ตามที่เราได้เคยเห็นกันมา Ferrari มีธรรมเนียมอันดีงามในการสรรค์สร้างรถอันยอดเยี่ยมสำหรับใช้วิ่งบนท้องถนนโดยได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งของตัวเอง แต่รถพวกนี้ คือ ตัวจริงของจริง เราจับเอา Challenge 488 กับ GT3 มาเปรียบเทียบกัน
ม้าแข่งจากคอกเดียวกัน
เมื่อพูดถึงกิจกรรมการแข่งขันต่างๆ ในปัจจุบันของ Ferrari ทีม F1 มักจะขโมยซีนไปเกือบทั้งหมด หากจะต้องยกให้สักทีมหนึ่งเป็นรากฐานของการแข่งขัน Formula 1 World Championship ทีม Ferrari ก็จะเป็นที่หมายตาไว้ แต่ในฤดูกาลหลังๆ มานี้โปรแกรมการแข่งขัน Competizione GT ของ Maranello ได้ดำเนินไปอย่างเงียบๆ และมีความสุขกับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และมั่นคงมากขึ้น
นับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา GTB 488 ได้ทำให้เกิดเวทีการแข่งขัน Competizione GT ขึ้น กับพัฒนาการต่างๆ ที่มีหลายประเภทตั้งแต่รถ Challenge ที่ใกล้จะผลิตขายลงแข่งขันในซีรีส์ one-make race ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของ Ferrari เอง จนถึง GT3 488 ที่สร้างให้กับลูกค้าเพื่อเข้าแข่งขันในการแข่งระดับประเทศและระดับสากล ไปจนถึง GTE 488 เข้าแข่งขันกลุ่ม GTE-Pro ในรายการ World Endurance Championship 488 ได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามันสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมได้ดีพอๆ กับที่สามารถแข่งขันได้ดีเลยทีเดียว
คล้ายกับจะขีดเส้นใต้ย้ำจุดนั้น ปีนี้เราได้เห็น Ferrari Challenge UK Series ที่ทำขึ้นสำหรับงานนี้โดยเฉพาะเป็นครั้งแรก โดยเข้าร่วมซีรีส์ Challenge ของยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชียแปซิฟิกซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน ขณะเดียวกัน บนตราชั่งอีกด้านหนึ่งของ Competizione GT 488 GTE ของทีม AF Corse ได้ชนะเลิศกลุ่ม GTE Pro ที่สนาม Le Mans 24 Hours โดยฝีมือการขับของ James Calado, Daniel Serra และ Alessandro Pier Guidi ชัยชนะที่ตามมา 70 ปีหลังจากที่ Ferrari ชนะขาดลอยเป็นครั้งแรกในสนาม Le Mans นั้น เป็นชัยชนะที่หอมหวานมากเป็นพิเศษ
แม้ว่าเราจะขอเป็นนัยๆ แบบชัดเจนไปแล้ว แต่ Ferrari ก็ไม่ยอมปล่อยให้เราสัมผัส GTE 488 อย่างอิสระ แต่กลับให้ข้อเสนอเชิญเราไปลอง Challenge 488 ที่สนาม Brands Hatch กับ GT3 488 ที่สนาม Mugello ในการทดสอบที่ห่างกันเพียง 2-3 สัปดาห์ การได้ขับรถแข่ง Ferrari นั้นเป็นความเร้าใจที่หาได้ยาก ดังนั้นการที่จะได้ขับถึง 2 คันในระยะเวลาติดๆ กันจึงเป็นสิ่งที่พิเศษมากๆ ทำให้เราสามารถนำรถแข่ง 488 ซึ่งใกล้จะผลิตขายในระดับแข่งขันมาเปรียบเทียบกับน้องร่วมสายเลือดของมันที่เป็นเสปก full race ที่สร้างขึ้นโดย Michelotto ได้ด้วย
