Me & My Ferrari – Marrakesh Express

เมื่อHarry Metcalfe ซื้อ Testarossa มาเป็นของเขาเสร็จเรียบร้อย เขาก็เริ่มวางแผนทริปสุดพิเศษทันที

ตั้งแต่เริ่มค้นหารถจนกระทั่งได้ Testarossa คันที่คุณเห็นอยู่นี้มา มันใช้เวลาทั้งหมด4 ปี แต่แล้วอะไรทำให้มันนานขนาดนั้น? สาเหตุก็เพราะตอนที่ผมเริ่มหารถครั้งแรกเมื่อปี 2010 มันยังคงเป็นการโยนหินถามทางอยู่ว่าจะซื้อ Countach QV หรือTestarossa ดี ? แต่สุดท้าย Countach ก็คือคันที่ผมพากลับบ้าน กระนั้น ความคิดที่อยากจะครอบครองซูเปอร์คาร์ระดับตำนานแห่งยุค 1980s ทั้งสองคันก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว และเพราะแบบนี้ในปี 2014 ผมจึงเริ่มออกตามหา Testarossa อีกครั้ง

ข้อดีประการหนึ่งของ Testarossa ก็คือ Ferrari ผลิตมันออกมาจำนวนเยอะแยะ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเปิดหารถตอนไหน มันก็มักจะมีรถประกาศขายอยู่หลายคันเสมอ แต่ในช่วงระยะเวลาห้าปีที่มันทำตลาดอยู่นั้น ตัวรถมีการปรับปรุงที่สำคัญเกิดขึ้นหลายอย่าง และผมก็อยากได้รถรุ่นปีแรก ที่ยังไม่มีแคท และใช้ล้อแบบ Knock-on แต่จะต้องไม่ใช่รุ่นที่ใส่ยางเมตริกซ์ TRX ของ Michelin ซึ่งหาซื้อยากแล้วในตอนนี้ด้วย แค่นี้ก็ทำให้ตัวเลือกแคบลงไปถนัดเลยทีเดียว! หลังจากนั้นมาอีก 2-3 เดือนผมก็เกือบจะได้ลั่นไกซื้อรถคันสีแดงที่ภายในเป็นสี Magnolia สภาพสะอาดสะอ้านอยู่รอมร่อ แต่เจ้าของไม่ยอมขยับจากตัวเลข70,000 ปอนด์ (มันเป็นเงินก้อนใหญ่มากในตอนนั้น) เพราะรถเพิ่งจะวิ่งมาไม่ถึง 20,000 ไมล์ เท่านั้น นอกจากมันแล้วก็ยังมีคันสีขาวที่ราคาถูกกว่าหน่อยขายอยู่ ซึ่งผมไปดูมาแล้วก็สภาพโอเค แต่ผมก็ยังทำใจกับสีขาวไม่ได้

จากนั้นผมก็ได้รับแคตตาล็อกจาก Silverstone Auctions อยู่ในกล่องไปรษณีย์หน้าบ้าน โดยเนื้อหาระบุไว้ว่าจะมี Testarossa ปี ’87 สภาพเยี่ยมขึ้นประมูลในเดือนกรกฎาคมที่จะมาถึง ดูทรงแล้วมันน่าจะสภาพดีเยี่ยมเลยทีเดียว และราคาก็ตั้งไว้สมเหตุสมผลเสียด้วย (45,000- 50,000 ปอนด์) ผมแวะเข้าไปเช็คดูสภาพรถคันจริง แล้วก็ถึงบางอ้อว่าทำไมมันถึงตั้งราคาเอาไว้ต่ำนัก สาเหตุก็เพราะมันถูกขายในราคาซากให้ประกันมาตั้งแต่ปี 1996 ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คุณอยากจะเห็นอยู่ในประวัติรถ แต่ไหน แล้วก็ขอเจาะลึกหาสาเหตุดูหน่อยแล้วกันเพราะมีรถที่ขายราคาซากด้วยเหตุผลอันงี่เง่าให้เห็นกันเป็นประจำ สำหรับคันนี้เจ้าของเก่าขับมันไปชนกับฟุตบาทขอบสูง แล้วบริษัทประกันเสนอเปลี่ยนชิ้นส่วนที่เสียหายตั้งแต่กันชน โคมไฟ และแก้มหน้า ด้วยการสั่งอะไหล่จาก Ferrari ที่สนนราคาแพงลิบถึง 17,272 ปอนด์ แต่เนื่องจากTR กำลังราคาตกอย่างสุด ในตอนนั้น (20,000 ปอนด์ ก็ซื้อรถที่สภาพดีได้แล้ว) การซ่อมครั้งนั้นจึงไม่คุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และถูกขายต่อเป็นซากไปในท้ายที่สุด

