Less is more

ในสภาพตลาดแข่งขันสูง เป็นข่าวดีสำหรับคนต้องการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวด้วยการถือครอง Ferrari

ในช่วงเวลาที่มีแต่ความสับสนเรื่องการเปลี่ยนแปลงและข่าวลวงต่างๆ มากมายแบบนี้ มันไม่แปลกที่จะมีข้อความที่สื่อสารกันเกี่ยวกับความเข้มแข็งในแบรนด์ของ Ferrari จะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงด้วย

เมื่อเร็วๆ นักวิเคราะห์ที่ UBS ระบุว่าหุ้นของ Ferrari อาจจะขึ้นไปถึงหุ้นละ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการคาดการณ์เชิงบวกบนพื้นฐานสมมติฐานที่ว่า Ferrari กำลังซุ่มพัฒนา SUV รุ่นหนึ่งเพื่อเตรียมปล่อยออกสู่ตลาดตามที่ลือกันมานาน ราคาหุ้นเมื่อ 6กรกฎาคม อยู่ที่ 85.70 ดอลลาร์ พอมาถึง 12 กรกฎาคม ราคาปรับตัวขึ้นไปเป็น 92.88 ดอลลาร์

นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ลงทุนในความมั่งคั่งของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนทางการเงินหรือว่าอย่างอื่น และเราหวังว่าจะเป็นแรงกระตุ้นให้คนรีบหันมาลงทุนซื้ออะไรสักอย่างที่มีตราสัญลักษณ์ Ferrari

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ขัดแย้งกันเกิดขึ้น กระแสความคลั่งไคล้ต้องการครอบครองรถคลาสสิกของ Ferrari ดูเหมือนว่าจะส่งสัญญาณในทางลบในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ยกตัวอย่างในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตามดัชนี HAGI Ferrariซึ่งเป็นชาร์ทแสดงราคาของรถรุ่นเพื่อการสะสม บ่งบอกว่ามีอัตราส่วนลดลง 4.54% เมื่อเทียบกันปีต่อปี

ในตลาดประมูลรถทั้งตลาดใหญ่และตลาดขนาดเล็กในหลายเดือนที่ผ่านมาก็สะท้อนภาพอุปสรรคที่ Ferrari ต้องข้ามผ่านไปให้ได้ โดยงานประมูลเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่จัดขึ้นในโมนาโก อันเป็นพื้นที่ที่ยอมรับกันว่าคนซื้อไม่เคยสนใจราคาถ้าอยากได้รถที่ชอบ ก็ปรากฎว่ารถจำนวน 8 คันจาก 15 คันไม่สามารถขายได้ ในจำนวนนั้นรวมถึงรถเด่นอย่าง 250 GT เปิดประทุนซีรี่ส์ 2 รุ่นปี 1962 ด้วย หรือจะเป็นในเทศกาลความเร็วที่ Bonhamsมีรถจำนวน 5 คันที่ไม่สามารถหาเจ้าของใหม่ได้ น่าสนใจว่าในจำนวนดังกล่าวมี F40 รุ่นปี 1988 และ 599 GTO รวมอยู่ด้วย

ความนิยมใน F40 เป็นที่ชัดเจนว่าดร็อปลงไป ที่ RM Sotheby (ปกติจะประสบความสำเร็จ) จัดงานเมื่อเดือนพฤษภาคม มีรุ่นจากปี 1990 เพียงคันเดียวที่ถูกประมูล ขณะที่การประมูลอีกครั้งหนึ่งที่ Greenwich รถที่ถูกประมูลไปนั้นก็เป็นราคาที่สูงกว่าราคาคาดการณ์ขั้นต่ำที่กำหนดไว้ 875,000 ปอนด์เท่านั้นเอง พูดอย่างกว้างๆ ระดับความนิยมในรถเหล่านี้กลับไปสู่ระดับเดียวกับปี 2014 ซึ่งไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น