ปัญหาที่เจอมาตลอดในการแข่งขัน GT รุ่นใหม่ๆ คือ ยิ่งรถได้รับการพัฒนาสูงมากขึ้นเท่าไร และยิ่งรถลงแข่งในระดับที่สูงกว่าเดิมมากขึ้นเท่าไร กลับยิ่งดูเหมือนว่าจะมีข้อจำกัดทางด้านสมรรถนะที่ประดิษฐ์มากขึ้นเท่านั้น ในกรณีของรถ 488 นั่นหมายถึงในบรรดารถทั้ง 2 คันของเรา รถแข่ง GT3 สมรรถนะเต็มรูปแบบที่ถูกทำออกมาได้ไม่ดีอย่างที่คิดด้วยกำลังที่ทำได้ราวๆ 550 แรงม้า ในขณะที่รถ Challenge (ถูกออกแบบมาให้เป็นพื้นฐานรถ one-make race จึงเป็นการแข่งขันกับตัวเองเท่านั้น) มีกำลังสูงสุดที่ 670 แรงม้า น่าแปลกมาก
หากพิจารณาดูแล้วจะพบว่า Challenge ก็มีแรงกดที่เกิดขึ้นกับตัวรถเมื่อมีอากาศมาปะทะ (downforce) น้อยกว่ามาก ยางก็แคบกว่า แถมยังมีระบบช่วงล่างกับเบรกที่ปรับตัวตามสภาพถนน และเห็นได้ชัดว่า แม้ว่ามันจะเป็นลูกน้อยของรถแข่ง 488 ในตระกูล Ferrari แต่มันก็ยังเป็นรถ one-make race ที่มีพละกำลังมากที่สุดคันหนึ่งของโลกด้วย แน่นอนว่ามองภายนอกอาจดูเหมือนรถ Pista ที่ใช้วิ่งบนถนนเพื่อให้ดูโดนใจ แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนมากพอที่จะใส่ลักษณะความเป็นรถแข่งลงไปได้อย่างเหมาะสมลงตัว
ทั้งแอโรไดนามิกและระบบทำความเย็นได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น พร้อมกันชนหน้าแบบใหม่ ลิ้นหน้า (splitter) ที่ยื่นออกมา และแผ่นคาร์นาร์ด (dive plane) ที่งับลมได้ดุดันมากกว่าเดิมเพื่อช่วยบังคับขอบหน้าและให้ความสมดุลย์กับแอโรไดนามิกของขอบหลังแบบใหม่ที่ใช้วิวัฒนาการของปีกหลัง GTE 488 มาใช้ส่ง downforce ปล่องทางเข้ากับช่องลมที่เพิ่มขึ้นมาในจมูกรถ (nose) ปีกด้านข้างกับหางที่ช่วยในการขับอากาศร้อนออกจากหม้อน้ำและนำอากาศเย็นใหม่เข้าไปในเครื่อง V8 twin-turbo อันหิวโหย และดิสก์เบรกผสมคาร์บอนที่ส่องประกายเจิดจ้า
เครื่องยนต์กับเกียร์แทบจะไม่เปลี่ยนแปลง ความกระหายอยากที่จะแข่งขันถูกมุ่งไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างความดันอากาศในท่อร่วมไอดี ตำแหน่งลิ้นปีกผีเสื้อ อุณหภูมิ ฯลฯ (map) ใหม่ของเครื่องยนต์กับอัตราทดเกียร์ที่สั้นกว่าเดิม บวกกับความเปลี่ยนแปลงของระบบจัดการแรงบิดของเกียร์คลัทช์คู่ (twin-clutch gear box) และวิธีการเปลี่ยนเกียร์ และยังมีสวิตช์ Manettino อีก 3 ปุ่ม คือ TC1 ใช้ปรับเวลาที่การบังคับแรงฉุดเกิดติดขัด และ TC2 ช่วยเรื่องของระดับการลดแรงบิดว่าทำได้ดีแค่ไหน และปุ่มที่ 3 เป็นสวิตช์ปรับ ABS