โชคยังดีเพราะเจ้าของตอนนั้นได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ควร เขาขอซื้อรถคืนมาจากบริษัทประกันและตั้งหน้าตั้งตาที่จะทำมันให้เป็น Testarossa ที่ดีที่สุดในอังกฤษ โดยมีเป้าหมายคือการชนะที่หนึ่งในงาน National Concours ประจำปีของกลุ่ม Ferrari Owners’ Club เมื่อรถบูรณะเสร็จ เขาน่าจะต้องทุ่มเงินไปก้อนโตมาก เพราะหลังจากที่เขาไม่พอใจกับงานสีครั้งแรก เขาก็สั่งอู่ให้ขูดสีทิ้งจนเหลือแต่เหล็ก แล้วค่อยเริ่มพ่นสีกันใหม่อีกครั้ง น็อตและอุปกรณ์ทุกตัวถูกส่งไปชุบใหม่ และถึงกับส่งท่อไอเสียมาตรฐานไปขัดจนเงาเป็นกระจกมาเลย ซึ่งชิ้นเดียวก็ใช้เวลาทำถึงสี่วันเต็มแล้ว

หลังจากได้ที่สองของงาน National Concours ในปี 2002 และที่สองซ้ำอีกครั้งในปี 2003 เขาก็ขายรถทิ้งด้วยความโมโหที่ไม่ชนะรางวัลใหญ่เสียที

พอถึงวันประมูล ผมตั้งลิมิตไว้ในใจตัวเองที่ 50,000 ปอนด์ แล้วก็มีความสุขมากที่ได้เห็นค้อนทุบโต๊ะตั้งแต่ตัวเลขยังอยู่ที่ 47,500 ปอนด์ ไม่รวมค่าคอมมิชชัน ต้องขอบคุณสถานะทางบัญชีที่เป็นมูลค่าซากของมัน ที่ทำให้ผมได้ TR สภาพดีสุดเท่าที่เคยเจอมาครอบครองในราคาถูกกว่าท้องตลาดถึง 30% และมันยังหมายความว่าผมไม่ต้องคอยมานั่งกังวลเรื่องที่จะเอา TR ออกมาขับเป็นประจำ เพราะอดีตของมันไม่มีทางจะทำให้มันสามารถเรียกราคาสูงได้อยู่แล้ว ในความรู้สึกของผมมันคือ win-win

หลังจากนั้น 2-3 เดือน ก็เป็นช่วงเวลาแห่งการทำความรู้จักกับรถ และผมก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าTestarossa เป็นรถ GT ที่ดีมาก การอยู่กับ Countach มาพักใหญ่ทำให้ผมพบว่า TR รู้สึกขัดเกลากว่ามาก มองออกไปด้านนอกง่ายกว่า เบาะนั่งดีกว่า เสียงวิทยุยังสามารถได้ยินชัดเจนเมื่อวิ่งอยู่บนมอเตอร์เวย์ และแอร์ที่แรงพอจะทำให้คุณปากสั่นได้ถ้าเซ็ทไว้เย็นสุดนาน การที่มันสะดวกสบายขนาดนี้ทำให้ผมฉุกคิดว่าเจ้านี่ควรค่าแก่จะได้รับการผจญภัยครั้งใหญ่ และในเดือนกุมภาพันธ์ 2015 นั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น

ผมนั่งอ่านนิตยสาร CAR จากยุค 1990s อยู่ในฤดูหนาวคืนนึง และในเล่มก็มีเรื่องของ Richard Bremner ที่ขับ 512TR จาก Maranello ไปโผล่ Sahara ซึ่งฟังดูน่าสนุกดี ในจังหวะนั้นผมดื่มไวน์ขาวไปได้ 2-3 แก้วแล้ว ก็เลยนั่งร่างแผนเพื่อจะทำทริปแบบเดียวกันข้าม Morocco ด้วย Testarossa ของผมบ้าง แต่ผมมีเวลาอีกแค่สองสัปดาห์หลังจากนั้น

