SPECIAL FORCES

จาก 348 GT Competizione จนมาถึง 488 Pista เรานำ 5 เจเนอเรชั่นของ Ferrari ที่ได้แรงบันดาลใจจากสนามแข่งเพื่อผลิตเป็น ‘Special Series’ ขุมกำลังเครื่องยนต์ V8 มาเปรียบเทียบสมรรถนะบนถนนทางตอนเหนือของเวลส์ เรียกว่าเป็นการทดสอบที่คุณคงไม่อาจเรียกร้องความพิเศษอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว?

เรื่องแรกๆ ที่ผมไม่ต้องการได้ยินคือเสียงนาฬิกาปลุกตอน 04.15 . และอีกเรื่องสำหรับวันนี้คงเป็นเสียงฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนัก โดยไม่มีพยากรณ์อากาศล่วงหน้าให้รับรู้มาก่อน หากตัดสินจากท่าทางเจ้าของบ้านพักที่เรามาอาศัย ผมเชื่อว่าหนึ่งในเรื่องที่เธอหงุดหงิดมากๆ คงเป็นเสียงใบพัดของโดรนที่กำลังซ้อมบินอยู่เหนือบรรดาม้าลำพองขุมกำลัง V8 ทั้ง 5 คันในช่วงเวลาตี 5 ที่เสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอของใครเพียงคนเดียวสามารถได้ยินไปทั่วทั้งบ้าน

ขบวนทั้งหมดเคลื่อนตัวอย่างเงียบสงบเพื่อออกจากเมืองเล็กๆ ที่ยังคงหลับใหล ก่อนจะใช้ทางเชื่อมออกสู่ถนนสายหลัก ท่ามกลางความมืดผมอาศัยแสงไฟท้ายทรงกลมทั้ง 4 ดวงที่ส่องแสงแผดเผาเพื่อช่วยนำทาง และนับเป็น 1 ในเอกลักษณ์ของโมเดลกลุ่ม V8 เครื่องยนต์วางกลาง ยกเว้น Ferrari 348 คันที่ผมกำลังขับ แต่อย่าเพิ่งคิดว่ามันเป็นรุ่นปกติทั่วไปจากความพิเศษที่ซ่อนอยู่ภายใน

เสียงคำรามที่อยู่เบื้องหน้าแสดงให้เห็นความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของ Ferrari และความทุ่มเทเพื่อสร้างกลุ่มเครื่องยนต์ V8: 360 Challenge Stradale, 430 Scuderia, 458 Speciale และ 488 Pista แต่ถ้าคิดจะรวบรวมทุก Special Series V8 ที่ถูกผลิตจากมาราเนลโล่ คงจะไม่เพอร์เฟ็กต์หากขาด 348 GT Competizione ที่ผมกำลังนั่งอยู่หลังพวงมาลัยในตอนนี้ รถที่นักสะสมทั่วโลกต้องการมีในคอลเลคชั่น ด้วยจำนวนการผลิตเพียง 50 คัน และคันนี้เป็น 1 ใน 8 คันเท่านั้นที่เป็นพวงมาลัยขวา

นับเป็นความน่าผิดหวังที่ได้ยินเสียงฝนในตอนที่เราตื่นขึ้นมา เพราะทุกคนตั้งความหวังว่าจะพาตัวเองลุกขึ้นจากเตียงเพื่อช็อตพิเศษตอนพระอาทิตย์ขึ้นที่นับเป็นมนตร์วิเศษของธรรมชาติในการสร้างโทนแสงที่มีสมดุลระหว่างความสว่าง และอ่อนโยน เพิ่มความสง่างามให้รูปทรงของรถยนต์ เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปตอนระหว่างทานอาหารเย็น Aston Parrott ช่างภาพของเรานำเสนอไอเดียนี้ขึ้นมา โดยต้องใช้เวลาขับรถประมาณ 1 ชั่วโมงสู่โลเคชั่นที่ต้องการ หมายความว่าเราต้องเริ่มต้นทุกอย่างตอนตี 4 และแทบจะไม่ต้องใช้เวลาตัดสินใจ คนขับทุกคนตอบตกลงในทันที

