ผมไม่แน่ใจว่าเราอยู่บนถนนอะไร เมื่อคุณขับตามช่างภาพ และพวกเขากำลังทำงาน คุณไม่มีทางรู้ว่าเราจะไปถึงไหนกัน อย่างหนึ่งที่ผมรู้คืออากาศที่เบาบางลงเมื่อเราวิ่งขึ้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ บนที่แห้ง และเต็มไปด้วยหินทางตอนเหนือของโปรตุเกส ในที่สุดเราก็มาถึงที่ที่ดูเหมือนจะเคยเป็นถนน เสียงของหินที่กระแทกใต้ท้องรถ Ferrari ทำให้ผมหวาดเสียว จนหน้าบิดตาม มันไม่มีอะไรมากนอกจากขับตามรถนำที่กำลังถ่ายภาพ เมื่อรถนำวิ่งห่างออกไป ฝุ่นก็ฟุ้งบังทางด้านหน้าไปจนเสียหมด รวมถึงหลุมบ่อ ต่างๆด้วย แต่ทันใดนั้นแสงแดดก็ส่องผ่าน เผยให้เห็นภาพมุมกว่างสุดลูกหูลูกตา ของสภาพที่ไม่ต่างกับพื้นผิวดวงจันทร์นัก นอกเสียจากว่าหนึ่งในทีมงานของเราเคยเห็นบรรยากาศสวยงาทอย่างนี้มาก่อน โฮสต์ของเรา Tiago PatrícioGouveia มีบรรพบุรุษ ที่ตั้งถิ่นฐานที่นี่มากว่าศตวรรษ ไม่นานนักเขาก็อธิบายถึงรายละเอียดต่างๆของ Ferrari 195 Inter ปี 1951 ที่หายากของเขา รถคันนี้ได้ถูกนำมาบูรณะฟื้นฟูใหม่ โดยปู่ของเขา JoãoLacerda ในช่วงปลายปี 1960 ตั้งแต่นั้นมามันนำไปโชว์ที่ Museu do Caramulo ของครอบครัว หรือเกือบทุกครั้งที่ Tiago หรือ Salvador น้องของเขา และ ลูกพี่ลูกน้องเขาไม่ได้ใช้งานมัน แน่นอนว่ามันไม่ได้มีไว้ชมเพียงอย่างเดียว เช่นกัน มันไม่ได้มีไว้แข่งขันเช่นกัน ย้อนกลับไปในปี 1945 เมื่ออิตาลีกำลังย่ำแย่ โรงงานและอุตสาหกรรม หนีจากบนภูเขาไป อยู่ที่ Sicily และนี่คือสิ่งที่ทำให้ Enzo Ferrari เติบโตเป็นผู้ผลิตเอง จากการออกจากการเป็นพระเจ้าซาร์แห่ง Alfa Romeo motorsport ‘Il Commendatore’ แรกแรมถูกห้ามไม่ให้สร้างรถภายใต้ชื่อของเขาเองจาก ความแตกหักในดีลของเขา นอกจาก Auto AvioTipo51 ซึ่งสร้างเพียงแค่สองคันนั้น เขาต้องรอจนกระทั้งมิลานได้รับอิสระภาพ จึงสามารถทำให้รถของเขาเองมีชีวิตได้ ซึ่ง Enzo หวังไว้ว่าจะสร้างรถแข่ง การออกแบบและพัฒนาตกไปอยู่ในมือของ Gioacchino Colombo ศิษย์เก่าจากสำนัก Alfa Romeo 125S จึงกลายเป็นผลงานชิ้นแรกจากแรงกายแรงใจของพวกเขา แม่พิมพ์ได้ถูกหล่อ ในต้นปี 1948 125 ได้ถูกเพิ่มขนาดเครื่องยนต์จาก 1496 ซีซี เป็น 1995 ซีซี และเรียกว่า 166 มันเป็นรุ่นที่ทำให้ Ferrari สร้างชื่อเสียงในการแข่งขันระดับนานาชาติ มันชนะคู่แข่งทุกรายในรายการ Targa Florio และ Mille Miglia sports car races ในปีนั้น จังหวะนี้เองที่ Enzo เริ่มที่จะสร้างรถใช้งานบนถนน Enzo มองว่าการสร้างรถสำหรับขับบนถนนเป็นสิ่งเลวร้าย