Son of Enzo | Dino 246 GTS

“Ferrari คันนี้ทำมา 7 ปีแล้วถึงวันนี้ก็ยังไม่เสร็จดี มีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ยังต้องเก็บ ต้องมี Passion มีความอดทน ต้องทำใจว่าการเล่นรถ Classic ต้องมีการลองผิดลองถูกถึงจะได้รถ Classic ที่สมบูรณ์แบบ” คุณ จ๊ะ-วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี เล่าให้ฟังถึง Dino 246 GTS  Ferrari คันสีเหลือง ซึ่งจอดเด่นอยู่กลางโรงรถที่คุณจ๊ะไม่เคยเปิดให้ใครมาถ่ายทำมาก่อน ต้องบอกว่า ENZO เป็นนิตยสารเล่มแรกที่ได้รับเกียรติให้เข้ามาถ่ายทอดความงดงามของรถที่เป็นหนึ่งในยนตกรรมระดับตำนานของ Ferrari ซึ่งผลิตมาตั้งแต่ต้นยุค 70 และมีเพียงแค่คันเดียวในเมืองไทยที่คุณจ๊ะใช้เวลาบูรณะอยู่นาน รวมทั้งยังเป็น Ferrari คันแรกในชีวิตของเขาที่มีส่วนในการสร้างแรงบันดาลใจ

“ตอนที่ผมทราบว่าบริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ ของเรา จะได้เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Ferrari ในเมืองไทย สิ่งแรกที่ผมคิดคือผมต้องหา Ferrari สักคันที่มีความพิเศษ สามารถบอกเล่าที่มาที่ไปของแบรนด์นี้ได้ตั้งแต่แรกเห็น แน่นอนต้องคลาสสิก แต่รุ่นไหนล่ะ? เพราะรถคลาสสิกก็ไม่ได้หาง่าย ๆ ในบ้านเรา”

“โชคดีที่ผมรู้จักกับ คุณ สยาม เศรษฐบุตร ซึ่งเขาอยู่ในแวดวงรถคลาสสิกอยู่แล้ว เขาจึงแนะนำผมให้รู้จักกับคุณเอ็มที่เล่นรถโบราณซึ่งเป็นเจ้าของรถคันนี้ที่นำเข้ามาจากอเมริกา ผมไปนั่งตื้อขอซื้อเขาตั้งแต่เช้ายันเย็น กว่าคุณเอ็มจะยอมตัดใจขาย ผมคิดเอาเองนะครับว่าส่วนหนึ่งที่เขายอมขาย น่าจะเป็นเพราะผมได้เป็นตัวแทนจำหน่าย Ferrari ด้วย เขาก็เลยสบายใจว่ารถได้ไปอยู่กับคนที่มี passion และศักยภาพที่จะบำรุงรักษาได้”

Dino 246 เป็นรถที่ผลิตออกมาช่วงปี 1972 รถรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ Enzo Ferrari ทำขึ้นเพื่อระลึกถึง Dino Ferrari บุตรชายที่เสียชีวิต ในช่วงแรกตัวรถวางเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร V6 ในชื่อ Dino 206 GT ก่อนจะขยายความจุเป็น 2.4 ลิตร ในรุ่น Dino 246 โดยแบ่งเป็นรุ่น GT (คูเป้) และ GTS (สไปเดอร์) ซึ่งสำหรับคันนี้กว่าที่จะออกมามีสภาพใหม่เหมือนรถที่เพิ่งออกจากประตูโรงงานเมือง Maranello นั้นก็ต้องนำไปเข้า Classic Program ของ Ferrari เพื่อให้ได้รับการบำรุงรักษาที่ถูกต้องที่สุดจากผู้ผลิตโดยตรง

“มีคนบอกว่า Dino คือ Grandfather of mid-engine Ferrari เพราะก่อนหน้านี้ Ferrari มีแต่รถเครื่องยนต์ 12 สูบวางหน้า แต่ Dino คือการพลิกกลับมาทำรถที่ใช้เครื่องยนต์วางกลางครั้งแรก” เราถามคุณจ๊ะว่าตั้งแต่ได้รถคันนี้มา เคยนำออกไปขับที่ไหนบ้างไหม เขาอมยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบ

“ถามว่าขับได้ไหม ถึงวันนี้ตัวรถมันก็ไม่ได้ practical ขนาดนั้น อย่างพวงมาลัยก็ไม่มีเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรง เอาไปขับบนถนนวันนี้ก็คงเหนื่อย วันนี้มันไม่ใช่รถที่เอาไว้ขับแล้ว แต่เป็นประติมากรรมที่มีไว้ให้มอง มีไว้ให้ชื่นชมมากกว่า จำได้ว่าผมเคยขับครั้งเดียวตอนเอาไปเปิดตัวศูนย์ฯ คาวาลลิโน”

