Group Test : California/Portofino

Portofino แวะมานัดพบรุ่นพี่ของมันอย่าง California และ California T เราลองขับพวกมันเปรียบเทียบกันเพื่อจะดูว่า เจ้าของรถรุ่นเก่าจะถูกรถรุ่นใหม่ยั่วกิเลสสำเร็จไหม

Ferrari ที่เข้าถึงได้นั่นคือแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังรถทั้งสามคันที่คุณกำลังเห็นอยู่นี้ ซึ่งก็คือ California ญาติรุ่นทวินเทอร์โบของมัน และน้องใหม่อย่าง Portofino แต่คำว่าเข้าถึงได้มันสามารถตีความหมายได้อีกหลายอย่าง ทั้งเรื่องราคาที่เอื้อมถึงได้ อรรถประโยชน์ใช้สอย หรือความอเนกประสงค์รอบด้าน ทั้งหมดก็ถือว่าอยู่ในขอบเขตของคำว่าเข้าถึงด้วยกันทั้งนั้น

ข่าวคราวของ Ferrari รุ่นเริ่มต้นนั้นลือกันมาตั้งแต่ก่อน California จะเปิดตัวในปี 2008 แล้ว บางคนก็คาดหวังว่าพวกเขาจะได้เห็น Dino ใหม่ที่ขนาดกระทัดรัดและระดับราคาราวๆ Porsche แต่พอของจริงเปิดตัวก็กลับต่างกันไปคนละโยด Amadeo Felisa หัวหน้าแผนกวิศวกรรมในตอนนั้นอธิบายว่ามันง่ายมากที่เราจะทำรถแบบ Lotus Exige ออกมาขาย แต่ลูกค้าสมัยนี้เทียบราคากับขนาดรถเสมอ (ยกเว้นอังกฤษกับสวิตเซอร์แลนด์) และพวกเขาก็ไม่น่าจะโอเคกับรถขนาดเท่า Dino รุ่นเดิมกันอีกต่อไปแล้ว

นอกจากนั้น มันก็ยังมีตลาดที่ Ferrari อยากจะทดลองเข้าไปอยู่แล้วด้วย อย่างกลุ่มคนที่ขับ Aston Martin หรือ Bentley เปิดประทุน ที่อาจจะหันมาสนใจรถจาก Maranello บ้างก็ได้ ถ้า Ferrari ทำรถปกติที่วางเครื่องยนต์เอาไว้ด้านหน้าและราคาไม่ได้พุ่งทะยานออกไปนอกโลกมาขาย และมันก็อาจจะขโมยซีนคู่แข่งได้ถ้าทำให้มันเป็นทั้งคูเป้และเปิดประทุนรวมกันอยู่ในคันเดียว ถึงตรงนี้สาวก Ferrari พันธุ์แท้อาจเริ่มทำหน้าเหยเก แต่พวกเขาก็มี F430 (ที่ราคาไล่เลี่ยกัน) เอาไว้ปลอบใจอยู่แล้ว

สุดท้าย California ก็เปิดตัวออกมาพร้อมกับขุมพลัง V8 หัวฉีดตรง กำลังอัดสูง เน้นความประหยัด และวางเอาไว้ที่ด้านหน้ารถ บล็อกแรกของ Ferrari กับเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ มันขับง่ายกว่า Ferrari รุ่นอื่นๆ ที่ออกมาก่อนหน้านั้นทั้งโขยง แต่ก็ยังเร็วเอาเรื่องด้วยม้า 453 ตัว ที่คอยฉุดลากตัวถังอะลูมิเนียมระดับ 1,735 กิโลกรัม ไปข้างหน้า ส่วนหน้าตาของมันนั้นเสียงค่อนข้างแตกเป็นสองฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นร่องที่ลากจากแก้มหน้าไปถึงประตูซึ่งดูแปลกประหลาด หน้าตาที่เหมือนปลาสักสายพันธุ์นึง บั้นท้ายอวบเป็นกระเปาะ คาดท้ายสีดำใต้ขอบฝากระโปรง หรือท่อไอเสียวางซ้อนเป็นแนวตั้งที่ดูพิลึกพิลั่น

