ทั้ง Steve McQueen, ศึกระหว่าง Porsche 917 และ Ferrari 512S และการวาดฝีไม้ลายมือที่น่าชื่นชม ทั้งหมดนี้อยู่ใน Sebring 1970
ในวันนี้ ถ้าพูดถึงการแข่ง Sebring 12 Hours จากปี 1970 จะมีคนจำได้อยู่ไม่กี่เรื่อง ไม่ใช่เรื่องที่ Ferrari เป็นผู้ชนะ แต่เป็นเพราะการที่ Porsche ไม่ได้เป็นแชมป์ มันอาจจะมีสองเรื่องปนกัน อย่างแรกคือการแข่งนี้จัดว่าเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของทีม Scuderiaเพราะการชนะมาได้โดยที่ต้องเผชิญอุปสรรคหลายอย่าง และประการที่สองคือคนที่ขับ Porsche เข้าที่สอง เป็นทีมอิสระที่มีคนขับนามว่า Terence Steven McQueen
เพราะนิตยสารของเรา ทำขึ้นมาเพื่อ Ferrari ดังนั้นผมก็จะไม่ขุดเรื่องราวของ McQueen มาพูดมากนัก แต่บอกให้ก็ได้ว่ารถ 908 ของเขาเกือบได้ชนะ Ferrari ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องรถที่ทำให้แพ้ แต่เป็นเพราะคนขับ ซึ่งถ้าได้นักแข่งมืออาชีพตัวจริงอย่าง Peter Revsonทีมพวกเขาก็อาจจะชนะไปแล้วก็ได้
เราจะมาเล่ากันอีกครั้งว่าทำไมรถทั้งสองถึงชนะกันได้แบบหวุดหวิด และอธิบายว่าทำไม การแข่งครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การที่ Ferrari สามารถชนะรถแข่งของ Porsche ที่ขับโดยดาราดัง ที่ทำให้มันเป็นประวัติศาสตร์ ก่อนอื่นเรามาดู 512S ที่มีรูปทรงโค้งสวยถึงออกมาเป็นเช่นนั้น
คำตอบง่ายๆก็คือ พวกเขาไม่มีเวลาทำรถนานอย่างที่คุณคิด ในปี 1968 องค์กรคุมกฎการแข่งที่เรียกว่า CSI ประกาศออกมาว่ารถแข่งคลาสนี้จะต้องใช้เครื่องยนต์ที่มีความจุไม่เกิน 3.0 ลิตร แต่ถ้าอยากใช้เครื่องความจุเยอะกว่านั้น บริษัทรถยนต์ก็ต้องสร้างรถรุ่นนั้นออกมาให้ได้ 25 คัน ซึ่งการประกอบร่างสร้างรถไฮเทคแบบนี้ในยุคนั้นไม่ใช่งานง่าย แต่ Porsche ทำได้ ในปี 1969 พวกเขาสร้าง 917 ออกมา 25 คันตรงตามกฎ ทำให้สามารถใช้เครื่องยนต์ 4.5 ลิตรได้ ถ้า Ferrari อยากจะมีที่ยืนในโลกมอเตอร์สปอร์ตต่อ ก็ต้องหาทางตอบโต้
แต่มันยังมีปัญหาอื่นอีก ยกตัวอย่างเช่นการที่ Ferrari มีทีมแข่ง F1 ที่ต้องคอยดูแลอยู่แล้ว และที่สำคัญคืองบประมาณและกำลังคนก็ไม่พอ แถมยังอยู่ในระหว่างการควบรวมกิจการหลังจากที่ Fiat เข้ามาเป็นเจ้าของ ทำให้โครงการสร้างรถแข่งทั้งหมดถูกแช่แข็งเอาไว้จนกว่า Fiat จะปรับการบริหารองค์กรและทำการควบรวมสำเร็จ กว่าจะประกาศยืนยันเรื่องนี้ก็ปาเข้าไป 21 มิถุนายน 1969 ซึ่งทำให้ Ferrari เหลือเวลาเพียง 6 เดือนในการคิดออกแบบ สร้าง และเอารถบางคันไปขายให้ทีมแข่งอิสระครบทั้ง 25 วันก่อนการแข่งเปิดฤดูกาลกับรายการ Daytona 24 Hours ดังนั้นอย่าหวังว่าพวกเขาจะทำรถออกมาดีกว่า 917 เพราะลำพังแค่สร้างออกมาได้ก็บุญโขแล้ว การตรวจสอบรถก็ทำกันในวันสุดท้ายที่มีเที่ยวบินขนรถไปถึงงาน Daytona เป็นเที่ยวสุดท้าย แล้วพอไปถึงก็พบว่ารถ 8 จาก 25 คันนั้นยังประกอบไม่เสร็จ เจ้าหน้าที่จาก Ferrari ต้องไปอ้อนวอนขอความเห็นใจจากกรรมการของ CSI ด้วยซ้ำ