กับราคาของ Dino 246 GTS ในวันที่ออกจากโรงงานราวหนึ่งหมื่นปอนด์ แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมา 40 ปี ถึงวันนี้มันกลับมีราคาพุ่งแซงหน้าซุปเปอร์คาร์รุ่นใหม่ไปหลายคัน เล่ากันว่าถูกซื้อขายกันในตลาดราว 5-600,000 ปอนด์ และคนที่เป็นเจ้าของรถก็แทบไม่อยากเปิดเผยความเป็นเจ้าของรถรุ่นนี้ให้กับใคร

ความสนใจในแบรนด์ Ferrari ของคุณจ๊ะคงต้องย้อนไปตั้งแต่สมัยเขายังเด็ก ที่เติบโตมากับคุณพ่อและญาติ ๆ ซึ่งชอบรถยนต์รวมทั้งบริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด ก็สนับสนุน กีฬามอเตอร์สปอร์ต มาโดยตลอด

“ตอนเด็ก ๆ เวลาเล่นรถเด็กเล่นเราก็จะชอบรถที่มีสีสัน  ซึ่ง Ferrari ส่วนใหญ่ก็จะมีสีแดง เราก็จะจำและเห็นมาตลอด เวลาอยู่กับคุณพ่อ (คุณ วุฒา ภิรมย์ภักดี)ท่านก็ชอบรถ ชอบการแข่งขันรถ จำไม่ผิดเป็นสมัยที่  Niki Lauda เป็นแชมป์โลกฟอร์มูล่า วัน เขาขับรถให้ทีม Ferrari ในความทรงจำของผม Ferrari จึงเป็นรถสปอร์ตที่แรงและสวย มาถึงสมัยที่ผมจบมัธยมใหม่ๆ  คุณพ่อก็ซื้อ Ferrari มาใช้ส่วนตัวหนึ่งคัน เป็นรุ่น 456 GT สีบรอนต์ แต่ตัวผมเองไม่ได้มองไกลถึงขั้นนั้น เพราะว่ารถราคาสูง เราก็ยังใช้รถสปอร์ตญี่ปุ่นอยู่ แต่ก็มีโอกาสได้ขอคุณพ่อเอารถไปลองวิ่งบ้าง ช่วยดูแลรถให้”

“ครั้งแรกที่ได้ขับก็รู้สึกว่าอลังการดี เคยใช้แต่รถ 4 สูบ ขยับมาเป็น 12 สูบ มันก็แรงมาก รู้สึกภูมิใจที่ได้ขับ แต่คันนี้ก็นั้นยังไม่ได้เป็นสีแดงอย่างที่ใจเราชอบ และ 456 GT ก็เป็นรถที่ดูผู้ใหญ่หน่อย” คุณจ๊ะถ่ายทอดความรู้สึกหลังพวงมาลัยของ Ferrari ครั้งแรกในชีวิตให้เราฟัง

จนมีโอกาสกลับมาทำงาน ได้ร่วมทำธุรกิจกับทางคุณ เฉลิม อยู่วิทยา เปิดบริษัท คาวาลลิโน  มอเตอร์ ในการเป็นผู้ที่นำเข้ารถยนต์ Ferrari จุดนี้เองที่ได้จุดประกายให้กับเขาอีกครั้ง

“ Ferrari เป็นซูเปอร์คาร์ ที่มีเทคโนโลยีซึ่งฉลาดมาก แต่ก่อนเราไม่สามารถเอาเครื่องยนต์ 700 แรงม้ามาวิ่งบนถนนได้ แต่เดี๋ยวนี้สามารถทำได้ ทั้งเซรามิคเบรก แทรกชั่นคอนโทรล แอโรไดนามิค ล้วนเป็นเทคโนโลยีที่มาจากฟอร์มูล่า วัน ที่ Ferrari นำมาใช้ก่อนใคร ๆ พอมาทำ คาวาลลิโน ผมได้ขับ Ferrari ทุกรุ่นที่มีในปัจจุบัน และเลือกที่จะเก็บบางคันที่เราชอบจริง ๆ เอาไว้ด้วย” คุณจ๊ะเอ่ยถึง Ferrari หลายรุ่นที่จอดอยู่ในห้องกระจกอย่างดี

“Ferrari 355 Berlinetta คันนี้เป็นรถร่วมสมัยตอนผมเป็นวัยรุ่นช่วงปี 1996 ตอนนั้นผมยังขับ Honda Prelude ขับ Mazda RX-7 อยู่ แต่เราก็จะเห็นรถรุ่นนี้วิ่งอยู่บนถนน เป็นคันที่สองต่อจาก Dino จุดเด่นคือเป็นเกียร์แมนนวลแบบเซาะร่องรุ่นสุดท้าย ไฟป๊อบอัพ เครื่อง 8 สูบและใช้เทคโนโลยีของ ฟอร์มูล่าวัน ในยุคนั้นด้วย”