พอนึกมองย้อนกลับไปนี่เป็นไอเดียที่บ้าบอทีเดียว แต่ก็กลายเป็นว่าเดือนกุมภาพันธ์นั้นเป็นเดือนที่เหมาะแก่การไปเที่ยว Sahara พอดี เพราะอุณหภูมิระหว่างวันจะสามารถพอทนได้มากกว่าช่วงปลายปี และเพื่อย่นระยะทางลงบ้างเราจึงใช้เรือเฟอร์รี่ข้ามคืนจาก Portsmouth ไปยัง Santander จากนั้นก็ซิ่งผ่า Spain ด้วยภาพวิวเบลอ กับเข็มความเร็วที่ป้วนเปี้ยนอยู่ในโซนสามหลักอยู่หลายครั้ง ซึ่งเป็นอะไรที่ทำง่ายมากใน Testarossa และผมมั่นใจว่าพอเหนือ 100 ไมล์ต่อชั่วโมง ขึ้นไป มันก็จะเร็วพอ กันกับ Countach ที่มีแรงม้ามากกว่า (455 แรงม้า VS 395 แรงม้า) ผลงานจากรูปตัวถังทรงลิ่ม ถังน้ำมันของ Ferrari นั้นใหญ่โตมโหฬารถึง 118 ลิตร แม้ว่าเครื่องสูบนอน 12 สูบ ของมันจะประหยัดน้ำมันกว่าเครื่อง V12 ของ Countach ก็ตาม อัตราการสิ้นเปลืองที่ราว 20 ไมล์ต่อแกลลอน หมายความว่าการขับทางไกลระยะ 400 ไมล์ จะสามารถทำได้รวดเดียวโดยไม่ต้องหยุดพัก

เรามาถึงตอนใต้สุดของ Spain และอีกแค่อึดใจเดียวก็มาโผล่กันที่ Morocco แล้ว แต่พอเรามาถึงแล้วจริง Europeก็ดูห่างไกลไปถนัดตา ทุกอย่างรอบตัวดูแปลกประหลาด ป้ายถนนไม่มีให้เห็นหรือมีแต่อ่านไม่รู้เรื่อง เนินชะลอความเร็วมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง และมาตรฐานการขับรถนั้นเข้าขั้นแย่ การพา Testarossa ลัดเลาะไปใน Marrakesh ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ที่บ้าคลั่งอยู่ มันมีทั้ง ลา มอเตอร์ไซค์บรรทุกเกินพิกัด รถบรรทุกสภาพเยินทั้งหมดทำให้ชีวิตที่นี่เป็นเรื่องยากพอดู แต่นอกจากอาการเริ่มสตาร์ทติดยากตอนอากาศเย็น Testarossa แล้ว มันก็ก้าวข้ามเรื่องพวกนั้นมาได้อย่างมีสไตล์

เส้นทางช่วงสุดท้ายก่อนเข้า Sahara เป็นการวิ่งผ่านหุบเขา Atlas Mountains ที่อุณหภูมิอากาศหล่นฮวบจาก26 องศาเซลเซียส จากตอนที่เราออกจาก Marrakesh มาเหลือใกล้ศูนย์เมื่อถึงยอดเขา ผมไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเราจะได้เห็นหิมะกองอยู่สองข้างทางถนนเหมือนกัน แต่เราก็ผ่านมันมาได้โอเค และตั้งหน้าตั้งตามุ่งหน้าไปยัง Sahara กันต่อ แต่เราจะต้องแวะพักค้างคืนกันก่อนและผมก็ดีใจมากที่ทำเช่นนั้น เช้าถัดมาเราพบกับโคตรหลุมบนถนนหลังออกจากโรงแรมมาได้แค่ประมาณกิโลฯ เดียว ขนาดหลุมนั้นลึกเกินหนึ่งฟุตและกว้างเกือบเท่าถนนจนแม้กระทั่งรถบรรทุกยังต้องขับอ้อม ถ้าเราเกิดตกลงไปเมื่อคืน Testarossa คงจะแหลกเป็นชิ้น แน่