  ในที่สุดเราทุกคนก็มาอยู่ที่นี่ เส้นทางมุ่งสู่เดนบิกห์ ตอนเหนือของเวลส์ ท่ามกลางแสงสลัวๆ ยามเช้า ท้องถนนที่ไร้เพื่อนร่วมทาง และอย่างน้อยที่สุดฝนหยุดตก มองเห็นท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งอีกครั้ง ยิ่งใกล้สู่จุดหมายเราต้องขับไต่เขาสูงขึ้น และอุณหภูมิที่ลดต่ำลง ทำให้เพียงไม่นานรอบตัวเรามีแต่ภูเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ แสงสว่างจากไฟหน้ารถ และความสุขที่ได้ควบคุมรถที่ดี หลังจากนั้นความมหัศจรรย์ปรากฏขึ้น เพียงไม่กี่กิโลเมตรก่อนถึงจุดหมาย กลุ่มหมอกที่ปกคลุมหายไป มีแสงอาทิตย์ส่องลงมา ท่ามกลางความดีใจของพวกเราทุกคน 

ก่อนอื่นผมขอสารภาพตามตรง: 348 GT Competizione ไม่เคยเป็นรถยนต์ที่ผมใฝ่ฝันจะขับมาก่อน และกลายเป็นความคิดที่โง่เขลาเหลือเกินของผม หลังจากช่วงบ่ายของเมื่อวานนี้ผมขับรถคันนี้บนถนนเลียบชายฝั่ง ท่ามกลางความรู้สึกประทับใจอย่างมาก GTC แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจาก 348 รุ่นปกติทั้งอารมณ์ความรู้สึก และการควบคุม โดยช่วงหนึ่งเป็นทางโค้งลงเขาที่แคบ แต่ผมยังสามารถควบคุม GTC ให้ขับผ่านไปอย่างไม่ยากลำบากเลย

เมื่อพูดถึงชื่อนี้ขึ้นมายังมีความเกี่ยวข้องกับโมเดลที่ใช้แข่งขันในรายการ Ferrari One-make Challenge โดยปี 1993 มีการผลิตรุ่นพิเศษ Competiziones ที่สามารถขับบนถนนปกติ ในช่วงปลายอายุของ 348 ตอนที่รหัส ‘tb’ มีการควบคุมที่ดีขึ้นจนกลายเป็น ‘GTB’ จนกระทั่ง Michelotto พันธมิตรเก่าแก่ของ Ferrari ในการพัฒนารถแข่งได้สร้างรถแข่ง 348 แบบเต็มรูปแบบในชื่อ GT/C LMs โดยทำผลงานคว้าอันดับ 11 ในรายการเลอมังส์ 1994 กลายเป็นรถแข่งค่ายม้าลำพองคันแรกที่จบการแข่งขันรายการ 24 ชั่วโมงที่คลาสสิกนับตั้งแต่ปี 1982

ผมไม่เคยสัมผัส GTC คันจริงมาก่อนจะรับรถคันนี้จาก Paul Hogarth เพื่อมาทำงานครั้งนี้ โดยสัมผัสได้ถึงความดุดันที่แตกต่างจากโมเดลรุ่นปกติ ต้องขอบคุณการเพิ่มเส้น Speedlines บริเวณด้านข้าง และตัวถังที่ถูกขยายให้กว้างขึ้น รวมทั้งเลือกใช้ยาง Pirelli P Zeros ที่เหมือนจะลงตัวกับขนาดของซุ้มล้อมากที่สุด