แต่ก็จำเป็นเพื่อที่จะหาเงินมาสนับสนุนการแข่งขันของเขาหลังจากนั้นในช่วงปี 1950 รถใช้งานบนถนนถูกสร้างขึ้นในจำนวนจำกัด และขายแบบตัวถังเปลือย ต้องนำไปทำต่อเองโดย บริษัทภายนอกที่ชื่อ carrozzeria166 Inter กลายเป็นรถ Ferrari คันแรกที่ออกแบบใช้งานบนถนน แตกต่างจากรถจดทะเบียนที่เป็นรถแข่ง มันเปิดตัวปี 1949 และในปีถัดมรุ่นเครื่องที่ใหญ่ขึ้น 195 เผบโฉมที่งาน Paris Salon de l’Automobile มันมาในสองรูปแบบ แบบ Sport มาพร้อม Webber คาบูเรเตอร์ 3 อัน และ Inter ที่มี คาบูเรเตอร์เดี่ยวสำหรับใช้บนถนน เพียงแค่ 27 คันถูกผลิตออกมา จนถึงกลางปี 1951และสำนักออกแบบที่ Ferrari เลือกใช้คือ Alfredo Vignaleลูกชายของช่างทำสีรถ เขาเป็นคนที่ 5 จากพี่น้องทั้งหมด 7 คน แต่ AlfredoVignale เมื่อตอนเด็กเป็นคนที่สนใจการขึ้นรูปโลหะมากกว่า ก้าวแรกของงานสร้างตัวถังของเขาเกิดขึ้นในปี 1924 เมื่อเขาเป็นลูกศิษย์ของสำนัก Ferrero &Morandiใน Piazza Enrico, Turin เมื่อตอนออายุเพียง 11 ปี เท่านั้น 6 ปีต่อมาฝีมือได้ไปเข้าตา Battista ‘Pinin’ Farina ซึ่งต่อมาจะเป็นคนสอนวิชาให้เขาจนสำเร็จ เมื่ออายุ 24เขาถูกทาบทามจาก Giovanni Farinaน้องชายของ Battista และเจ้าของStablimenti Farina ให้เป็นหัวหน้าช่างฝีมือ ไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขายังฝันที่จะเป็นเจ้านายของตัวเอง เพื่อที่สามารถที่จะก่อตั้ง carrozzeria ของเขาได้นั้น เขาใช่เวลาตอนเย็น ในห้องใต้ดินที่บ้านทำอุปกรณ์ทำครัว และบังโคลนรถจักยาน เพื่อจะหาทุนตั้งบริษัท สงครามโลกครั้งที่สองรบกวนแผนการของเขา กระทั้งในปี 1947 เขาได้รับขอเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้ PieroDusio ผู้ก่อตั้ง Cisitaliaอันโด่งดัง กำลังหาคนมาช่วยทำคอนเซพ 202 SMM AerodinamicoCoupéของนัก aerodynamicistGiovanni Savonuzzi’s ให้เป็นสเกล 1:1 เหมือนจริง ผู้สร้างตัวถังคนอื่นๆ ไม่สามารถที่จะรับงานได้ เนื่องจากความซับซ้อนของการดีไซน์ แต่ Vignale กล้าที่จะรับความท้าทาย เขาสามารถที่จะเช่าห้องเล็กๆในโรงเลื่อยเก่า เพื่อที่จะมาตั้งบริษัทของตัวเองได้ ไม่นานนั้น ธุรกิจของเขาก็กลายเป็นธุรกิจขนาดย่อมๆ และรถคันแรกที่เขาสร้างในชื่อตัวเองก็เปิดตัวในปี 1947 ใช้พื้นจาก FiatTopolino มือสอง รถสองประตูนี้ดึงดูดความสนใจมากมายจากการไปแสดงในโชว์รูมในดีลเลอร์ในเมือง Turinระหว่างนั้นเขาพัฒนาความสัมพันธ์กับ Giovanni Michelotti เจ้าของ Stablimenti Farina