ตามที่เห็นได้จากรถแข่งที่ไม่คุ้นเคยทั่วไป มันมีหลายอย่างที่จะต้องเรียนรู้แต่สภาวะแวดล้อมในห้องโดยสารก็ยังมีพื้นฐานมาจากรถสำหรับใช้วิ่งบนถนน มันจึงไม่น่ากลัวเท่าที่ควรจะเป็น สิ่งที่คงเดิม คือ ความแน่นอนในประสบการณ์การขับขี่ ความราบรื่น ความปราณีตในระบบขับเคลื่อน ความอ่อนโยนในระบบกันสะเทือนทำให้มันศิวิไลซ์ได้อย่างน่าประหลาด สรุปแล้วมันเบานิดๆ และทำให้ไม่รู้สึกแม้แต่น้อย แต่เพราะความเรียบเนียนของ Pirelli ทำให้เกิดความร้อนแรงขึ้นมาบ้างเลยเกิดเป็นสัมผัสอันกลมกล่อมอยู่ในรถคันนี้เป็นกุญแจไขเข้าไปสู่สนามแข่ง ถึงตอนนั้นคุณจะรู้สึกถึงความมั่นใจในตัวเองที่สร้างขึ้นมาจากทุกๆ รอบสนามที่ขับไป ซึ่งตรงกับสิ่งที่คุณต้องการหากคุณไม่ได้เป็นนักขับรถแข่งมืออาชีพ
การปรับ TC และ ABS เป็นเรื่องง่ายและโดยทั่วไปจะเท่ากัน ซึ่งเป็นการบอกว่าถ้าคุณวิ่งโดยตั้งค่า ABS ที่เลข 2 แล้ว คุณจะขับขี่ได้อย่างสบายเท่ากับตั้งค่าไว้ที่ TC เลย และความแตกต่างระหว่างการตั้งค่าต่างๆ นั้นสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนทั้งในด้านความรู้สึกและเวลาต่อรอบสนาม ซึ่งจะลดลงอย่างมั่นคงเมื่อคุณพึ่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์น้อยลงและรับผิดชอบการทรงตัวของรถด้วยตัวเองผ่านการปรับพวงมาลัยอันแม่นยำกับการใช้ลิ้นปีกผีเสื้ออย่างเหมาะสม
มันจะน่าตกใจอยู่หน่อยๆ แต่สุดท้ายแล้วก็จะสนุกสุดๆ ที่ได้ค้นพบว่ารถ Challenge นั้นสามารถวิ่งไปมาได้ดีมากแค่ไหนในสภาวะที่เครื่องยนต์มีกำลังไม่เพียงพอ นอกจากนี้ สิ่งที่คุณจะได้รับมากเกินไปกว่าราคาที่แพงหูฉี่ เห็นได้ชัดว่าคุณจะต้องลองเหยียบคันเร่งดูเองจริงๆ แล้วคุณจะพ่ายแพ้มัน
นี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องดริฟท์ซะทีเดียว แต่มันคือการหมุนพวงมาลัยไปเล็กน้อยด้วยการควบคุมที่ถูกต้องและการเร่งที่สมดุลย์ออกจากโค้ง Graham Hill และ Clearways ซึ่งดูจะเป็นจุดสุดยอดของสนาม
เคล็ดลับ คือ การรักษารถให้อยู่ในเกณฑ์ของสวิตช์ TC เล็กน้อย ดังนั้นยิ่งคุณขี้เกียจบังคับเองมากเท่าไรรถก็ยิ่งวิ่งได้ดีมากขึ้นเท่านั้น ผมเดาว่าคุณคงจะวิ่งไปโดยไม่ใช้มันเมื่อวิ่งด้วยยางเส้นใหม่ในรอบคัดเลือก เวลาดีที่สุดในรอบคัดเลือก (pole time) ที่สนาม Brands Hatch ของ Jason Baker คู่แข่งในการแข่งขันซีรีส์อังกฤษทำเอาไว้ที่ 46.79 วินาที ซึ่งเร็วกว่าอันดับที่ 2 ในบันทึกรอบคัดเลือกของ BTCC ในปัจจุบัน และดีพอๆ กับรถ Porsche Carrera Cup เลยทีเดียว เป็นเรื่องที่น่าประทับใจมากๆ แต่สำหรับผมแล้วความดีงามของ Challenge 488 ยังน้อยกว่าความโดดเด่นในความเร็วดิบของรอบเครื่องยนต์ (raw speed) แต่ก็มากกว่าความจริงข้อที่ว่า ทั้งๆ ที่มันเป็นรถซุปเปอร์คาร์ล้ำสมัยแต่การที่จะใช้มันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพก็ยังคงต้องอาศัยการควบคุมแบบโบราณอยู่ดี