“458 Speciale ผมเริ่มธุรกิจ คาวาลลิโน จากการขาย Ferrari รุ่นนี้ และก็ใช้รถรุ่นนี้ลงแข่งขันในสนามด้วย 458 Speciale คันนี้เป็นคันแรกที่นําเข้ามาในเมืองไทย และเป็นรถ Ferrari รุ่นสุดท้ายที่เป็นเครื่องยนต์ NA ซึ่งผมได้รับในวันคล้ายวันเกิด เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2557 ความพิเศษคือเป็นรถที่มีลายธงชาติไทยติดอยู่สำหรับลูกค้าชาวไทย เป็นรถที่พร้อมวิ่งในแทร็ก เครื่องยนต์ V8 พละกำลัง 605 แรงม้า สามารถออกตัว จาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3 วินาที”

ถัดมาอีกคันในโรงรถคือ Ferrari F12 TDF ซึ่งคุณจ๊ะบอกว่าถ้าเป็นแฟนพันธุ์แท้ Ferrari อย่างไรเสีย ก็ต้องอดที่จะมีเครื่องยนต์ V12 สักคันนึงไม่ได้

“ความพิเศษคือคันนี้ไม่ใช่ Ferrari F12 Berlinetta ธรรมดา แต่มีการเพิ่มกำลังเป็น 769 แรงม้า เป็น Track Car มันมีหลายจุดที่เชื่อมโยงกับรุ่น 250 GTO ในอดีต เช่น มีช่องลมด้านข้าง ทรงแบบโรดสเตอร์ที่ด้านหน้ายาว และผลิตแค่ 799 คันทั่วโลกเท่านั้น” คุณจ๊ะอธิบายคุณลักษณะพิเศษของ Ferrari ในโรงรถของเขาทุกคันอย่างแม่นยำ ราวภัณฑารักษ์ผู้เชี่ยวชาญ

สำหรับคนรักรถส่วนใหญ่ การทำตามความฝันคือการหารถในฝันสักคันแล้วขับมันไปบนถนน เราถามว่าแล้วอะไรคือความฝันของคนแบบ วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี ที่แม้วันนี้จะมีการงานมากมายหลายตำแหน่งทั้ง กรรมการ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีทีจี2002 จำกัด และยังเป็น รองประธาน บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัด ที่นำเข้ารถยนต์ Ferrari อีกตำแหน่ง

“ผมว่าผู้ชายทุกคนมี passion ในเรื่องของรถยนต์อยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือโอกาส ถ้าโอกาสมาถึงก็น่าเสียดายถ้าเราไม่ลองคว้าไว้ ผมใช้รถ Ferrari ผมก็อยากมีคนที่ดูแลรถผมอย่างดี แต่ถ้ามันยังไม่มี เราก็ต้องทำมันขึ้นมา ทำในสิ่งที่เรารัก ทำให้ดีที่สุด วันนี้ผมมีโอกาสได้ขับ Ferrari มีโอกาสได้ลงไปแข่งในสนามโดยใช้ Ferrari ได้เคยเป็นแชมป์ประเทศไทย เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อน และผมก็มีความสุขกับมันมาก ๆ ในอนาคตอะไรจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ จากการที่ผมได้ขับรถ Ferrari ในสนามแข่ง ถือว่าเป็นรางวัลชีวิตครับ”

“แล้วถ้านึกถึงคำว่า Enzo ล่ะ คุณจ๊ะนึกถึงอะไร ?” เป็นคำถามจากใจทีมงาน Enzo Magazine ที่ถามตรง ๆ กับคุณจ๊ะ เขานิ่งคิดอยู่สักพักก่อนยิ้มแล้วตอบ

“นอกจากชื่อหนังสือเล่มใหม่ที่เกี่ยวกับเรื่องราวของ Ferrari ในฉบับภาษาไทยที่เราจะได้อ่านกันแล้ว ผมก็นึกถึงรถ Ferrari รุ่น Enzo ด้วย เป็นรถอีกรุ่นที่ในชีวิตผมยังไม่มี ผมอยากมี และคิดว่าจะต้องมีให้ได้ วันนี้ผมมีลูกชาย Dino มาอยู่กับผมแล้ว ทำไมผมจะมีพ่อของเขา Enzo มาอยู่ด้วยกันไม่ได้ล่ะ” คุณจ๊ะตอบพลางเปิดประตูลงไปนั่งในค๊อกพิทของ Dino 246 GTS แล้วเริ่มสตาร์ท เสียงเครื่องยนต์ วี 6 คำรามลั่นราวกับ ‘Son of Enzo’ กำลังกู่เรียกบิดาของเขาให้มาเคียงข้าง…สักวันหนี่ง


บทความ โดย กองบรรณาธิการ
นิตยสาร ENZO ฉบับที่ 1

Share

ใส่ความเห็น