หากจะสืบสาวหาสิ่งที่เป็นมูลเหตุให้ความนิยมลดลง น่าจะได้แก่ความกังวลต่อผลประโยชน์ที่จะได้รับในตลาดกรณีครอบครองรถต่อ คนที่ซื้อรถส่วนหนึ่งก็คาดหวังว่าจะสามารถปล่อยรถออกจากมือด้วยการทำกำไรในระยะสั้นๆ แต่ก็มักผิดหวัง เพราะมีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่สามารถทำแบบนั้นได้

ความนิยมที่ลดลงยังเป็นผลสะท้อนจากประสบการณ์ของนักสะสมว่า การเก็บรถตลาดท่ามกลางความไม่แน่นอนในสภาวะทางเศรษฐกิจที่เติบโตไม่สู้จะยั่งยืนนัก อาจทำให้นักสะสมมองว่ามีความเป็นไปได้ในการทำกำไรมากกว่าการครอบครองรถคลาสสิก เพราะความสามารถในการเข้าถึงหรือกำลังซื้อรถคลาสสิกFerrari ของนักสะสมในอนาคตอาจจะไม่คงที่ เพราะราคาเปิดตัวที่ค่อนข้างสูง ก็ทำให้คนอยากจะถอยออกมามากกว่าจะหาทางครอบครองให้ได้

การแข่งขันในวงการการประมูลรถยนต์ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ปีนี้มีบริษัทประมูลรายใหม่เข้ามาในตลาด เม็ดเงินจำนวนหนึ่งจึงถูกเปลี่ยนมือจากเจ้าหนึ่งไปยังอีกเจ้าหนึ่ง แต่ว่ามีรถเพียงจำนวนไม่มากนักที่จะเปลี่ยนที่เปลี่ยนทางไปตามเงินที่เคลื่อนไป

ยกตัวอย่าง ในรายของ Gooding & Co มีแผนที่จะนำเสนอชุดของรถที่หายากที่สุดต่อนักสะสม ยกตัวอย่างเช่น 275 GTB/C รุ่นปี 1966ที่นำมาปรับปรุงใหม่ด้วยการวางเครื่องยนต์ชนิดเดียวกับ 250 LM และทำตัวถังบางสวยเฉียบในแบบฉบับ Scagliettiโดย Gooding & Co ตั้งเป้าว่าจะสร้างรายได้จากการประมูลราว 12-16 ล้านดอลลาร์

ในขณะที่ RM Sotheby มาเป็นแพ็คเกจจัดชุดใหญ่รถคลาสสิกของ Ferrari 13 คัน รวมถึง 250 GT SWB รุ่นปี 1961 (ราคา 8.5-10 ล้านดอลลาร์) และ Dini 206 GT รุ่นปี 1969 (650,000-750,000 ดอลลาร์) และที่คงจะสร้างความฮือฮามากที่สุดคันหนึ่งจาก 13 คันคือหนึ่งในรถที่น่าทึ่งที่สุดเท่าที่ Ferrari เคยสร้างมา นั่นคือ  Uovoรุ่นปี 1950

รถรุ่นนี้ตามประวัติถือว่ามีความเป็นมาที่น่าสนใจมาก เคยเป็นรถแข่งในสนาม Mille Migliaมีความโดดเด่นทั้งรูปโฉมภายนอกและสมรรถนะ เป็นหนึ่งในยนตรกรรมของ Ferrari ที่เราเองก็ชื่นชอบ และเราคงรู้สึกอิจฉาลึกๆ ไม่ว่าใครก็ตามที่จะได้รถคันนี้ไปครอบครองในสนนราคา 5-7 ล้านดอลลาร์

ในโลกนี้มี Uovoแค่คันเดียว ใครเสนอราคาสูงกว่าเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้เป็นเจ้าของ RM ประกาศว่าพวกเขาขาย Ferrari แค่อย่างเดียวที่ Maranelloในวันที่ 9 กันยายน ขณะที่เรากำลังทำต้นฉบับอยู่นี้ยังไม่มีรายละเอียดมากนัก แต่เราจะนำมาเสนอท่านอีกครั้งในโอกาสต่อไป

Share

ใส่ความเห็น