พวกเขารวมมือกันทำงานกันเป็นประจำMichelotti เป็นคนออกแบบ ส่วน Vignale ทำให้มันเป็นจริง จนกระทั้ง CarrozzeriaVignale สร้างชื่อเสียงจนไปเตะตา Ferrari จนได้ไปทำรถให้ถึง 150 คัน ระหว่างปี 1950 ถึง 1954 195 ที่คุณเห็นอยู่นี้คือ ตัวถัง 0103S มันคือคันที่ 6 และหนึ่งใน 12 ตัวถังตัวอย่างที่ทำโดย Vignale มันถูกส่งให้ตัวแทนจำหน่าย Ferrari ในโปรตุเกส João Gaspar ในเดือนเมษายน ปี 1951 และขายให้กับ José Cabral ซึ่งนำไปแข่ง Hillclimbในกรกฎาคม ปีนั้น มันเป็นการแข่งขันครั้งเดียวของรถคันนี้ จากนั้นมันก็ถูกซื้อโดย Lisbon’sHermanoAreias ซึ่งก็ไม่ได้เก็บมันไว้นาน เจ้าของคนต่อไปคือ Luís de SttauMonteiro ลูกของฑูตโปรตุเกสประจำลอนดอน ผ่านไปอย่างรวดเร็วในทศวรรษต่อมา รถได้ถูกตกทอดมาเรื่อยๆ ประเทศภายใต้การปกครองของ Antonio Salazar ไม่ได้ดึงการซื้อของราคาแพง รถไปอยู่ในมือของตัวแทนจำหน่าย Mercedes-Benz ใน Lisbon จนกระทั้ง JoãoLacerda มาช่วยชีวิตไว้ไม่โชคดีนัก เจ้า Inter มาโดนไม่มีเอกสารอะไรเลย แต่ Lacerda ก็ยังบูรณะ และใช้งานมันจริงๆจังๆ กล่องเก็บเอกสารระบุการออกทริป ไปเยี่ยมพื้น การดูแลรักษา และใบเสร็จ จากปี 1981 โดนบริษัทผู้เชี่ยวชาญจากอังกฤษ GraypaulMotorsรวมถึงจดหมายจากDavid Clarke เจ้าของบริษัทระบุถึงปัญหา ควันโขม่ง ถึงแม้มันจะวิ่งไปถึง 6000 กิโลเมตร ตั้งแต่ผลิต (ปัญหาจากแหวนลูกสูบ) ไปต่อถึงกลางปี 1990 มันถูกตกแต่งใหม่ บางช่วงมันถูกพ่นเป็นสีแดง ไม่ใช่สีทูโทนแบบ ดั้งเดิม จากการเทียบสีจากหน้าปัดมันถูกแก้ไขกลับมาเป็น น้ำเงิน เงิน แบบในตอนนี้และนั้นคือเรื่องราวทั้งหมดจนถึงตอนนี้ เมื่อดูใกล้ๆเจ้า Inter เล็กกว่าที่คิดไว้มาก ผลงาน 195S ของ Vignale silhouette ทำได้สวยงามกว่าคู่แข่งอื่นๆเช่น Vignale silhouette มากสัดส่วนที่ลาดเอียงเล็กน้อย ระนาบหลังคาที่ต่ำ และหลังที่โป่ง มันเป็นทรวดทรงที่สวยจับใจ และที่ไม่เหมือน Ferrari Vintage รุ่นอื่นๆ คือการเลี่ยงการใช้สิ่งฉูดฉาด ไม่มีโครมเมี่ยม หรือครีบหาง ภายใน มันอลังการแต่ก็เรียบง่าย การรวมกันของหน้าปัดที่วางภายในแดชบอรด์ของรถเป็นเสมือนงานศิลปะ สิ่งที่ทำให้แปลกประหลาดใจมาดที่สุดก็คงจะเป็นพื้นที่กว้างภายในรถ มีพื้นที่เหนือหัวมากมาย และหลังคาก็ไม่ทำให้รู้สึกแคบเลย ที่นั่งไม่ค่อยที่จะซัพพอรต์เท่าไร และคุณสามารถรู้สึกต้องจับพวงมาลัยไม้Nardi ให้ดี เพราะตำแหน่งของมันที่มีดีเอาเสียเลย ไม่ได้ไม่สบายเอาเสียทีเดียว แต่มันรู้สึกได้ถึงความเก่าของดีไซต์ รู้สึกได้ว่าอยู่ในยุคของมัน เมื่อเปิดปั้มน้ำมัน และย้ำคันเร่ง เครื่อง ‘Colombo’ V12 ติดขึ้นทันที โดยไม่มีการกระตุก หรือสำลักอย่างที่เราคิดไว้ มันไม่ได้มีเสียงที่ดีเด่นหนัก ออกจะเป็นเงียบ ขณะเดินเบาด้วยซ้ำ ตอนนี้รถใช้ Weber คาบูเรเตอร์ 3 ตัว มันจึงมีเสียงที่ดีกว่าเวลาขับ คุณอาจจะผิดหวัง เสียงที่ดูวุ่นวาย จากเฟืองเล็กๆ ร้อคเกอร์อ และ โซ่ มันเสียงไม่เหมือนเครื่อง 3 ลิตรที่อยู่ใน ซีรีย์ 250 อื่นเลยคลัชจานเดี่ยวเบากว่าที่คิดไว้มาก มันไม่มี Synchro ช่วยตอนเข้าเกียร์หนึ่ง การเข้าเกียร์มีชีวิตชีวา ด้วนจังหวะที่สั้น กระชับ และอัตราทดที่ใกล้กันมาก ทำให้คุณต้องใช้ เกียร์เกือบหมด เพื่อนที่จะได้การขับขี่ที่ต้องการ มันไม่มีจังหวะที่ยาก เป็นไปได้ยากที่จะไม่ blipping รอบเครื่อง ก่อนลดเกียร์ นี่คือสิ่งที่รถมันควรจะเป็น พวงมาลัยแบบworm-and-sectorอาจจะรู้สึกงุ้มง่าม เมื่อเทียบกับมาตราฐานในวันนี้ มันใช้ความสามารถในการควบคุมมากว่าที่คิดไว้ เมื่อถึงความเร็วในระดับนึง แต่มันก็ตอบสนองอย่างสมเหตุสมผล เมื่อคุณไปเร็วขึ้น เส้นทางทดสอบของเราคือทางขึ้นเขา เมื่อคุณบังคับพวงมาลัยเพื่อเข้าโค้งความเร็วต่ำ มันลื่นไหลในมุมเลี้ยงที่กวาดกว้าง และรู้สึกเบาอย่างน่าพอใจ บนถนนลาดยาง การขับขี่แน่นและกระชับ แต่การขับบนทางที่ไม่เรียบ คุณจะรู้สึก’ทุกอย่าง’ ที่ผ่านไปบนภูมิประเทศบนพื้นฐานแล้ว สมรรถนะของมันมีชีวิตชีวา ถึงแม้มันจะออกแบให้วิ่ง 3500 ถึง 5000 รอบต่อนาที แต่ red line อยู่ที่ประมาณ6000 รอบต่อนาที แต่เราไม่มีโอกาสได้ลอง เร็วกว่าที่คาดไว้ เวลาของเราก็ใกล้หมดลง เราสลับที่นั่งให้ Gouveia เขาไม่ได้มีอาการอะไรระหว่างขับ แต่ยอมรับว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับงานนี้นัก เขามี F40 ที่เหมาะสมกว่า 195 Inter และ 166 Inter เป็นจุดที่ก้าวกระโดดของ Ferrari ในการทำรถสำหรับขับบนถนน พวกมันเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้ระลึกถึงช่วงเวลาที่รถถูกรังสรรค์โดยช่างฝีมือกับค้อนและสายตาอันแหลมคมของเขา ช่วงเวลาที่ครั้งหนึ่ง Vignaleเป็นพาร์ทเนอร์ของ Enzo และสิ่งที่ดึงดูด มากกว่าเป็นแค่เพลทติดรถ Fordsgussied-up รถคันนี้มีความหมาย มันเป็นมรดกของครอบครัวที่ไม่มีวันที่จะเปลื่ยนไป โปรดอย่าตีความว่ามันเหมาะที่จะไว้แค่ตั้งโชว์ในพิพิธภัณฑ์ มันเป็นอะไรมากกว่านั้นมากมาย
_
บทความแปลโดย Papop K.
นิตยสาร Enzo ฉบับที่ 4
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น