แต่เราก็ลืมทุกอย่างไปหมดหลังจากวิวเนินทรายของ Sahara เริ่มทอดตัวให้เห็นอยู่ลิบ ภาพภูเขาทรายเล่นแสงวิบวับอยู่ไกล ทำให้เรายังคงเดินหน้าต่อ แม้ว่าผิวถนนลาดยางจะเริ่มจางหายไปและมีความขรุขระเข้ามาแทนที่ ถนนที่ผิวเป็นลูกคลื่นพาเรามาถึงฐานของทะเลทราย และเราต้องใช้เวลาอีกชั่วโมงกว่า ฝ่าเส้นทางออฟโรดเข้าไปเป็นระยะทาง 20 กิโลเมตร สภาพ TR ดูเหมือนจะหลุดเป็นชิ้น มาได้ แต่หลังจากจอดรถเรียบร้อย เราก็ให้ลืมทุกอย่างไปหมดเมื่อเจอกับทัศนียภาพทะเลทรายเบื้องหน้าที่สวยราวกับใครใช้มนต์เสกมันออกมา

เส้นทางขากลับนั้นยิ่งดีขึ้นไปอีก ภาพวิวใน Morocco ส่วนใหญ่มักจะดูสวยเกินจริง เช่น ทะเลทรายผืนเวิ้งว้างว่างเปล่าที่สวยงามจนเป็นฉากในหนังได้ พร้อมกับหินที่วางตัวกระจัดกระจายสลับกับต้นปาล์มไมล์แล้วไมล์เล่า จนกระทั่งคุณเลี้ยวโค้งไปเจอหมู่บ้านเล็ก ที่กำลังง่วนอยู่กับการเก็บไม้ป่า Brushwood และพืชผลจากต้นไม้สีเขียวที่ขึ้นอยู่รอบ หมู่บ้านกันอยู่ เราก็ไม่อาจต้านทานตัวเองได้อีกต่อไป และใช้ห้องเก็บสัมภาระขนาดใหญ่ด้านหน้าของ Testarossa มาช่วยขนของที่ระลึกประจำทริปกลับบ้าน ในจำนวนของนั้นรวมถึงอ่างล้างหน้าในห้องน้ำ (ใช่ครับพวกเขาเอาจริง) ถ้วยขนาดใหญ่สองใบ และจานทานข้าวหกใบ ที่ทั้งหมดทำมาจากหินฟอสซิล!

ตอนที่เรากลับมาถึงบ้าน Testarossa ก็วิ่งบนเส้นทางโหดหินไปมากถึง 4,000 ไมล์ ผมจึงคิดว่ามันควรแก่เวลาที่จะส่งมันไปซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ (ถอดเครื่องออก) โดยการส่งไปให้อู่เชี่ยวชาญในละแวกบ้านอย่าง Bob Houghton ผู้เชี่ยวชาญ Ferrariตรวจตราดูสักหน่อย ปรากฏว่าทริปดังกล่าวทิ้งร่องรอยความเสียหายไว้บนรถมากจริง คลัทช์อยู่ในสภาพร่อแร่ และห้องเครื่องก็ดูเหมือนว่าจะโดนโคลนและทรายฉีดกระหน่ำเข้าใส่มาอย่างยาวนาน แต่หลังจากลงมือทำกันอยู่สองสัปดาห์ (และบิลแพงหูฉี่ระดับ 8,500 ปอนด์) สายพานก็ถูกเปลี่ยนใหม่เรียบร้อย ของเหลวถูกถ่ายออกและเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด คลัทช์เปลี่ยนใหม่ แร็คพวงมาลัยถอดออกมารื้อซ่อมใหม่ จุดยึดช่วงล่างส่งไปทำใหม่ และล้างคราบสกปรกออกจนเกลี้ยง (ซึ่งใช้เวลาผู้เชี่ยวชาญถึงสองวันเต็ม) พอถึงตอนที่รถกลับมาถึงบ้าน คุณจะนึกไม่ถึงเลยว่ามันเคยไปถึง Sahara มา โดยจุดเดียวที่จะช่วยยืนยันก็คือสติ๊กเกอร์ Dakar บนหน้าต่างบานหลัง

