรุ่นแรกอย่าง812 Superfast มาปรับใช้
ครั้งแรกที่ขับมันออกไป คุณอาจรู้สึกว่าคุณต้องออกแรงมากกว่าปกติอยู่นิดหน่อยเพื่อคุมพวงมาลัยวงหนาของมัน แต่ด้วยความที่มันตอบสนองดีและเป็นธรรมชาติ ไม่นานคุณจึงลืมเรื่องพวกนี้ไปซะหมดสิ้น โครงสร้างตัวถังของ Portofino ที่แข็งแรงขึ้นทำให้วิศวกรแชสซีส์สามารถเพิ่มค่าความแข็งสปริงขึ้นอีก 15.5% ที่ด้านหน้า และ 19% ที่ด้านหลัง โดยพวกมันถูกปรับจูนมาให้ทำงานร่วมกับโช้คอัพปรับความหนืดอัตโนมัติ Magnetorheologicalรุ่นล่าสุดหรือ‘SCM-E’ ซึ่งสามารถควบคุมอาการเอียงหรือโคลงตัวของรถได้ ทำให้รถรู้สึกมั่นคงหนักแน่นและช่วยซับแรงกระแทกจากผิวถนนได้ในเวลาเดียวกัน
ห้องโดยสาร Portofino ถูกปฏิวัติให้เรียบหรูขึ้นกว่า California T แผงคอนโซลซึมซับรายละเอียดทุกอย่างมาจากGTC4 Lussoรวมถึงจอกลางขนาดใหญ่และออพชันอย่าง‘มาตรวัด’ ฝั่งผู้โดยสารที่ฝังอยู่ในระนาบเดียวกับคิ้วแนวนอนที่อยู่เหนือเก๊ะหน้ารถท่านั่งของคุณจะจมลึกลงไปในรถ เบาะใหม่ที่บางและเบาขึ้นรู้สึกดีตั้งแต่สัมผัสแรก มันเฟิร์มแต่สบายและรองรับตัวคุณเป็นอย่างดี และหลังจากหนึ่งวันอันยาวนาน มันก็ยังทำให้รู้สึกดีอยู่เหมือนเดิม แต่ถึงแม้เบาะคู่หน้าที่บางลงจะช่วยให้พื้นที่ด้านหลังเพิ่มขึ้นมา 5 เซ็นติเมตร พนักพิงเบาะหลังที่ตั้งตรงและบุฟองน้ำไว้อย่างเบาบางก็ไม่ได้ช่วยให้การโดยสารสบายขึ้นกว่ารถรุ่นเดิมต่อให้เป็นเด็กเล็กก็ตาม และแม้จะพับหลังคาลง มันก็ยังไม่ใช่พื้นที่สำหรับผู้ใหญ่อย่างแน่นอนLussoจึงยังคงเป็นรถสี่ที่นั่งอย่างแท้จริงเพียงคันเดียวของ Ferrari
สุ้มเสียงตอนสตาร์ทเครื่องกับรอบเดินเบามีโทนเบสมากขึ้นและซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม ส่วนนึงต้องขอบคุณวาล์วบายพาสในท่อไอเสียที่ควบคุมด้วยไฟฟ้าซึ่งสามารถปรับโทนเสียงได้อย่างละเอียดและรวดเร็ว แม้ว่าโน้ตเสียงจากเครื่องยนต์ที่จะสามารถสร้างอารมณ์ร่วมได้จะไม่ค่อยโผล่ออกมาให้สดับรับฟังสักเท่าไหร่ ส่วนเสียงจากปลายท่อไอเสียในช่วงรอบต่ำก็เร้าใจน้อยลงกว่าเดิมมันกระเดียดไปทางเสียงแบบโมโนโทน แต่ในทางกลับกันมันกลับฟังดูน่าขนลุกในตอนที่คันเร่งถูกกดจมมิด และเมื่อเข็มวัดรอบกวาดเข้าใกล้ขีดแดงที่ 7500 รอบ/นาที เสียงเครื่อง V8 Flat plane ก็เปลี่ยนเป็นเสียงสดและแน่นราวกับเครื่องสี่สูบเรียงที่ทำงานได้เนียนกริ๊บ
ในบรรดาชิ้นส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงของเครื่อง V8 3.9 ลิตร ก็จะมีท่อร่วมไอดีที่หล่อขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวและแบ่งท่ออากาศเป็นแบบ Twin-scroll เพื่อให้อากาศไหลไปหาเทอร์โบได้ดีขึ้นรวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ก็จะมีท่อไอดีที่มีเป็นเส้นตรงมากขึ้นและขวางการไหลของอากาศน้อยลง อินเตอร์คูลเลอร์ใหม่ที่อากาศไหลผ่านดีขึ้น และท่อไอเสียแบบท่อวน