บางที GT3 อาจเป็นสัตว์ที่ไม่ธรรมดามากๆ ก็เป็นได้อย่างไม่น่าแปลกใจ ได้รับการออกแบบและสร้างตั้งแต่ล้อขึ้นมาตามกฎระเบียบข้อบังคับของ GT3 ทุกประการ แม้ว่ามันจะเป็น 488 แต่ก็ไม่ใช่ในแบบที่เจ้าของรถสำหรับขับบนถนนทั่วไปคนไหนๆ จะเข้าใจ ส่วนประกอบแอโรไดนามิกที่ครอบคลุมทำให้ช่วยเพิ่มการยึดเกาะในเชิงกลไกอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ระบบเกียร์อัตราทดแบบอาศัยแรงดันลม (pneumatic shift transmission) 6 สปีดแบบ full race นั้นไม่ได้มีแค่ความแข็งแกร่งไว้เพื่อรองรับการแข่งขัน 24 ชั่วโมงได้เท่านั้น แต่มันยังถูกติดตั้งไว้ในแนวขวางอีกด้วยแทนที่จะเป็นแนวตั้งแบบเดียวกับที่มีในรถสำหรับวิ่งบนถนนทั่วๆ ไปเพื่อพัฒนาการกระจายน้ำหนักและเป็นเหตุให้เกิดการควบคุมที่สมดุลย์ แถมยังช่วยปกป้องตัวรีดอากาศด้านหลัง (rear diffuser) เป็นบริเวณกว้างมากขึ้นด้วย
ห้องโดยสารมีรูปลักษณ์และให้สัมผัสที่ดูเป็นประโยชน์ในการใช้งานได้เข้มมากๆ ซึ่งถูกทำให้เข้มมากขึ้นด้วยความใส่ใจในความปลอดภัยที่มีต่อผู้ขับขี่มากเป็นพิเศษ ตาข่ายช่วยให้แขนของคุณไม่แกว่งออกไปโดยไร้การควบคุม ในขณะที่แผ่นหลังคาที่ถอดออกได้ช่วยให้คุณถอนตัวออกมาได้ทั้งๆ ที่ยังมีสายเข็มขัดคาดติดอยู่กับเบาะนั่ง มีสันแบบที่คิดว่าไม่น่าจะมี คล้ายๆ GT3 ตามรอยกันไป นับตั้งแต่วินาทีที่มอเตอร์เริ่มทำงานคุณจะรู้สึกหมกมุ่นกับรถคันนี้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ต้องขอขอบคุณอย่างยิ่งสำหรับเสียงการทำงานของเครื่องยนต์และเกียร์ที่คำราม บดขยี้ ครางด้วยความหนักแน่นมากพอที่จะเสียดแทงทะลุเปลือกหมวกกันน็อคของคุณได้เลย
ไม่ต้องไปสนใจเสียงกระด้างแล้วคุณจะโล่งอกเมื่อได้รู้ว่า GT3 นั้นทำงานได้อย่างง่ายดายและแน่นอน คลัทช์นิ่มและค่อยๆ ขยับทีละน้อยเมื่อดึงเท้าขึ้น ทันทีที่ถอนเท้าออกและวิ่งไปข้างหน้าแล้วก็ปล่อยมันไว้แบบนั้นได้เลย เพียงดึงปุ่มแบบเดียวกับเวลาที่คุณขับรถ 488 สำหรับวิ่งบนถนนแค่นั้นเอง การเปลี่ยนเกียร์นั้นหนักแน่นดีเยี่ยม ทุกๆ ครั้งที่เปลี่ยนเกียร์ขึ้นหรือลงจะปล่อยเสียงปืนไรเฟิลออกมาทันที นั่นคือลิ้นปีกผีเสื้อหนักแน่นมั่นคงที่อยู่ใต้เท้าของคุณและควบคุมได้สุดยอดมากจนคุณสามารถทำเวลาได้ มันทำให้ Challenge ดูนุ่มนวลไปเลย
ในเรื่องการหน่วงการสั่นสะเทือนจะอ่อนข้อให้น้อยกว่า แต่ก็ยังควบคุมได้อย่างยอดเยี่ยม จึงทำให้รู้สึกว่า 488 ยังแบนราบกว่า Challenge และกระจายน้ำหนักระหว่างมุมทั้ง 4 ได้เท่ากันมากกว่า