ตั้งแต่นั้นมาผมก็ยังขับ Testarossa ออกทริปอยู่เรื่อย แต่ไม่ใช่ทริปที่โหดเท่าครั้งนั้น อย่างล่าสุดก็เป็นทริป 2,000 ไมล์ ไป French Riviera และตีกลับทันทีเพื่อส่งของบางอย่างลงเรือของเรา (ซึ่งรวมจักรยาน Brompton พับได้สองคันในนั้น) แล้วก็ซิ่งกลับพร้อมกับขนเครื่องยนต์เรือขนาด 15 แรงม้า มาด้วย ซึ่งผมขอบอกด้วยความดีใจว่า มันใส่ลงที่เก็บสัมภาระด้านหน้าพอดีเป๊ะ

ทริปแบบนี้ล่ะครับที่แสดงให้เห็นว่า Testarossa เป็นรถ GT ที่ยอดเยี่ยมมากขนาดไหน มันสามารถขับทางยาว ได้โดยที่คนขับไม่รู้สึกเครียด การควบคุมทุกอย่างทำงานได้อย่างที่เป็น และให้ความรู้สึกว่ามันถูกสร้างมาอย่างดีด้วยเช่นกัน เรื่องรำคาญก็มีเช่น ฝากระโปรงหน้าปิดไม่ลงล็อคเสียที ฮีทเตอร์ไม่ค่อยอุ่น กล่องฟิวส์หน้ารถละลายเมื่อใช้ไปนาน (ซึ่งควรจะเปลี่ยนเป็นอย่างแรกหากยังไม่เคยทำ) และมันสามารถทำให้ไฟหมดหม้อแบตเตอรี่ได้ภายในสองสัปดาห์ ถ้าคุณไม่เสียบที่ชาร์จทิ้งไว้เวลาไม่ใช้รถ แต่ปัญหากระจุกกระจิกพวกนี้ถือว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความสุขที่ได้จากการเป็นเจ้าของหนึ่งใน Ferrari เครื่องสิบสองสูบนอนรุ่นสุดท้ายที่เคยผลิตออกมา เสียงของมันไพเราะสวยงาม เครื่องยนต์ถือว่าไม่ได้ถูกรีดเค้นมากนัก (ขีดแดงอยู่ที่ 6,500 รอบต่อนาที) และในสายตาของผมแล้ว Testarossa ยิ่งนานวันก็ยิ่งดูดีขึ้น บางทีมันอาจจะไม่น่าตื่นเต้นจนทำให้ใจเต้นแรงแบบ Countach แต่หลังจากที่อยู่กับรถสองคันนี้มาระยะนึง ผมอยากจะบอกว่ามันเป็นรถที่ดีกว่าอีกคันแน่นอน และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดว่าจะหลุดออกจากปากผมในตอนที่ขับมันออกจาก Silverstone Auctions เมื่อสามปีก่อนด้วยซ้ำ

เครื่องยนต์12 สูบนอน 4,943 ซีซี DOHC แยกฝั่งลูกสูบ หัวฉีด พละกำลังสูงสุด390 แรงม้า ที่ 6,300 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด354 ปอนด์ฟุต ที่ 4,500 รอบต่อนาที ระบบส่งกำลัง เกียร์ธรรมดาห้าจังหวะ ขับหลัง เฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป ช่วงล่างหน้าและหลังแบบดับเบิลวิชโบนไม่สมมาตร คอยล์สปริง โช้คอัพ Telescopic เหล็กกันโคลง เบรก จานพร้อมครีบระบายความร้อน หน้า 309 มิลลิเมตร หลัง 310 มิลลิเมตร ยาง หน้า 8×16 น้ว หลัง 10×16 นิ้ว ล้ออลูมิเนียมอัลลอย ยาง หน้า 225/50 VR16 หลัง 255/50 ZR19น้ำหนัก1,708 กิโลกรัม แรงม้าต่อน้ำหนัก232bhp ต่อตัน 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 ไมล์ต่อชั่วโมง (289.7 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ราคาตอนเปิดตัว62,666 ปอนด์ (1985) ราคาปัจจุบัน90,000 – 175,000 ปอนด์

Share

ใส่ความเห็น