อีกเรื่องนึงที่ผมควรจะเล่าให้คุณฟังก็คือ Ferrari ยังหวังว่ามันจะดูดลูกค้าผู้หญิงเข้ามาหาแบรนด์ในแบบที่พวกเขาไม่เคยทำได้มาก่อนด้วย แล้วมันก็ได้ผล Yvonne Clarke นักบินเฮลิคอปเตอร์จาก Derbyshire เอ็นดู 2013 California สีขาวของเธอมาก มันเป็นรถรุ่นท้ายๆ ซึ่งเธอไปซื้อมาตอนมันอายุได้ 4 เดือน กับเลขไมล์ 4,000 เพื่อแทน Aston Marton DB9 Volante คันเดิม เธอบอกว่าฉันเป็นลูกค้าตรงสายเลย คันนี้มีสเปกทุกอย่างที่อยากได้ ตอนแรกก็เตรียมตัวจะมาซื้อรุ่นใหม่นั่นแหละ แต่คันนี้มันโดนใจไปหมด แล้วฉันก็สามารถขับมันกลับบ้านได้เลยในอีกหนึ่งสัปดาห์ด้วย

ฉันเคยพยายามติดต่อขอซื้อ Ferrari จากตัวแทนหลักมาแล้ว และขอให้เขาลดราคาให้สัก 2,000 ปอนด์ แต่พวกเขาบอกว่าให้ไม่ได้ ฉันก็เลยมาซื้อจากที่นี่แทน

ในปี 2014 California รุ่นปรับโฉมเปิดตัว พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่อันนี้ผมไม่ชอบเป็นการส่วนตัว สาระสำคัญอยู่ที่การทำรุ่น California T ออกมา ซึ่งใช้เครื่องยนต์ V8 พร้อมกับเทอร์โบอีกหนึ่งคู่ ปรับแรงม้าให้เพิ่มขึ้นรวดเดียวอีก 99 ตัว (รวมเป็น 552 แรงม้า) ทั้งๆ ที่ความจุเครื่องยนต์ถูกลดจาก 4,297 ซีซี มาเหลือแค่ 3,855 ซีซี ตัวเลขพวกนี้ยังได้มาทั้งๆ ที่ระยะชักของลูกสูบในเครื่องรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น และทำให้มันโอเวอร์สแควร์แค่เล็กน้อย เทียบกับของเดิมที่โอเวอร์สแควร์อย่างชัดเจน

การลดก๊าซมลพิษ CO2 ตามมาตรฐานการทดสอบของทางการคือเหตุผลหลักของการปรับปรุงเครื่องยนต์ ซึ่งผลพลอยได้ก็เป็นสมรรถนะที่เรียกใช้งานได้ง่ายขึ้น และกลุ่มควันจากการทดสอบที่ถูกปล่อยทิ้งจนไกลลิบในกระจกมองหลัง แต่นอกจากเครื่องยนต์แล้ว หน้าตาของ California T ก็ยังได้รับการปรับปรุงให้ดูเฉียบคมและมีมัดกล้ามมากขึ้นด้วย ร่องตัวถังด้านข้างถูกทำให้ดูกลมกลืนไปกับสัดส่วนของรถในภาพรวมมากขึ้น ด้านหน้าเพิ่มความดุดัน และด้านท้ายรถดูมีมัดกล้ามแต่ผอมเพรียวขึ้น ตัวถังภายนอกถูกเปลี่ยนใหม่หมดทุกชิ้น ยกเว้นเพียงชิ้นส่วนหลังคาพับเก็บด้วยไฟฟ้า ส่วนภายในก็ได้รับการปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ แต่เปลี่ยนแปลงทุกจุดในลักษณะเดียวกัน

Ketan Patel นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใน Kent เคยซื้อ California T ล็อตแรกๆ มาใช้ เขาเล่าให้ฟังว่าผมขับมันอยู่สักปีนึง ใช้ไปประมาณ 3,000 ไมล์ได้ ตอนนั้นผมซื้อมาจากเพื่อนคนนึงที่ตอนนี้เขาก็สั่ง Portofino ที่จะมาเป็น Ferrari คันที่ห้าของเขาไปแล้ว ส่วนตัวผมเองก่อนหน้านี้ขับ BMW”