Meaden รับฟังสรุปรายละเอียดก่อนทดลองขับก่อนจะลงสนาม Mugello รถ GT3 เป็นรถแข่งที่ผลิตขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์นี้โดยเฉพาะได้อย่างสมบูรณ์ และทำให้รู้สึกว่าแม้กำลังที่ได้จากเครื่องยนต์ V8 จะถูกตรึงไว้ที่ 550 bhp ในขณะที่ Challenge ได้ไปเต็มๆ 670 bhp GT3 ก็ยังไวกว่าอยู่ดี…
“นับตั้งแต่วินาทีที่มอเตอร์เริ่มทำงานคุณจะรู้สึกหมกมุ่นกับรถคันนี้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น”
การใช้ downforce เป็นเรื่องใหญ่ที่ช่วยสร้างความมั่นใจ มันใช้เวลาไปหลายรอบสนามกับการหายใจเข้าลึกๆ อีก 2-3 ครั้งก่อนจะลงไปเผชิญกับการรวมโค้งลงเนินเสี่ยงตายในสนาม Mugello ทั้งโค้ง Casanova โค้ง Savelli และโค้ง Arrabiatas 1 และ 2 เวลาคุณเข้าโค้ง มันจะให้ความรู้สึกมึนๆ นิดหน่อยของแรงยึดเกาะที่เหนือกว่ารถสำหรับวิ่งบนถนนทั่วไปมากๆ ตามมาด้วยความรู้สึกในโลกแห่งความจริงที่สามารถจดจำได้ดีกว่าของจมูกรถที่ดันกว้างออกอย่างนิ่มนวล
หากมองว่ารถสำหรับวิ่งบนถนนของ Ferrari เป็นวัตถุ 4 ล้อที่มีอาการดื้อโค้ง (understeer) น้อยที่สุด (รวมถึงรถ Challenge ด้วย) นี่นับว่าเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย แต่สมดุลย์ที่มีต่อการควบคุมจมูก (ช่องระบายอากาศ) ที่อยู่ด้านหน้ารถ GT3 นั้นถูกปรับแต่งเพื่อให้แม่นยำ มั่นคง และเสถียร เพราะการทำให้ “สุภาพบุรุษ” นักขับ (ผู้เป็นโลหิตขับเคลื่อนในการแข่ง GT3) ที่ไม่ได้เป็นมืออาชีพได้เปรียบตลอดการแข่งขันในช่วงสุดสัปดาห์นั้นย่อมดีกว่าการสร้างรถทีทำให้รู้สึกประหม่าซึ่งวิ่งได้ไวกว่าครึ่งวินาทีแต่ต้องอาศัยวิธีการขับที่มีแต่มือโปรเท่านั้นที่จะเอาอยู่
สิ่งที่ท้าทายที่สุดของ GT3 สำหรับนักขับทั้งหลาย คือ การเบรก เพราะคุณจะดึงเอาศักยภาพของมันออกมาใช้ได้ก็ต่อเมื่อคุณสามารถรวบรวมความกล้าได้มากพอที่จะเบรกเอาวินาทีสุดท้าย และเบรกให้แรงที่สุดเท่าที่คุณจะกล้าเบรก แม้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นคุณคงจะลำบากใจเพราะความกลัวของตัวเอง เพราะในหัวของคุณได้แต่ร้องตะโกนว่า “เบรกได้แล้ว!” ตั้งแต่เนิ่นๆ เร็วเกินไปมาก ถึงตอนที่พบว่าภายในตัวคุณบอกกับตัวเองให้รอก่อนจะถึงจุดที่คิดว่า 488 จะหยุดได้ไปไกลมาก คุณจะรู้สึกว่าขาข้างซ้ายที่อ่อนแรงของคุณมีกล้ามเนื้อไม่เพียงพอที่จะเผชิญกับ GT3 ได้อย่างนุ่มนวล การที่สิ่งนี้ปลดปล่อยความเร็วได้อย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