ด้วยเวลาที่กระชั้นชิด ทำให้ไม่มีเวลาพัฒนาสิ่งต่างๆมากพอ แม้ตัวรถจะใหม่ แต่วิศวกรรมและกลไกต่างๆล้วนเอามาจากรถแข่งที่มีอยู่ โครงสร้างหลักของรถยังเป็นแบบสเปซเฟรมปะด้วยแผ่นอัลลอยซึ่งก็คล้ายกับที่ใช้ในรถ 312P ที่รู้กันอยู่แล้วว่าดีสู้ Porsche 908 เครื่อง 3.0 ลิตรในช่วงปี 1969 ไม่ได้ แต่ขนาดตัวรถกับระยะฐานล้อจะแตกต่างจาก 312P กับรถแข่ง Can-Am ที่คว้าน้ำเหลวอย่าง 612P
เครื่องยนต์ของ 512S ก็ใช้พื้นฐาน V12 จากรถแข่ง Can-Am แต่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกระบอกสูบเล็กกว่า ระยะชักสั้นกว่า ความจุกระบอกสูบลดลงเหลือ 4,994 ซี.ซี. แทนที่จะเป็น 6,222 ซี.ซี. ฝาสูบก็เป็นแบบ 48 วาล์ว สร้างแรงม้าได้ 550 ตัวที่ 8,000 รอบต่อนาทีซึ่งถ้าวัดเป็นอัตราส่วนแรงม้าต่อลิตรแล้วจะเยอะขึ้นกว่าเครื่องของ Can-Am 10% ระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบหัวฉีดกลไกของ Lucusและระบบจุดระเบิด Dinoplexทำโดย Marelliส่งกำลังสู่เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และมีลิมิเต็ดสลิปของ ZF ช่วงล่างก็เป็นแบบปีกนกคู่ที่ปีกบนกับล่างยาวไม่เท่ากันทั้ง 4 ล้อ
ระบบเบรกเป็นของ Girlingผ้าเบรกของ Ferodoและล้อของ Campagnoloด้านหน้ากว้าง 11 นิ้วและล้อหลังกว้าง 16 นิ้ว บอดี้ภายนอกของรถส่วนมากทำมาจากไฟเบอร์กลาส
Ferrari คงรู้ตัวว่าจะต้องมีอุปสรรค เครื่องยนต์ของ 512S อาจดูเหมือนมีแรงม้าต่อลิตรใกล้เคียงกับรถแข่ง Can-AM แต่ถ้าเอาไปเทียบกับ Porsche แล้วก็จะพากันสงสัยว่าทำไมได้แรงม้าแค่นี้ เครื่องยนต์ของ 917 นั้นมีพื้นฐานมาจากเครื่อง 3.0 ลิตร 8 สูบนอนของ 908 ส่วน 917 จะเพิ่มเป็น 12 สูบ มีกำลังมากถึง 580 แรงม้า และเค้นมาจากเครื่องที่ความจุเพียง 4.5 ลิตรซึ่งมีแค่ 2 วาล์วต่อสูบ
นอกจากเรื่องพลังเครื่องยนต์แล้ว ความทันสมัยของรถก็เทียบกันไม่ติด 917 ใช้ทั้งแม็กนีเซียมและไทเทเนียมเป็นส่วนประกอบของตัวถัง ขนาดหัวเกียร์ก็ยังแกะมาจากไม้ Balsa ทำให้รถทั้งคันเบาหวิวแค่ประมาณ 800 กิโลกรัม ในขณะที่ Ferrari หนัก 880 กิโลกรัม ถ้าวัดเป็นอัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักFerrari จะได้ตัวเลข 625 แรงม้าต่อตัน แต่ Porsche จะมากถึง 725 แรงม้าต่อตัน ถ้าไปลงสนามแข่งวัดกันตัวต่อตัว Ferrari แทบไม่มีโอกาสรอด