Ferrari บอกว่า Portofino ขับง่าย ใช้งานสะดวก และสปอร์ตกว่า Ferrari ทั้งหมดที่ผลิตออกมาก่อนหน้านี้ เราเลยอยากลองดูว่าเจ้าของรุ่นพี่ของมันทั้งสองคันนี้จะเห็นด้วยไหม พวกเขาจะรู้สึกอยากได้รถรุ่นใหม่ที่หน้าตาเหลี่ยมสันมากขึ้น กับสีตัวถังอลูมิเนียมแบบด้าน และเวทีเสียงที่ดังสนั่นลั่นทุ่งขึ้นมารึเปล่า? พวกเขาจะสังเกตน้ำหนักตัวที่ลดไป (80 กิโลกรัม จาก California T), ตัวถังที่ทนการบิดตัวเพิ่มขึ้นจากจำนวนชิ้นส่วนที่น้อยลงและแข็งแรงขึ้น (เพิ่มขึ้น 35%), และเรี่ยวแรงของเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบที่พุ่งทะยานไปไกลกว่าเดิม (เป็น 592 แรงม้า) ได้ไหม? เช่นเคยที่ชิ้นส่วนตัวถังมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมหมดทุกชิ้น ส่วนภายในก็ปรับปรุงให้เนี้ยบขึ้น เช่น จอแบบทัชสกรีนฝั่งผู้โดยสารที่สามารถแสดงข้อมูลได้เท่ากับที่คนขับเห็น

หรือว่าหลังจากขับกันครบทั้งสามคันแล้ว Yvonne กับ Ketan จะบอกว่าพวกเขายังคงแฮปปี้กับรถคันเดิมมากกว่า? Yvonne บอกว่าฉันไม่เคยใช้รถคันไหนนานเท่านี้มาก่อน และตอนนี้ก็ยังไม่มีเหตุผลอะไรให้เปลี่ยนด้วย แต่บ่ายนี้อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ทางฝั่ง Ketan ก็ยังคงมั่นคงกับรถคันเดิมเหมือนกันรึเปล่า? “ผมคิดว่าคงจะเลือกคันเดิม แต่ก็เพราะว่ายังไม่เคยนั่ง Portofino มาเลยด้วย ดังนั้นความอยากเก็บรถคันเดิมเอาไว้ก็อาจจะอยู่ถึงอีกแค่ชั่วโมงเศษๆ ข้างหน้าก็ได้

แต่ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ประวัติศาสตร์ก็ถือว่าได้เกิดขึ้นแล้ว ปกติ Ferrari นั้นขึ้นชื่อเรื่องการไม่ปล่อยรถทดสอบให้ไปทำคอลัมน์เปรียบเทียบ แต่คราวนี้ฝ่ายสื่อสารองค์กรยอมหยวนให้เรา แต่นั่นก็อาจเป็นเพราะว่าผลลัพธ์สุดท้ายรถที่ชนะก็ยังเป็น Ferrari อยู่ดีนั่นแหละ

เพื่อให้เราเข้าใจตรงกัน ผมควรจะต้องบอกจุดยืนของผมตรงนี้ก่อนว่า ก่อนที่พวกเราจะมารวมตัวกันที่ด้านข้างโรงเหล้าชั้นดี Puddingstone Distillery (ขอบอกก่อนว่าไม่มีการชิมระหว่างทดสอบ) บนพื้นที่ฟาร์มของ Mead ใกล้เมือง Tring, Herts นี้ และก่อนที่ผมจะรับ Portofino มาจากสำนักงานใหญ่ภาคยุโรปตอนเหนือของ Ferrari ในช่วงเช้านั้น ผมไม่ได้แตะรถอนุกรมนี้มาเลยตั้งแต่งานเปิดตัว California ที่ Sicily ในปี 2008 ตอนนั้นผมชอบ California มากกว่าที่คิด ลองคิดดูสิครับว่ารถกับเครื่องยนต์บุคลิกแบบนั้น (รอบจัด กรีดร้อง และแรงม้าสูงสุดมาที่ 7,750 รอบ/นาที) ยังไงก็ไม่มีทางซ่อนความเป็น Ferrari ไว้ได้อยู่แล้ว แม้ว่ามันอยากจะซ่อนแทบตายก็เถอะ แต่ทุกอย่างที่มันทำก็ยังเหมือนกับ Ferrari หนึ่งคันอยู่ดี

