ซูเปอร์คาร์ปลั๊ก–อิน ไฮบริดโมเดลแรกของ Ferrari มาพร้อมกับสมรรถนะสูงถึง 986 แรงม้า(bhp)
ก้าวข้ามรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ บางสิ่งบางอย่างไปก่อน SF90 Stradale คือซูเปอร์คาร์แบบ PHEV (plug-in hybrid electric vehicle) โมเดลแรกของ Ferrrari ผนวกด้วยความเป็นสปอร์ตคาร์ขับเคลื่อน 4 ล้อที่ถูกสร้างขึ้นบนแพลทฟอร์มใหม่ ‘multi-material’ พร้อมกับระบบเชื่อมต่ออินเตอร์เฟสกับผู้ขับขี่ที่ปรับปรุงใหม่ล่าสุด แต่รายละเอียดสำคัญที่พลาดหรือละเลยไปไม่ได้คือระบบขับเคลื่อนทั้งหมดที่มีพลังงานไฟฟ้าเข้ามามีบทบาทสำคัญ SF90 ได้รับการติดตั้งใช้งานเครื่องยนต์ V8 ที่ทรงพลานุภาพมากที่สุดเท่าที่เคยมีการนำมาใช้ให้พละกำลังแรงม้าสูงสุดถึง 769 แรงม้า(bhp) ซึ่งเมื่อรวมกับพละกำลังที่ถ่ายทอดมาจากมอเตอร์ไฟฟ้าทำให้ได้กำลังแรงม้ารวมสูงสุดเกือบ 1,000 แรงม้า
แน่นอนว่า SF90 Stradale ได้รับการสถาปนาให้เป็นรถถนนที่เร็วที่สุดเท่าที่ Ferrari เคยสร้างสรรค์ขึ้นมาในโลกยานยนต์มีความเหนือระดับกว่า LaFerrari ขึ้นไปอีกก้าวหนึ่งโดยใช้เวลาเพียง 2.5 วินาทีในการทำอัตราเร่งจาก 0 ไปจนถึงระดับความเร็วที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับการประลองความเร็วกับ LeFerrari ใน Fiorano ผลที่ออกมาคือ SF90 Stradale สามารถวิ่งผ่านเส้นชัยโดยทิ้งระยะห่างจาก LaFerrari เป็นระยะทางถึง 64 เมตร(0.7 วินาที) โดยน้ำหนักตัวรถเปล่าที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ LaFerrari ไม่ได้มีผลกระทบกับสมรรถนะที่สูงส่งเป็นพิเศษนี้แต่อย่างใดทั้งนี้ Ferrari ระบุว่า SF90 Stradale มีน้ำหนักตัวรถเปล่าที่ 1,570 กิโลกรัมมากกว่า LaFerrari 300 กิโลกรัมซึ่งเมื่อรวมกับน้ำหนักตัวผู้ขับขี่และน้ำหนักเพิ่มเติมอื่น ๆ แล้วน้ำหนักของ SF90 Stradale น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,700 กิโลกรัม หนึ่งในกุญแจสำคัญที่นำมาซึ่งสมรรถนะที่สูงส่งยอดเยี่ยมเป็นพิเศษนี้คือชุดขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งอยู่ที่ล้อคู่หน้าแต่ละล้อที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของล้อคู่หน้าและยังช่วยให้การบริหารจัดการพละกำลังในการขับเคลื่อนเป็นไปอย่างเหมาะสมสูงสุดอีกด้วย
ดังนั้น SF90 ชื่อที่ถูกนำมาใช้เป็นการเฉลิมฉลองให้กับวาระครบรอบ 90 ปีของทีมแข่ง Scuderia Ferrari เป็นซูเปอร์คาร์พลังงานไฮบริดที่หล่อหลอมรวมเอาความโดดเด่นจาก LaFerrari(พร้อมระบบ KERS), Porsche 918 และ McLaren P1 เข้าไว้ด้วยแต่มีเอกลักษณ์พิเศษที่เป็นความแตกต่างไปจากซูเปอร์คาร์อื่น ๆ เหล่านั้นเพราะนี่คือซูเปอร์คาร์ที่เป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายจริงไม่มีการจำกัดจำนวนการผลิตถึงแม้ว่าจะมีเทคโนโลยี่ใหม่อัดแน่นอยู่เต็มไปหมดแต่คาดว่าราคาค่าตัวของ SF90 Stradale น่าจะอยู่ที่ประมาณ 400,000 ปอนด์เท่านั้นขณะที่ค่าตัวของ LaFerrari โดดขึ้นไปถึง 1 ล้านปอนด์เลยทีเดียว ทั้งนี้ SF90 Stradale ไม่ได้เป็นการพัฒนาขึ้นเพื่อทดแทนโมเดลใดโมเดลหนึ่งและเป็นโมเดลที่ 2 ในพันธะสัญญาของ Ferrari ที่เคยให้ไว้ว่าจะมีโมเดลใหม่ไม่น้อยกว่า 5 โมเดลรุ่นที่จะเผยโฉมให้เห็นภายในปี 2019 นี้