ในการแข่งที่ Daytona ทีม Ferrari ได้นักแข่งระดับแชมป์จาก Indy 500 อย่าง Mario Andretti ซึ่งโชว์ฝีมือขั้นเซียนจนสามารถพา 512S เข้าสู่ตำแหน่ง Pole Position ในรอบควอลิฟายได้ แต่เนื่องจากช่วงที่จัดควอลิฟายนั้นพื้นสนามแข่งเปียก มันจึงเป็นเรื่องของฝีมือคนขับมากกว่าสมรรถนะของตัวรถ พอเริ่มแข่งจริง รถ 917 ของทีม Gulf ก็แซงขึ้นหน้าเป็นอันดับ 1 และ 2 ตามมาโดย Andretti จากนั้นเมื่อแข่งไปได้แค่ 45 นาที จุดอ่อนของ 512S ก็เผยออกมาเพราะน้ำมันในถัง 120 ลิตรถูกใช้จนเกือบหมด ทำให้ต้องวิ่งเข้าพิทไปเติมน้ำมันในขณะที่ Porsche สามารถวิ่งได้นานเกือบชั่วโมง จนในท้ายสุด Porsche ก็คว้าสองอันดับแรกไปครองส่วนรถของ Andretti วิ่งตามหลังอยู่ถึง 8 รอบสนาม ส่วน 512S อีก 4 คันที่เหลือนั้น ไม่มีคันไหนเข้าเส้นชัยเลย
นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่สวยเท่าไหร่ และในอีก 7 สัปดาห์ก็ต้องเริ่มการแข่งที่ Sebring แล้ว แม้ว่ารายการแข่งนี้จะใช้เวลาแค่ 12 ชั่วโมง แต่การที่พื้นสนามส่วนหนึ่งเป็นรันเวย์สนามบินเก่าทำให้เป็นภาระแก่รถและช่วงล่าง จนบางคนบอกว่าทรมานรถหนักกว่ารายการแข่ง 24 ชั่วโมงเสียอีก Ferrari พยายามแก้ตัว พวกเขาเอารถไปวิ่งทดสอบที่ Monza และปรับแต่งจนได้ตัวถังที่เบาลง ปรับองค์ประกอบด้านอากาศพลศาสตร์ให้ดีขึ้น จูนระบบหัวฉีดให้จ่ายเชื้อเพลิงได้ในระดับที่เหมาะสม เพิ่มพลังและลดอัตราการสิ้นเปลืองไปในคราวเดียวกัน
Andretti เริ่มต้นรายการด้วยการคว้า Pole Position ได้อีกครั้ง แต่คราวนี้ถนนแห้ง จึงพูดได้ว่าทำเวลาชนะ Porsche อย่างขาวสะอาด อย่างไรก็ตาม Ferrari อีกคันที่ขับโดย Jacky Ickxได้ตำแหน่งที่ 4 ส่วนรถของ Nino Vaccarellaและ IgnazioGiuntiได้อันดับที่ 7
หลังจากเริ่มต้นการแข่งจริงไปได้ 1 ชั่วโมง Porsche 917 ดูจะได้แต้มต่อ วิ่งนำในอันดับที่ 1-4 รวด แต่หลังจากนั้น 917 คันหนึ่งเกิดเครื่องยนต์ชำรุด ส่วนอีกคันก็มีอุบัติเหตุ รถอีกคันที่ต้องเข้าพิทเพราะระบบจุดระเบิดมีปัญหา ผ่านไปสามชั่วโมง ดูเหมือนโชคชะตาจะกลับมาเข้าข้าง Ferrari เพราะรถแข่งของพวกเขาขึ้นนำเป็น 3 คันแรกของกลุ่ม
การแข่งเป็นไปอย่างนั้น รถ 917 ของทีม Gulf เจอปัญหาลูกปืนล้อแตกทำให้ต้องเสียเวลาซ่อมไปอีก จนในที่สุดก็เหลือ Porsche คันเดียวที่ยังไม่เป็นอะไร ซึ่งก็คือ 908 ที่ขับโดย McQueen กับ Revsonแต่ตำแหน่งการวิ่งก็ยังอยู่ข้างหลังรถของ Ferrari หลายรอบสนาม
จากนั้นชะตาก็เริ่มพลิกกลับอีกครั้ง รถของ Jacky Ickxเจอปะเก็นฝาสูบรั่วทำให้พลังเครื่องลดลงเหลือแค่ 1 ใน 3 จากนั้นรถของ Vaccarellaก็ยางรั่วและระหว่างพยายามขับกลับพิทก็ทำให้ช่วงล่างชำรุด ดังนั้นก็เลยเหลือรถของ Andretti เพียงคันเดียว เขาวิ่งนำหน้ารถคันหน้าสุดของ Porsche อยู่กว่าสิบรอบสนาม ตามมาโดย 908 ของ McQueen