ผมไม่ได้ขับ California T ในตอนเปิดตัว ดังนั้น Portofino จึงเป็นครั้งแรกของผมกับเครื่องทวินเทอร์โบ โอ้โหเสียงคำรามของมันจะเกรี้ยวกราดและครวญครางในลำคออะไรขนาดนี้ โดยเฉพาะในโหมด Sport ที่ไอเสียจะถูก Bypass ข้ามไซเลนเซอร์ไปหมด 100% แน่นอนว่ามันเร็วราวกับอสูรร้ายด้วย แต่สิ่งที่ผมแปลกใจมากที่สุดก็คือความนุ่มนวลเวลาที่รูดผ่านถนนขรุขระที่ผิวต่างระดับและคมกริบ ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในโหมดถนนสะเทือนซึ่งเซ็ทมาให้ดูดซับแรงสะเทือนด้วยซ้ำ เสียงยางบดถนนเข้ามาน้อยมาก ซึ่งน่าทึ่งมากสำหรับรถที่ใช้ยางกว้างแก้มเตี้ยระดับนี้ ยางยังเป็นขนาดเดิมมาตั้งแต่ California รุ่นแรกโดยบังเอิญ แต่ตัวถังที่แข็งแรงขึ้น ทำให้สามารถเซ็ทช่วงล่างได้นุ่มลงแต่ยังควบคุมการเคลื่อนไหวของล้อได้ดีเหมือนเดิม จุดนี้คือองค์ประกอบสำคัญที่มันสามารถผสานความนุ่มกับการตอบสนองอย่างฉับไวเอาไว้ด้วยกันได้แบบอร่อยเหาะ

เราวางเส้นทางทดสอบไว้ให้มีทั้งโค้ง ทางตรง และผิวถนนแบบต่างๆ ผสมกัน โดยพวกเราแต่ละคนจะได้ขับพวกมันคันละหนึ่งรอบตามปีที่มันเริ่มวางขาย โดยจะเริ่มจากรถที่แต่ละคนขับมาก่อนจะได้มีเวลาหาจุดอ้างอิงกันได้

รอบที่สองผมมาอยู่ใน California ซึ่งเป็นการย้อนเวลากลับหลังแบบสุดกู่ที่สุดในครั้งนี้มันเป็นรถสปอร์ตของแท้” Yvonne ยืนกรานกับผมไม่เหมือนกับ Bentley ที่เหมือนโซฟาที่มีรถมาล้อมรอบซะมากกว่า” California คันเก่งของ Yvonne ที่เธอใช้เป็นประจำไม่มีออพชันช่วงล่างปรับอัตโนมัติ Delphi Magneride ใส่มาด้วย แต่ผมจำได้ว่าชุดช่วงล่างเดิมๆ ก็ดีพออยู่แล้วมีลูกค้าแค่ประมาณ 15% เท่านั้นที่จะรับรู้ถึงความแตกต่างได้จริงๆ” Amadeo Felisa เล่าสิ่งที่เขาสังเกตเห็นในงานเปิดตัวให้ฟัง

การออกแบบภายในห้องโดยสารยังไม่รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนกับ Portofino และยังให้ความรู้สึกอะนาล็อคมากกว่า แต่อย่างน้อยนั่นก็เป็นข้อดีในแง่มาตรวัดต่างๆ รวมถึงการที่มันยังใช้ก้านไฟเลี้ยวแบบปกติวางไว้ใกล้ๆ แป้นแพดเดิลชิฟท์ฝั่งเปลี่ยนเกียร์ลง แต่ไม่ได้ใกล้กันเกินจนสับสน เพราะว่ามันเข้าใจง่าย ส่วนรถอีกสองเจนเนอเรชันต่อมาใช้ปุ่มกดบนพวงมาลัย ซึ่งไม่เคยจะอยู่ในตำแหน่งที่ถูกที่ควรเลยสักทีในตอนที่คุณจำเป็นต้องใช้มันขึ้นมาอย่างตอนจะออกจากวงเวียน

ในโค้ง California รู้สึกไม่เกาะเท่า Portofino และต้องหมุนพวงมาลัยไฮโดรลิคอัตราทดต่ำเยอะกว่าคันอื่น (รุ่นใหม่เป็นไฟฟ้า) แต่มันมีความรู้สึกตอบสนองแบบคงเส้นคงวา และรับรู้แรงที่ส่งกลับขึ้นมาได้อย่างอะนาล็อค ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดหายไปในรถรุ่นใหม่ๆ ที่เกาะแนบสนิทไปกับพื้นถนน และพุ่งทะลุผ่านโค้งไปราวกับดอกสว่าน กระนั้นสิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดก็คือเครื่องยนต์ที่ยังคงเป็นแบบดั้งเดิมที่ชื่นชอบการลากรอบอย่างที่มันควรจะเป็น เสียงเครื่องยนต์ค่อยๆ ทวีความดังขึ้นจนเปลี่ยนเป็นคำรามสนั่น เพราะว่าไม่มีเทอร์โบมาขวางและดูดซับเสียงเอาไว้