เมื่อเปิดประตูรถออกมาจะเห็นพื้นผิวบางส่วนของคาร์บอนเคฟล่าร์ที่มีน้ำหนักเบาเหมือนกับที่ใช้ผลิตเบาะนั่งสไตล์แข่งบั๊กเก็ตซีตในรุ่น F40 เช่นเดียวกับชุดกันชนหน้าหลังผลิตจากคาร์บอนเคฟล่าร์  ทำให้ลดน้ำหนักของรถลงเกือบ 200 กิโลกรัม ทำให้น้ำหนักรถเปล่า (Dry Weight) เหลือเพียง 1,180 กิโลกรัม นับเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม และตอนที่เหลือน้ำมันราวครึ่งถังน้ำหนักรวมจะอยู่ที่ 1,380 กิโลกรัม แต่รถรุ่นนี้มีความพิเศษอีกมากมายนอกเหนือจากการลดน้ำหนัก และสิ่งที่เราค้นพบใน GTC คือความงดงามในการขับขี่

เมื่อพาตัวเองเข้ามาอยู่บนเบาะบักเก็ตฝั่งคนขับ หากคุณเคยขับ 348 มาก่อน คงจะมีความรู้สึกคุ้นเคยกับวัสดุ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ในโมเดลรุ่นพิเศษตั้งแต่พรมรองพื้น, ขอบประตู หรือแผงหน้าจอแสดงข้อมูล ยกเว้นพวงมาลัยที่ถูกสั่งทำพิเศษพร้อมสลักหมายเลขลำดับการผลิต ’38/50′ หากเทียบกับรถสปอร์ตที่มีขนาดเล็กเหมือนกัน มีการขยายพื้นที่ด้านข้างให้ต่ำลง ทำให้ตำแหน่งการนั่งของคนขับสูงขึ้น จนรู้สึกเหมือนนั่งอยู่เหนือรถคันนี้จากวิสัยทัศน์ในการขับขี่

จากนั้นผมนำกุญแจที่รูปทรงคล้ายกับ USB เสียบเข้าบริเวณคอพวงมาลัย รอให้เสียงสัญญาณดัง แล้วบิดกุญแจ จากนั้นเสียงเครื่องยนต์ที่ไหลลื่นเหมือนโน้ตเพลงที่อยู่ในโทนเดียวอันคุ้นเคยลอยข้ามหัวไหล่ของคุณเข้ามา โดยเครื่องยนต์ 3.4 ลิตร 8 สูบของ GTC ไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยน พละกำลังสูงสุดยังคงอยู่ที่ 320 แรงม้า ถึงจะมีการใช้ระบบไอเสียใหม่ แต่ไม่ได้สร้างความแตกต่างมากนัก ส่วนที่ทำให้รู้สึกพิเศษอย่างแท้จริงคงจะเป็นก้านเกียร์พร้อมหัวโครเมียมสีเงินวาววับ

ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น GTC ซึ่งถูกแทนที่ด้วย F355 ในปี 1984 นับเป็นรถคันเดียวในกลุ่มทดสอบครั้งนี้ที่เป็นเกียร์ธรรมดา แต่ไม่ส่งผลต่อการขับขี่ใดๆ และกลายเป็นความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจากแรงบิดที่ดุดัน แม้ว่าจะติดตั้งคันเร่งเยื้องมาทางซ้ายกว่าปกติเล็กน้อย อย่างไรก็ตามสิ่งที่ประทับใจในการขับ GTC คือความสงบ และผ่อนคลาย แม้ว่าจะถูกตั้งคำถามถึงการนำระบบช่วยเหลือการขับขี่เข้ามาช่วยเสริมก็ตาม