ซึ่งเป้าหมายร่วมก็คือการเพิ่มสมรรถนะและการตอบสนองของคันเร่งนั่นเอง นอกจากแรงม้าที่เพิ่มขึ้นมา 40 ตัวแล้ว แรงบิดจากเครื่อง V8 ปรับปรุงใหม่ก็เพิ่มขึ้นด้วย โดยตอนนี้มันอยู่ที่ 560 ปอนด์ฟุต แต่ก็จะถูกจำกัดตอนอยู่ในเกียร์ต่ำเช่นเคย อันที่จริงมันจะปล่อยออกมาเต็มๆ แค่ตอนที่เกียร์ดูอัลคลัทช์อยู่เกียร์ 7 ซึ่งเป็นเกียร์สูงสุดเท่านั้น ถ้านี่เป็นการทำเพื่อป้องกันการเกิดโอเวอร์สเตียร์แบบไม่ทันตั้งตัวที่ความเร็วต่ำ ส่วนตัวผมคิดว่ามันไม่ได้จำเป็นสักเท่าไหร่
พวงมาลัยที่เชื่อมต่อความรู้สึกและสื่อสารอย่างเป็นธรรมชาติของ Portofino คือที่มาของแฮนด์ลิงที่ดี ขับเร็วขึ้นแล้วคุณจะพบกับความนิ่งและสมดุลที่ถูกเติมเข้ามา ตัวเครื่องยนต์ถูกติดตั้งอยู่หลังแนวล้อหน้า ส่วนชุดเพลาหลังก็มีน้ำหนักมากพอดูเพราะมันรวมเกียร์ดูอัลคลัทช์กับเฟืองท้าย E-diff เอาไว้ ยิ่งเวลาส่วนใหญ่ที่เราขับหลังคาของมันจะถูกพับเก็บเอาไว้ ก็ยิ่งทำให้การกระจายน้ำหนักที่เอียงไปทางด้านหลังอยู่แล้ว (หน้า:หลัง 46:54) เน้นไปด้านหลังมากขึ้นกว่าเดิมทั้งหมดนี้ก็แปลว่าบนถนนยางมะตอยที่เรียบและอุ่น Portofino สามารถสร้างแรงเกาะออกมาได้อย่างมหาศาล
มันไม่มีอาการอันเดอร์สเตียร์ให้พูดถึง และผมต้องออกแรงอย่างหนักเพื่อทำให้ท้ายดีดออก ซึ่งน่าจะเป็นผลรวมระหว่างการควบคุมแรงบิดของเครื่องยนต์ที่ไม่เหมือนกับเทอร์โบทั่วไปเพราะมันแทบจะไม่รู้สึกถึงอาการแล็ค แต่ช่วงที่ดีงามที่สุดก็ยังเป็นรอบสูงเช่นเคย กับเฟืองท้าย Active differential ที่ควบคุมระดับแรงยึดเกาะได้อย่างละเมียดละไม สวิตช์ Manettinoมีแค่สามตำแหน่งคือ Comfort, Sport และESC Off ถ้าบิดไป Sport คันเร่งจะคมขึ้นเช่นเดียวกับปฏิกริยาตอบสนองของเกียร์ แต่จังหวะเปลี่ยนเกียร์ยังลื่นไหลและต่อเนื่องไม่ต่างจาก Comfort วาล์วบายพาสในท่อไอเสียก็เปิดออกด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้เสียงเครื่อง V8 เข้มขึ้น ช่วงล่างก็เฟิร์มขึ้นด้วยเพื่อการบังคับควบคุมที่ดีขึ้น แต่ต้องแลกมากับแรงกระแทกจากเนินหรือปุ่มเล็กๆ บนถนนที่ซึมซับเอาไว้ได้น้อยลง
แต่นั่นก็เป็นการแลกที่คุ้มค่า เพราะตอนที่คุณใช้งาน V8 อย่างเต็มที่และร้องขอให้รถทุ่มให้คุณแบบหมดหน้าตัก ตัวตนของ California คันเดิมก็เริ่มจะเผยออกมาให้เห็นอยู่นิดๆ สาดมันเข้าโค้งแล้วคุณจะพบว่ามีจังหวะชั่วครู่ที่ท้ายรถรู้สึกเบาเล็กน้อยเหมือนกับว่ามันยังมีงานปรับปรุงที่ต้องทำเพิ่มอยู่สักหน่อย ความรู้สึกแบบนี้มีโผล่มาให้เจอตอนคุณเริ่มเลี้ยวเข้าโค้งกว้างความเร็วสูงเช่นกัน เพราะท้ายรถดูเหมือนจะรออยู่นิดนึงก่อนเลี้ยวตามมา