ตอนนี้ก็มาถึงตา California T ของ Ketan “ผมไม่เคยขับ Ferrari รุ่นอื่นมาก่อนเลยเขาตอบแต่ผมเคยขับ Lamborghini มาหลายรุ่นแล้ว เจ้านี่ขับดีและพลิ้วกว่ามากเวลาอยู่บนถนน ภายในก็ดูไม่ค่อยพลาสติกเท่าไหร่ ผมเพิ่งจะสั่งแพ็คเกจชุดแต่งภายในคาร์บอนไฟเบอร์ราคา 12,000 ปอนด์ ที่ Ferrari Southampton ไปเอง โดยมันมีทั้งช่องแอร์ แป้นแพดเดิลชิฟท์ ลำโพงสเตอริโอ สคัฟเพลท ร่องเกียร์แบบ F1 และป้ายชื่อ Ferrari ที่ใต้ช่องแอร์มาด้วยแต่ไม่มีเบาะด้านหลังคาร์บอนแบบที่เป็นออพชันสำหรับรถแข่งอย่างที่อยู่ในรถของ Yvonne

นี่เป็น California รุ่นที่สวย คม และดูลงตัวกว่ารุ่นพี่ของมัน ซึ่งเวลาขับมันก็ให้ความรู้สึกแบบนั้น และมีพวงมาลัยที่ทดมาเร็วขึ้น แต่ในทางกลับกันมันก็ใช้ช่วงล่าง Magneride ซึ่งปรับแต่งมาสำหรับ T โดยเฉพาะ เครื่องยนต์ยังคงเร่งถึงขีดแดงสูงลิบได้แบบเดิม แต่พละกำลังที่ไหลออกมาในรอบต่ำจะเพิ่มขึ้น ซึ่งก็ต้องขอบคุณที่ Ferrari เลือกใช้เทอร์โบที่มีอาการแล็คน้อยมาก มันแทบจะไม่ต่างอะไรเลยจากรุ่นพี่ยกเว้นแค่เรื่องก้านไฟเลี้ยว และในเวลาที่คุณต้องการมันก็พร้อมจะซิ่งในแบบรถสปอร์ตพันธุ์แท้ แล้ว Portofino จะทำดีกว่านี้ได้อีกหรือ?

เอาล่ะ ตอนนี้ก็ถึงเวลากลับมานั่งจิบชาที่ Farms shop แล้วประเมินความรู้สึกเจ้าของ California แต่ละคันกันแล้ว เพื่อจะดูว่าพวกเขาพูดถึงทายาทของรถพวกเขาที่ผ่านการจินตนาการทั้งด้านออกแบบและงานวิศวกรรมใหม่อย่าง Portofino ว่ายังไงบ้าง

Yvonne Clarke: “มันตอบสนองดีมาก เร็วจัด และฉันก็ทำตัวให้ชินกับปุ่มไฟเลี้ยวบนพวงมาลัยได้ในเวลาไม่นาน ฉันชอบที่มันละมุนไปหมด แต่รถคันเดิมของฉันให้ความรู้สึกดิบกว่า เสียงคำรามของเครื่องยนต์ในรถของฉันเองก็ดุดันกว่า แต่รุ่นใหม่นี่ไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่ ถึงแม้มันจะทำเสียงแบบที่คุณจะเรียกว่าเสียงสังเคราะห์ออกมาค่อนข้างมากก็ตาม อย่างพวกเสียงปุงปังอะไรพวกนั้น ซึ่งไม่มีในรถคันเดิม

ความรู้สึกคือจะต้องขับเร็วขึ้นเพื่อที่จะเริ่มสนุก แต่คันของฉันเองไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ เพราะมันสนุกและตื่นเต้นได้ทุกที่ทุกเวลา แล้วฉันก็ยังไม่ค่อยจะแน่ใจกับดีไซน์ด้านท้ายของมันเท่าไหร่ด้วย มันดูเหมือนกบอ้าปากกว้าง ภายในดูเท่มากแต่เบาะในคันของฉันนั่งสบายกว่า

ตอนนี้ก็ถึงตา Ketan Patel: “มันขับดีเลย ตอบสนองเร็ว แต่เบาหวิวเมื่อเทียบกับคันของผม จนรู้สึกเหมือนของเล่นหรือขนนกไปเลย ส่วนตัวอยากให้การควบคุมมีน้ำหนักกว่านี้