ซึ่งหากพิจารณาจากข้อมูลตัวเลขต่าง ๆ แล้วจะเห็นได้ว่าระบบไฮบริดไดเซชั่นระบบขับเคลื่อนแบบผสมผสานช่วยให้ความสิ้นเปลืองต่าง ๆ รวมถึงค่าไอเสียลดต่ำลงขณะที่สมรรถนะสูงสุดเป็นสิ่งที่ได้มาควบคู่กัน ตัวอย่างเช่นการวางตำแหน่งชุดแบตเตอรี่ขนาดเล็กไว้ด้านหลังเบาะนั่งทำให้การวิ่งใช้งานด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ระยะทางไกลถึง 25 กิโลเมตรและด้วยระบบการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ชุดขับเคลื่อนประสิทธิภาพสูงนี้สามารถให้กำลังแรงม้าได้สูงสุดถึง 986 แรงม้า(bhp) รองรับการใช้งานอย่างเต็มสมรรถนะในทุก ๆ สนามแข่งความเร็วทั่วโลกไม่ยกเว้นแม้แต่สนามแข่งที่มีชื่อเสียงและท้าทายทั้งฝีมือของผู้ขับขี่, สมรรถนะและประสิทธิภาพของรถมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่งอย่าง Nurburgring Nordschleife ด้วยเช่นกัน
ที่ที่ถูกใช้เป็นเวทีเปิดตัว SF90 Stradale เป็นสนามทดสอบความเร็วที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์นี้โดยเฉพาะ สนามทดสอบ Fiorano ที่เป็นของ Ferrari เองและก่อนที่จะได้เห็นตัวรถจริงความตื่นตาตื่นใจบังเกิดขึ้นก่อนเมื่อหัวหน้าทีมออกแบบ Flavio Manzoni ออกมาวาดภาพสเก็ตซ์ของ SF90 Stradale บนกระดาษเปล่าให้เห็นต่อหน้าต่อตาผู้เข้าร่วมงานเปิดตัวกันเลยทีเดียวและเมื่อถึงเวลาของการปรากฏตัวขึ้น SF90 Stradale เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากภาพสเก็ตช์น้อยมาก โดยมิติโดยรวมของตัวรถมีความใกล้เคียงอย่างมากกับ Ferrari 488/F8 โดยข้อมูลตัวเลขบ่งบอกว่าความสูงของ SF90 Stradale ลดต่ำ 20 มม. และมีความยาวมากกว่า 100 มม. แต่มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของตัวรถที่สำคัญคือตำแหน่งของค๊อกพิทที่ขยับไปด้านหน้ามากขึ้นและบั้นท้ายของตัวรถที่ลดระดับต่ำลง
ถึงแม้ว่าตามความเป็นจริง SF90 มีการผสมผสานการใช้เทคโนโลยี่ใหม่ ๆ อย่างมากและเป็นครั้งแรกที่ Ferrari นำมาใช้ด้วยแต่ ‘Project 173’ ที่เป็นชื่อเรียกขานภายในซึ่งเป็นมากกว่าสิ่งที่ว่ากันว่าเป็นการวิวัฒนาการต่อเนื่องของ Ferrari 488 หรือ F8 Tributo มากกว่าจะเป็นดีไซน์ใหม่ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โครงสร้างตัวถังแบบโมโนค๊อกส่วนใหญ่ยังประกอบด้วยอลูมิเนียมแต่มีการเพิ่มเติมด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์โดยเฉพาะในส่วนของห้องโดยสารไปจนถึงแผงกั้นห้องเครื่องยนต์ซึ่งช่วยลดน้ำหนักตัวรถลงได้เล็กน้อยแต่ความสำคัญอยู่ที่ความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