เมื่อเหลือเวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนจบการแข่งขัน รถของ Andretti ก็เกียร์พัง ยิ่งไปกว่านั้น 917 ของ Siffertที่เข้าไปซ่อมก็กลับออกมาและวิ่งนำรถของ McQueen ทำรอบขึ้นเป็นที่หนึ่งแซงรถของ Ferrari ได้สำเร็จ Porsche จึงวิ่งนำในอันดับ 1 และ 2 ตามมาด้วยรถแข่งของ Alfa Romeo เป็นอันดับที่ 3
เมื่อเหลืออีก 55 นาทีก่อนหมดการแข่งขัน (จำเลขนี้ให้ดีเพราะมีความสำคัญ) Ferrari ก็เรียก 512S ที่แข่งอยู่กลับเข้ามา ซึ่งก็คือรถของ Vaccarellaซึ่งกำลังอยู่อันดับ 4 จากนั้นทางทีมก็ขอให้ Andretti เข้าไปนั่งขับแทน เพราะเหลือวิธีเดียวเท่านั้นที่จะยังพอกำชัยชนะได้ และ Andretti ก็เป็นนักขับที่เก่งกว่า Vaccarella มาก
Andretti กลับออกไปอีกครั้งและไล่แซง Alfa อย่างง่ายดาย แต่รถแข่งของ Porsche ยังอยู่อีกไกล เขาเล่าให้ฟังโดยบอกว่านั่นเป็นการแข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเขา ทั้งยากและลุ้น Andretti ทำเวลาต่อรอบสนามเร็วกว่าปกติตั้ง 4-6 วินาที พยายามไล่ล่า Peter Revsonที่กำลังเหนื่อยล้าจากการขับต่อเนื่องมายาวนาน เขาแซง 908 ได้ในที่สุด แต่ก็เหลือเวลาอีกน้อยกว่าครึ่งชั่วโมง การแข่งก็จะจบลง
เมื่อเหลือเวลาอีกประมาณ 20 นาที 917 ที่วิ่งนำอยู่ก็เกิดปัญหาดุมล้อ และแม้จะซ่อมเร็วแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำให้มันคงอันดับต้นเอาไว้ได้
“หลังจากแข่งมาชั่วโมงหนึ่ง Porsche นำ แต่ผ่านไป 3 ชั่วโมง โชคก็มาเข้าข้าง Ferrari”
512S ของ Vaccarellaซึ่งต่อมาก็ให้ Andretti ไปนั่งขับ ส่วน 917 ของ Rodriguez ก็กำลังถลาบิน และรูปของ Mario ขณะกำลังเตรียมขับในการแข่งครั้งประวัติศาสตร์ของเขา
ในที่สุด Ferrari ก็ขึ้นนำอีกครั้ง แต่เรื่องยังไม่จบ เพราะอย่าลืมว่า Andretti ขับรถพุ่งออกจากพิทตอนที่เหลืออีก 55 นาทีจะจบการแข่งขัน แต่น้ำมันในถังของเขานั้นแม้จะเติมมาเต็มก็ไม่สามารถวิ่งได้นานกว่า 50 นาทีแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงต้องขับรถเข้าพิทอีกรอบระหว่างแข่ง แต่กฎการแข่งกำหนดเอาไว้ว่านักแข่งจะต้องดับเครื่องยนต์ และลงจากรถ Andretti บอกว่าในครั้งนั้น เมื่อเท้าของเขาแตะพื้นปุ๊บ ผู้จัดการทีม Mauro Forghieriก็แทบจะยกตัวเขาแล้วโยนกลับเข้าไปในรถทันที เขากลับเขาการแข่งขันในจังหวะที่ทันพอดีกับที่ 908 ขับโดย Revsonกำลังวิ่งออกจากพิทตามมาติดๆ Andretti ต้องรีบทำเวลามากเสียจนเขาไม่ได้รัดเข็มขัด แต่ความเสี่ยงที่ได้ก็คุ้มเมื่อ Ferrari 512S กลายเป็นผู้ชนะในที่สุด เป็นชัยชนะครั้งแรก และครั้งสุดท้ายใน World Sportscar Championship ของมัน และชนะ 908 อย่างฉิวเฉียดไปแค่ 22 วินาทีเท่านั้น Andretti ยังเล่าให้ฟังว่า “ผมขับแบบเค้นความสามารถสุดๆแล้ว มันเป็นตอนกลางคืนด้วย แล้วต้องขับรถคันที่เป็นของคนอื่น คุณคิดดูว่าผมต้องเสี่ยงตัวเองมากขนาดไหน”