ในช่วงการวอร์มอัพ เครื่องยนต์ของ Ferrari รุ่นนี้ยืนยันความเป็นอัญมณีเม็ดงาม ตั้งแต่อัตราเร่งในการออกตัวที่ตื่นเต้น และน่าประทับใจ รวมทั้งพละกำลังที่เหมาะสม, ความน่าหลงใหล และความสุดยอดในทุกด้าน จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่สั้นช่วยให้การขับมีความสนุก แต่เรื่องที่ไร้ข้อสงสัยใดๆ คงเป็นระบบส่งกำลังของ 348 ที่ดูเหมือนจะไม่มีความผิดพลาดในล้อข้างใดเลย ถึงจะขับด้วยความเร็วสูงก็ตาม จนแทบไม่มีความเห็นเพื่อปรับปรุงข้อเสียของรถรุ่นนี้

  การควบคุมพวงมาลัยที่ไม่มีระบบช่วยเหลือกลายเป็นสิ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่ทั้งหมดจะถูกมองข้ามหากขับด้วยความเร็วระดับสูง GTC แสดงให้เห็นความยอดเยี่ยมในทุกครั้งที่ต้องเข้าโค้งยากๆ รวมทั้งประสิทธิภาพที่แข็งแกร่งในการเกาะถนน และการตั้งค่าช่วงล่างพิเศษ เพื่อสร้างความรู้สึกผ่อนคลายให้การขับง่ายขึ้น แต่ยังคงดึงสมรรถนะของรถยนต์ออกมาได้อย่างสูงสุดที่ไม่บ่อยนักจะได้สัมผัสกับเครื่องยนต์วางกลาง GTC ไม่เพียงจะเป็น 348 ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยขับมา แต่ผมขอยกให้เป็น 1 ในรถเครื่องยนต์วางกลางที่ดีที่สุดหากเทียบกับรถในยุคเดียวกัน

จากนั้นเมื่อเปลี่ยนมาอยู่หลังพวงมาลัยของ 360 Challenge Stradale ที่มีความยิ่งใหญ่ด้วยหลายๆ เหตุผล อันดับแรกคือไม่มีการเพิ่มเส้นสายด้านข้าง เป็นเหมือน F355 เวอร์ชั่นที่ถูกเพิ่มกำลังเพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 รุ่น และข้อถัดมา Ferrari ปฏิวัติการสร้างโมเดลเครื่องยนต์ V8 ในปี 1999 ด้วยการเปิดตัว 360 Modena โดยเลือกใช้โครงสร้างตัวถัง Aluminium Monocoque รวมทั้งยอมนำผลการทดสอบในอุโมงค์ลมมาช่วยกำหนดรูปทรงของตัวรถมากขึ้นกว่าเดิม

นอกจากนี้ยังมีการผลิตเวอร์ชั่นรถแข่งของ 360 ก่อนจะเปิดตัว Challenge Stradale ในปี 2003 ทำให้มีการใช้ชิ้นส่วนบางอย่างร่วมจากสนามแข่ง โดยส่วนใหญ่จะเป็นวัสดุคาร์บอนที่เป็นแรงบันดาลใจหลัก จนทำให้ Stradale กลายเป็นเหมือนรถที่สั่งทำพิเศษเฉพาะคัน ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของทีมวิศวกร เพื่อสร้างรถยนต์ที่สามารถขับขี่ได้จริงบนถนนที่ดีที่สุด นับว่าผมโชคดีอย่างมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานเปิดตัวโมเดลนี้ แต่ไม่มีโอกาสจะได้ขับจนกระทั่งวันนี้ การนำตัวเองลงมานั่งอยู่บนเบาะที่ออกแบบโดย John Hanlon ช่วยย้ำเตือนถึงความพิเศษ และเข้าใจมากขึ้นว่าพวก Ferrari ต้องใช้ความทุ่มเทมากขนาดไหนกับรถรุ่นนี้