รูปแบบเดียวกัน Ferrari ให้คำอธิบายถึงเครื่องยนต์ V8 แบบ flat-plane-crank ของ SF90 ว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ทั้งหมดโดยปริมาตรความจุกระบอกสูบที่เพิ่มขึ้นเป็น 3,990 ซีซี. เป็นผลมาจากการขยายเส้นผ่าศูนย์กลางของกระบอกสูบให้เพิ่มขึ้นและฝาสูบที่มีการออกแบบใหม่รวมไปถึงการออกแบบห้องเผาไหม้ใหม่และหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ขณะที่ฟลายวีลที่ใช้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่เล็กลงทำให้สามารถติดตั้งลงไปในแชสสีย์ในตำแหน่งที่ต่ำลงกว่าเดิม ซึงเมื่อมองทะลุลงไปหลังฝาครอบเครื่องยนต์ที่ถูกขัดจนเป็นมันเงาแล้วจะเห็นได้ว่าเครื่องยนต์ถูกวางตำแหน่งให้ลงลึกไปกว่าการตำแหน่งเครื่องยนต์ V8 ในรุ่นอื่น ๆ ได้อย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว
สำหรับเรื่องของระบบท่อไอเสีย SF90 ใช้วัสดุผสมนิเกิ้ลอัลลอยในการผลิตส่วนประกอบหลักของระบบนี้ซึ่งช่วยให้ลดน้ำหนักตัวรถลงไปด้วยส่วนหนึ่งอีกทั้งยังช่วยให้เสียงที่ปลดปล่อยออกมาจากปลายท่อไอเสียทั้งสองด้านมีความพิเศษแตกต่างไปจาก Ferrari 488 ซึ่งเครื่องยนต์ V8 ใหม่นี้ให้กำลังแรงม้าสูงสุด 769 แรงม้า(bhp) และแรงบิด 590 ปอนด์–ฟุต(F8 Tributo 710 แรงม้า แรงบิด 570) ประสานการทำงานกับระบบเกียร์แบบคลัทช์คู่ที่เพิ่มเกียร์เดินหน้าเป็น 8 สปีดโดยมีแรงบิดที่สูงขึ้นด้วยจากชุดห้องเกียร์ที่มีน้ำหนักน้อยลง 7 กิโลกรัมซึ่งเป็นผลมาจากการที่ไม่มีเกียร์ถอยหลังเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยโดยปล่อยให้หน้าที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า
ในส่วนของการทำงานในระบบไฮบริดน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น 270 กิโลกรัมเป็นผลมาจากน้ำหนักของมอเตอร์ไฟฟ้า, ตัวควบคุมและแบตเตอรี่ โดย SF90 มีมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่เพลาหน้าทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อแต่ละด้านอย่างเป็นอิสระและมอเตอร์ไฟฟ้าอีกหนึ่งตัวอยู่ระหว่างเครื่องยนต์และห้องเกียร์รวมไปถึงมีเฟืองท้ายไฟฟ้า e-Diff ที่เพลาหลังด้วยซึ่งทั้งหมดทำให้ทีมวิศวกรยานยนต์ของ Ferrari สามารถสร้างผลงานและได้ผลลัพธ์ตามที่พวกเขาต้องการได้ตามที่พวกเขาคาดหวังไว้เช่นเดียวกับการใช้ระบบอีเลคทรอนิคป้องกันการลื่นไถลด้านข้างที่ได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับโหมดการขับขี่ SF90 Stradale มีโหมดการขับขี่ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม 4 โหมดประกอบด้วยโหมด ‘eDrive’ เป็นการขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้าทั้งหมดที่สามารถทำงานตั้งแต่จุดหยุดนิ่งไปจนกว่าจะวิ่งไปได้ 25 กิโลเมตรด้วยความเร็วสูงสุดไม่เกิน 84 กิโลเมตรต่อชั่วโมง, โหมด ‘Hybrid” เป็นโหมดการขับขี่ที่เกิดขึ้นตามความต้องการที่แท้จริงพร้อมไปกับการชาร์จแบตเตอรี่ไปในตัวพร้อมกับการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ โหมด’Performance’ ที่ให้เครื่องยนต์ V8 ทำงานโดยยังคงมีการชาร์จแบตเตอรี่ต่อเนื่องต่อไปพร้อมระบบควบคุมการกระจายแรงบิดขณะอยู่บนทางโค้งและโหมด ‘Qualify’ ที่สามารถเรียกใช้พละกำลัง 986 แรงม้าจากเครื่องยนต์สันดาปภายในได้อย่างเต็มสมรรถนะ
ตามที่ SF90 มีผสมผสานการนำพลังงานจลน์จากการเบรกกลับมาใช้ใหม่จากมอเตอร์ไฟฟ้าร่วมกับระบบไฮโดรลิคทำให้ SF90 มีอีกหนึ่งรูปแบบที่เป็นความใหม่ที่ Ferrari นำมาใช้กับรถถนนเป็นครั้งแรกคือระบบ brake-by-wire โดยในกรณีที่เป็นการเบรกในสถานการณ์ปกติทั่วไปจะส่งการเบรกด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแต่หากเป็นการเบรกอย่างรุนแรงไฮโดรลิคเบรกจะเข้ามามีบทบาทให้แรงเบรกสูงสุดตามต้องการนอกจากนี้ในเรื่องของเบรกยังมีการใช้คาลิปเปอร์เบรกหน้ารุ่นใหม่ของ Brembo ที่มีระบบช่วยระบายความร้อนจากช่องดักอากาศที่อยู่ด้านใต้ชุดไฟหน้า
สำหรับชุดไฟหน้าของ SF90 มีความแตกต่างไปจากรูปแบบ L-shaped ที่ Ferrari ใช้มาอยางต่อเนื่องในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาและชุดไฟหน้าแบบใหม่นี้ทำให้หน้าตาของ SF90 มีความแตกต่างจากโมเดลอื่นๆ ของ Ferrari ที่เห็นได้อย่างชัดเจน สำหรับชุดไฟท้ายให้สัมผัสที่คล้ายกับชุดไฟท้ายของ Corvette และสำหรับ SF90 ยังเป็น Ferrari โมเดลแรกทีมีการใช้ไฟหน้าแบบ matrix LED พร้อมระบบควบคุมการทำงานแบบแอคทีฟอีกด้วย
ใน SF90 เวอร์ชั่นย่อย Assetto Fiorano เป็นเวอร์ชั่นที่ให้บุคลิกแบบสปอร์ตพลังสูงมากขึ้นโดยที่แผงประตูและแผ่นปิดใต้ท้องรถทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ยางติดรถเป็นยาง Michelin Pilot Sport Cup 2 และใช้ไททาเนียมในส่วนของระบบท่อไอเสียทั้งหมดและสปริงโดยสปริงทำงานร่วมกับระบบกันสะเทือน Multimatic ซึ่งระบบนี้เป็นระบบกันสะเทือนที่ใช้อยู่ในรถแข่ง GT นอกจากนี้ยังมีสปอยเลอร์หลังคาร์บอนไฟเบอร์ติดตายตัวที่ช่วยทำให้เกิดแรงดาวน์ฟอร์ซ 390 กิโลกรัมเมื่อระดับความเร็วอยู่ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับเวอร์ชั่นมาตรฐานทางด้านท้ายรถจะมีอุปกรณ์อยู่ชิ้นหนึ่งเป็นสปอยเลอร์ขนาดเล็กที่ Ferrari เรียกว่า shut-off Gurney ทำหน้าที่ควบคุมการไหลของอากาศส่วนบนของตัวถังและเพิ่มแรงดาวน์ฟอร์ซที่เพลาหลังช่วยเพิ่มเสถียรภาพการทรงตัวในทางโค้ง, เมื่อเปลี่ยนช่องทางวิ่งและขณะเบรก