มันทำให้รู้สึกแปลกแล้วตามด้วยหงุดหงิดนิดหน่อยกับลักษณะการวิ่งในทางตรง อย่างน้อยเมื่อเทียบกับรถ Challenge ซึ่งเป็นรถที่ผมทำความเร็วเกิน 140 mph ไปนิดหน่อยตอนพุ่งตัวระหว่างโค้ง Clearways และโค้ง Paddock Hill Bend ขณะที่ GT3 ปะทะกับกำแพงอากาศที่ต่ำกว่า 170 mph อยู่นิดหน่อย ลงไปตามทางตรงหลักที่ยาวเกือบไม่รู้จบของสนาม Mugello ต้องโทษการปรับสภาพเครื่องยนต์ที่มีขีดจำกัดในเรื่อง “สมดุลย์สมรรถนะ” กับแรงฉุดที่เพิ่มขึ้นจากการสร้าง downforce ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งจำเป็นทั้งสิ้น ที่น่าสนใจคือการได้รู้ว่าทั้งๆ ที่มีแรงอัดความเร็วในทางตรงไม่พอ แต่ GT3 ก็ยังทำเวลาได้เร็วกว่าอยู่ระหว่าง 3-4 วินาทีต่อรอบสนาม Mugello ความคิดของคุณจะชัดเจนขึ้นเมื่อคุณคิดดูดีๆ ว่าเวลาที่ทำได้นั้นได้มาจากโซนที่ต้องเบรกและความเร็วจากการเข้าโค้งทั้งสิ้น
รถทั้ง 2 คันนั้นขับแล้วดูสง่าทั้งคู่ GT3 เป็นเครื่องมือที่แม่นยำไปหมดทุกส่วน ส่วน Challenge ก็เป็นอะไรที่ดุดัน ความรู้สึกพิเศษกว่าเดิม และต้องอาศัยความตั้งใจ การฝึกฝนและความรับผิดชอบในระดับสูงกว่าเดิมด้วย แต่ Challenge ก็ยังทดสอบดูแล้วเป็นธรรมชาติมากกว่าและช่วยเพิ่มทักษะได้ดีกว่า ผมรู้สึกว่ารถ Challenge ขับได้สนุกกว่าแน่นอน แต่ขีดจำกัดที่สูงกว่ากับการที่มีคนอยากได้มากกว่าของรถ GT3 นั้น สุดท้ายได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามันน่าหลงใหลมากกว่า
“ครั้งนี้ไม่ใช่ประสบการณ์การแข่งขันครั้งแรกของผม ผมเคยผ่านการแข่งขันในระดับสมาคมมาก่อนย้อนกลับไปเมื่อตอนต้นช่วงปี 2000 ตอนที่ผมแข่ง Legends [ซีรีส์ one-make เป็นรถคันเล็กที่มีเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์และตัวถังแบบโบราณสร้างขึ้นมาครอบไว้] แต่ผมก็ได้รับอิทธิพลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตอนที่ผมได้ยินเรื่อง Ferrri Challenge ประเทศอังกฤษมันแค่รู้สึกถูกใจตั้งแต่แรก 488 เป็นเครื่องมือที่ดูกึ่งๆ จริงจัง เร็ว แต่ก็ไม่เท่าระดับ GT3 และตารางแข่ง 4 สุดสัปดาห์ก็เหมาะกับผมเพราะผมสามารถจัดการทั้งความรับผิดชอบเรื่องงานและครอบครัวได้อย่างลงตัว
ผมมีรถสะสมทันสมัยอยู่ 2-3 คัน แต่การได้ขับ Challenge 488 อย่างเต็มที่และรวดเร็วเป็นเรื่องที่ข้ามไปอีกระดับสำหรับผมจริงๆ การใช้ข้อมูลของรถและนำมาใช้ควบคุมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและเร็วที่สุดเป็นทักษะที่ผมยังคงต้องเรียนรู้ต่อไป แต่ผมก็มีความสุขกับการแข่งขัน ตารางอันดับการแข่งขันเป็นสิ่งที่มีเกียรติ ผมจึงรู้สึกดีใจที่ได้รวมอยู่บนนั้นด้วย [ถึงตอนนี้ Clarke จบที่อันดับ 2 มาทุกการแข่งขันในฤดูกาลนี้] แต่รู้สึกว่าผมพยายามที่จะเร่งตามติดมากเกินไป! บอกตามตรง ผมเคยคิดว่าการแข่งขันได้เดินผ่านชีวิตผมไปแล้วแต่ความคันมันยังอยู่ รถ Challenge คันนี้เป็นวิธีที่ดีมากที่จะเกาตรงที่คัน!”
Jamie Clarke นักแข่งรถ Ferrari Challenge ในการแข่งขันของประเทศอังกฤษ
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น