ผมชอบภายในแบบไม่รู้จะไปติตรงไหน แต่ภายนอกนั้นผมว่ามันมาไกลเกินไปหน่อยเมื่อเทียบกับ California รุ่นเดิม จนดูไม่ค่อยเหมาะกับรถประเภทนี้ เอ้อ Yvonne ผมชอบเสียงรถคุณนะ

สรุปว่าเสียงแตก แต่ถ้าหากคำถามคือ Portofino ยังเป็นรถแบบ Grand Tourer ที่ดีกว่ารุ่นเดิมอย่างที่ Ferrari บอกมาในตอนต้นไหมใช่ก็จะเป็นคำตอบที่ได้จากทั้งสองคนพร้อมกัน Kelton บอกว่ามันกลายเป็นรถสำหรับขับทุกวันไปแล้วในตอนนี้ เพราะมันง่ายและคล่องไปหมด บางแง่มุมนี่แทบจะไม่ต่างจาก Range Rover ใหม่เลยด้วยซ้ำ ยกเว้นเรื่องความสูงกับตอนที่คุณกดเท้าลงไปจมมิดนะ

Yvonne เห็นด้วยและเสริมว่ามันเสียบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ไปนิดหน่อยด้วยเหมือนกัน คุณเลยอาจจะไม่ได้คิดว่ามันเป็น Ferrari แล้วนั่นเป็นความเห็นที่เหมือนกับ Ketan และมันก็น่าสนใจทีเดียวที่คนผ่านไปผ่านมาที่ Mead แล้วสะดุดตากับ Ferrari สามคันของเราในวันนั้น ส่วนใหญ่ก็บอกว่าชอบ California สีขาวที่สุด

อย่างไรก็ตาม Yvonne รับรู้ว่า Ferrari มีภารกิจที่ต้องต่อสู่ในตลาดที่มีสถานการณ์การแข่งขันสูงขับ Portofino แล้วเหมือนขับรถหรูมากกว่ารถสปอร์ตเธอบอกฉันไม่รู้เหมือนกันว่านั่นมันคือพัฒนาการไหม แต่ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือแค่ต้องเดินหน้าต่อ เพราะไปชิงตลาดจาก Aston Martin กับ Bentley มาแล้ว Ferrari ได้ทำสำเร็จในสิ่งที่พวกเขาตั้งเป้าไว้ และฉันก็เคยคิดว่าจะต้องชอบ Portofino แบบหัวปักหัวปำ แต่สุดท้ายก็เปล่า

สิ่งที่ชัดเจนคือรถทั้งสามคันมีบุคลิกเฉพาะตัวของมัน และสำหรับคนรักรถแล้ว การที่บุคลิกของคันนึงจะดีกว่าของอีกคันหรือไม่ก็เป็นอะไรที่จิ๊บจ๊อยมาก แต่บุคลิกของรถในแบบที่คุณชื่นชอบนี่สิสำคัญกว่า Portofino มีตัวเลขสมรรถนะสวยหรูและพก Gadget ตามกระแสติดตัวมามากมาย แต่มันเป็นได้อย่างเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่มันถูกสร้างขึ้นมาในตอนแรก ซึ่งคือกาการโน้มน้าวให้คนรักรถรุ่นคลาสสิคหันมา ได้สำเร็จหรือไม่? มันสูญเสียความเป็น Ferrari ไปบางอย่าง และกลายเป็นรถที่กลางๆ มากขึ้นเหมือนพวก Lamborghini หรือ AMG ไหม?

ท้ายที่สุดแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้สึกอย่างไร บางทีคำว่าอารมณ์ก็ถูกเอามาล้อเลียนในหมู่คนเล่นรถด้วยกันมากเกินไป ทั้งๆ ที่มันคือแก่นแท้ของการจะเลือกเป็นเจ้าของ Ferrari สักคันนึง แล้วมันก็ยังมีหลังคาเปิดได้นั่นอีกอย่างหนึ่งด้วย แบบที่ Yvonne บอกว่าการขับรถที่มีลมปะทะเส้นผมคือสวรรค์ที่ฉันอยากจะให้มีทุกวันตลอดสัปดาห์

เราเห็นด้วยว่า California T เป็นรถที่สวยที่สุดในกลุ่ม และมันก็น่าสนใจเหมือนกันว่าเราจะยังรู้สึกแบบเดิมไหม ในอีกหนึ่งทศวรรษข้างหน้า

Share

ใส่ความเห็น