กระนั้นมันก็ห่างไกลมากกับการทำให้มันโอเวอร์สเตียร์ แม้ว่ามันจะมีถึง600 แรงม้า แต่การแหย่ให้ท้ายรถออกมาเล่นด้วยนั้นยากเย็นกว่าที่คุณจินตนาการเอาไว้มากทีเดียวสู้กับแรงสปริงบนสวิตช์Manettinoเพื่อปิด Traction control จากนั้นก็ซิ่งPortofino เข้าไปหา Apex ในโค้งแฮร์พินเกียร์สอง พร้อมกับตอกคันเร่งจมมิด ครั้งแรกคุณจะพลาดกดคันเร่งช้าเกินไป และพอลองใหม่โดยคราวนี้กดคันเร่งให้ล่วงหน้ามากขึ้นอีก ท้ายรถจะดีดออกจริงและกวาดมาอย่างรวดเร็ว น้ำหนักที่ท้ายทำให้มันเคลื่อนที่อย่างฉับพลัน มันพอจะมีทางสายกลางที่ต้องใช้ความละเมียดละไมมากขึ้นอีกนิด ซึ่งจะทำให้คุณตรึงท้ายไว้ได้จนสุดเกียร์แต่พูดจริงๆ นะ ผมว่ามันไม่ได้รู้สึกว่านี่คือตัวตนของPortofino เท่าไหร่นักหรอก
มันทำเรื่องอื่นๆ ได้ดีกว่านี้ตั้งหลายอย่างอันที่จริงแล้วการคงแนวคิดแบบ California และพัฒนามันให้ดีขึ้นก็น่าจะทำให้ Portofino ประสบความสำเร็จได้แน่นอนแล้วตัวจริงของมันอาจจะไม่ดูหล่อเท่าภาพแจกสื่อมวลชนชุดแรกๆ เพราะพวกเขากดช่วงล่างมันซะจนเตี้ยแป้ก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังดูดีกว่า California มาก คมคาย เส้นสายดูสะอาดตา และหล่อกว่าทุกมุม ตอนปิดหลังคาก็สวยกว่ากันคนละเรื่องเพราะมันดูเหมือนรถคูเป้สวยๆ คันนึง แล้วมันก็ขับได้เงียบสงบแบบที่คุณคาดหวังจากคูเป้ด้วย แต่เมื่อพับหลังคาลงพร้อมกับแผ่นลดแรงลมสะท้อนชิ้นใหม่ มันก็เป็นรถเปิดประทุนที่ขับได้อย่างอภิรมย์ คุณสามารถเพลิดเพลินกับเสียงคำรามสะอาดๆ ของเครื่อง V8 ได้เต็มที่ และยังทำท่อไอเสียดังปุงปังเหมือนรถ WRC ได้เอง ด้วยการสับเกียร์ขึ้นในช่วงรอบกลางๆ ในขณะที่เท้าขวากดคันเร่งจมพื้นส่วนด้านการใช้งานจริง แม้ตอนพับหลังคาลงท้ายรถก็ยังมีพื้นที่มากพอสำหรับกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมสักสองใบ และยังมีช่องทะลุตรงกลางเพื่อวางของชิ้นยาว เช่น สกีหรืออะไรพวกนั้นได้ด้วย กระนั้นแม้ด้านหลังจะมีพื้นที่มากขึ้นจากเบาะที่บางลง มันก็ยังใช้การไม่ค่อยจะได้และมีไว้เป็นสัญลักษณ์เท่านั้น
มันขับดีกว่าเดิมแม้ว่าจะไม่ใช่การปฏิรูปพลิกโฉมอย่างหมดเปลือก แต่จุดที่สำคัญๆ ทั้งหลายก็ถูกพัฒนามาดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกและการตอบสนองของพวงมาลัย หรือการควบคุมตัวถังและความสมดุลของรถ ลูกค้า California น่าจะชื่นชอบการปรับปรุงทั้งหมดพวกนี้ แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่สามารถชี้เป้าได้ว่าอะไรที่ถูกทำให้ดีขึ้นกันแน่อันที่จริงแล้วเรื่องเดียวที่เราอยากตำหนิก็คือ การที่มันแพ้รอยแตกของถนนในเวลาที่คลานอยู่ในเมือง ซึ่งทำให้รถมีอาการกระแทกกระทั้นไม่ว่าจะในโหมด Comfort หรือ Sport ซึ่งดูขัดกับบทบาทความเป็น GT ที่ขับได้ทุกวันไปบ้าง อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมนั้นPortofino ดูน่าสนใจมากขึ้น และนั่นทำให้ตอนนี้รถรุ่นขายดีที่สุดของ Ferrari มีความน่าใช้ยิ่งกว่าเดิม
–
บทความโดย John Barker
นิตยสาร Enzo ฉบับที่ 4
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น