ในด้านสมรรถนะตามแผนการหลักของ Ferrari เครื่องยนต์ 3.6 ลิตรของ 360 Modena เป็นการพัฒนาต่อเนื่องจาก F355 ที่ใช้วาล์วควบคุม 5 ตัวต่อ 1 ลูกสูบสำหรับเครื่องยนต์ V8 พร้อมปรับเพิ่มกำลังจาก 400 แรงม้ากลายเป็น 420 แรงม้า โดยรวมอาจไม่มีความพิเศษกับราคาที่ลดลง 30,000 ปอนด์ แต่ที่ผมค้นพบหลังจากนั้นมีความพิเศษอีกมากมายซ่อนอยู่ ตั้งแต่กล่องเกียร์ที่มีอัตราทดที่รวดเร็วจากระบบคลัตช์เดี่ยวที่ใช้กับรถแข่ง F1 ที่เป็นเกียร์ธรรมดากึ่งอัตโนมัติ พร้อมจานเบรกคาร์บอนเป็น 2 ออปชั่นพิเศษให้เลือกติดตั้งสำหรับเจ้าของรถ Modena 

ในขณะที่ภายในได้รับการตบแต่งอย่างประณีตด้วยโทนสีเงิน, ติดตั้งวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ และหนังอัลคานทาร่า โดยการไม่มีวัสดุอ่อนนุ่มช่วยสร้างอารมณ์แบบรถแข่ง โดย Ferrari ระบุว่าสามารถลดน้ำหนักลงได้ 110 กิโลกรัมจาก 360 กิโลกรัมของน้ำหนักรถที่พร้อมใช้งาน (Kerb Weight, เท่ากับ 1,180 กิโลกรัมสำหรับน้ำหนักรถเปล่าของ 348) ความมุ่งมั่นของพวกเขาทำให้มีเวลาดีกว่า 3.5 วินาที หากเทียบกับสถิติของ 360 ในการขับทดสอบที่สนามฟิออราโน่

360 Challenge Stradale ที่ผลิตจากโรงงาน สามารถเลือกติดแถบลายธงชาติอิตาลีตรงกลางฝากระโปรงหน้า เพิ่มความดึงดูดสายตาด้วยความเป็นออปชั่นพิเศษราคาแพง (3,100 ปอนด์สำหรับผู้ซื้อในสหราชอาณาจักร) โดยมีลูกค้าราว 1 ใน 4 ที่สั่งซื้อรถรุ่นนี้ยอมจ่าย แต่ไม่ใช่สำหรับ Hanlon ด้วยความต้องการอารมณ์ดิบๆ เหมือนพร้อมจะลงขับที่ซิลเวอร์สโตน ตลอดเวลา และเสริมด้วยล้ออัลลอยสีทองที่ไม่ได้ทำให้ตัวถังรถสูงจากมาตรฐานปกติ

Modena อาจมีสมรรถนะการขับที่สุดยอด แต่หากมองอย่างพิจารณาจะเห็นความไม่ลงตัวของยางล้อหน้าที่มีขนาดเล็ก ก่อนจะได้รับการแก้ไขใน Stradale รวมทั้งความสูงระหว่างการขับที่ลดลง, ขนาดหน้ายางที่กว้างขึ้น และความสง่างาม พร้อมล้ออัลลอยที่คล้ายใยแมงมุม การออกแบบด้านหน้าที่ทำให้รู้สึกน่าหลงใหล และหากก้มลงมองบริเวณด้านท้ายจะเห็นระบบช่วงล่างที่ถูกเชื่อมต่ออย่างประณีตซ่อนอยู่

  เมื่อเข้ามานั่งข้างใน Stradale คุณจะสัมผัสถึงความงดงาม เบาะนั่งที่ตัดเย็บด้วยวัสดุหนังอย่างดีให้ความรู้สึกที่พิเศษเมื่อได้สัมผัส และความรู้สึกสบายถึงจะเป็นเบาะบั๊กเก็ตซีต มีความลงตัวจนเหมือนกับว่าถูกผลิตอย่างพิเศษเพื่อคุณโดยเฉพาะ พวงมาลัยมีขนาดใหญ่กระชับมือ มองตรงผ่านไปจะเห็นหน้าจอแสดงข้อมูลขนาดใหญ่ตรงกลางที่แบ่งเป็นสีเหลือง และโซนสีแดงหากลากรอบเครื่องยนต์ไปถึง 8,500 รอบต่อนาที แต่ในการขับจริงสามารถทะลุถึง 10,000 หากชำเลืองสายตาไปที่กระจกมองหลังจะเห็นขุมกำลังเครื่องยนต์ที่ทรงพลังอยู่ภายใต้กระจกใสที่ออกแบบมาพิเศษ