ภายในห้องโดยสารที่เป็นส่วนของผู้ขับขี่มีความแตกต่างด้วยระบบ HMI เวอร์ชั่นใหม่พร้อมกับสวิทซ์เกียร์และสิ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือแป้นสัมผัสเพื่อสั่งการใช้งานระบบต่าง ๆ สำหรับพวงมาลัยมีจะปุ่มสั่งการทำงานไฟเลี้ยว, ใบปัดน้ำฝนและไฟส่องสว่าง โดยที่ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์เป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งบนจอทัชสกรีน แผงหน้าปัด, ระบบนำทางและข้อมูลรถปรากฏให้เห็นอยู่จอดิจิตอลแบบโค้งขนาด 16 นิ้วซึ่งจอนี้หากเครื่องยนต์ไม่หถูกกระตุ้นให้ทำงานหน้าจอจะเป็นสีดำแต่เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ภาพของมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ตรงกลางจอหน้าปัดดิจิตอบจะปรากฎตัวขึ้นนอกเหนือจากนี้นอกเหนือจากนี้ยังมีจอแสดงการชาร์จแบตเตอรี่เพิ่มเติมเข้ามาด้วย ทั้งนี้ชุดสวิทซ์สำหรับเลือกการทำงานของระบบส่งกำลังและระบบ launch control มีพื้นผิวเป็นอลูมิเนียมโดยมีการออกแบบคล้ายกับแป้นเกียร์ของเกียร์ธรรมดาวางตำแหน่งอยู่บนคอนโซลกลาง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า SF90 คือผลงานที่ Ferrari ปรับปรุงพัฒนาจากสิ่งที่ดีแล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอีกโดยเฉพาะในเรื่องของระดับสมรรถนะที่เหนือกว่าค่าตัว 1 ล้านปอนด์ของ LaFerrari เสียอีกอีกทั้งด้วยการผลิตเพื่อจำหน่ายในแบบไม่จำกัดจำนวน แน่นอนว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ ต้องออกอาการหนาว ๆร้อน ๆ ไปตามๆกัน
แล้วสิ่งที่ Ferrari จะก้าวต่อไป? การถือกำเนิดขึ้นของชุดขับเคลื่อน ไฮบริด V8 น่าจะเป็นการเปิดทางให้กับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปใช้กับเครื่องยนต์ขนาดเล็กได้ต่อไปซึ่งอาจจะเป็นการใช้กับเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบชาร์จเพื่อยกระดับสมรรถนะให้อยู่ในระนาบเดียวกับ F8 Tributo แต่ไม่ว่า Ferrari จะก้าวไปทางไหนชุดขับเคลื่อนไฮบริดจะเป็นส่วนหนึ่งของชุดแพ็คเกจการยกระดับสมรรถนะอย่างแน่นอน
Specification
ENGINE V8, 3990 cc. twin-turbo, plus three electric
motors MAX POWER 986bhp: 769bhp @ 7500rpm(V8) plus 217bhp(hybrid system) MAX TORQUE 590lb
-ft @ 6000rpm(V8) TRANSMISSION Eight-speed DCT,
four-wheel drive, eTC, E-DIFF3, SSC SUSPENSION Front:
double wishbones, coil springs, adaptive dampers,
anti-roll bar. Rear: multi-link, coil springs, adaptive
dampers, anti-roll bar BRAKES Carbon-ceramic discs,
398 mm front, 360 mm rear, ABS, EBD with energy
recovery TYRES 255/35 ZR20 front, 315/30 ZR20 rear
WEIGHT 1570kg(dry) POWER TO WEIGHT 637bhp/
ton 0-62MPH 2.5sec (claimed) TOP SPEED 211mph
(claimed) PRICE c£400,000 (TBC)
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น