แต่หลังจากการแข่งครั้งนั้น Porsche ก็จัดการแก้ไขปัญหาดุมล้อของ 917 และคว้าชัยชนะได้ในครั้งต่อๆมา แต่ในการแข่งครั้งสุดท้ายที่ Osterreichringทาง Ferrari ได้เผยโฉมรถ 512M ซึ่ง M ก็ย่อมาจาก Modificataเพราะว่ารถคันนี้ถูกโมดิฟายมาอย่างทั่วถึง ปรับปรุงแอโร่ไดนามิกส์ ลดน้ำหนักตัวถังลงเหลือ 812 กิโลกรัม และใช้เครื่องยนต์ที่มีกำลังสูงขึ้นเป็น 616 แรงม้า
Ickxใช้ 512M ทำเวลารอบควอลิฟายได้ที่สองแม้ว่าจะมีปัญหาตอนเติมน้ำมัน เขาแซง 917 ยับ ทำลายสถิติของตัวเอง ที่ทำไว้ก่อนหน้านั้นในรถแข่ง F1 ของ Ferrari แต่ท้ายสุดอัลเทอเนเตอร์ก็เสีย และ 917 ก็แซงเอาคืนและคว้าแชมป์ไปในที่สุด
ดังนั้นก็เหลือแค่ช่วง Season Finale ที่รายการ Rand Nine Hours ที่แอฟริกาใต้ ครั้งนี้โชคดีที่ไม่มีใครเกิดปัญหา จึงเป็นวัดฝีเท้าระหว่างม้าป่าจากอิตาลีกับชตุทการ์ดอย่างถึงพริกถึงขิง 512M ที่ขับโดย Ickxและ Giuntiเจอกับ 917 ที่ขับโดย Jo Siffertและ Kurt Ahrens ผลก็คือ Ferrari ได้ทั้ง Pole Position, ทำเวลารอบสนามเร็วที่สุด, ทำความเร็วบนทางตรงได้สูงที่สุด และยังได้ชัยในสนามนั้นอีกด้วย นี่คือนาทีที่น่าจดจำที่สุดของ 512 โดยแท้
แต่ความดีอกดีใจนั้นไม่อยู่นาน การแข่งที่ Kyalamiแอฟริกาใต้นั้นไม่ใช่รอบ Championship จึงไม่ค่อยมีคนพูดถึงมากนัก และสอง แม้ว่า 512M จะชนะ 917 ได้แล้ว แต่ Enzo Ferrari ก็เลิกสนใจรถแข่งคลาสนี้ เพราะมีกฎใหม่ออกมาในปี 1972 ซึ่งบังคับให้ต้องใช้เครื่องยนต์ขนาด 3.0 ลิตร Enzoจึงรู้ดีว่าถ้าต้องให้ใช้ความจุเท่านี้ก็จะหมดสิทธิ์แข่ง ยิ่งพอได้ข่าวว่า Porsche เตรียมเอาเครื่อง 16 สูบรุ่นใหม่ใส่ในรถแข่งสำหรับปี 1971 เขาก็สั่งยกเลิกการเข้าร่วมแข่ง แล้วเปลี่ยนมันเป็นรถสำหรับกิจกรรมการแข่งเฉพาะลูกค้า Ferrari แทน เอาเวลาส่วนอื่นไปสร้างรถ 3.0 ลิตรคันใหม่แทนที่จะทำต่อจาก 512 เดิม จะว่า Enzoคิดผิดก็คงไม่ถูก เพราะ 312PB เข้าแข่งปี 1972 10 ครั้ง และชนะทั้ง 10 ครั้ง มันกลายเป็นรถแข่งที่ประสบความสำเร็จที่สุด และเป็นรถคลาส Sportscar Racing รุ่นสุดท้ายที่ Ferrari ทำออกมา
Ferrari ต้องสร้าง 512 ให้ครบ 25 คันเพื่อ homologate สำหรับคลาสเครื่อง 5.0 ลิตรใน World Sportscar Championship ปี 1969 พวกเขามีเวลาพัฒนาและสร้างเสร็จใน 6 เดือนเท่านั้น
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น