เมื่อกดปุ่มสตาร์ทสีแดงขนาดใหญ่ (หลังจากคุณเสียบกุญแจที่คอพวงมาลัยรถ และบิดไปข้างหน้า) เครื่องยนต์ V8 ของ Stradale กลับคืนชีวิตอีกครั้ง เสียงที่หนักแน่น และความทุ้มมากกว่า 348 ผสมผสานความเยือกเย็นที่พร้อมจะพุ่งทะยาน ทั้งหมดถูกส่งผ่านจากตัวรถมาสู่เบาะนั่ง เพื่อทำให้คุณรับรู้ว่าตัวเองกำลังจะควบคุมขุมกำลัง V8 ที่สามารถทำให้เข็มวัดรอบพุ่งขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

แม้ว่าจะเป็นการขับร่วมกลุ่มของซูเปอร์คาร์ระดับเดียวกัน แต่ยังสามารถสัมผัสถึงความตื่นเต้นเวลาที่ต้องเร่งแซงด้วยชุดเกียร์ F1 โดยส่วนตัวผมมีความสุขกับการเผชิญความท้าทายเพื่อการขับที่ดีที่สุด ท่ามกลางความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมของเสียงรอบเครื่องยนต์อันดุดันในทุกครั้งที่เปลี่ยนเกียร์ขึ้นลง ที่คุณไม่สามารถหาได้จากระบบ DCT ในปัจจุบัน

คุณอาจจะต้องใช้สมาธิในการขับบนเส้นทางที่คดเคี้ยว แต่ด้วยหลักการออกแบบของ Stradale สามารถควบคุมได้อย่างง่ายดายในทุกสถานการณ์ ระบบช่วงล่างที่ยอดเยี่ยม และมั่นใจในทุกการเข้าโค้ง ตั้งแต่เริ่มต้นจนสู่จุดหมาย คุณสามารถสัมผัสได้ถึงประสิทธิภาพการเกาะถนนที่เหนือชั้นของ Pirelli P Zero Corsas โดยอีกความเซอร์ไพรส์นับจาก 458, 488 หรือ Ferrari รุ่นใดก็ตามคือการควบคุมพวงมาลัยที่ผ่อนคลายมากขึ้น และการตอบสนองที่ยอดเยี่ยม เป็นคาแร็กเตอร์ที่คุณสามารถปรับตัวให้คุ้นเคยอย่างรวดเร็ว ด้วยระยะทางการขับเพียงไม่กี่กิโลเมตร เพราะทุกอย่างเหมือนถูกจัดวางอย่างเหมาะสมมาล่วงหน้า

เมื่อลองเพิ่มความเร็วของรถระหว่างเข้าโค้ง สายตาจับจ้องตำแหน่งที่ถูกต้อง Stradale สามารถทะยานเข้าสู่จุดตัดโค้งอย่างแม่นยำ มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมด้วยรายละเอียดในการตอบสนองที่คุณต้องเป็นคนขับเท่านั้นถึงจะเข้าใจ ด้วยสมรรถนะมากมายที่ซ่อนอยู่ และสามารถนำคุณข้ามผ่านขีดจำกัดที่ไม่เคยทำได้ แต่คงไม่ใช่บนถนนเส้นนี้

หลังจากประสบการณ์ขับที่ฟิออราโน่ เมื่อหลายปีก่อนทำให้รับรู้ความเยือกเย็น และการควบคุม หากเข้าโค้งด้วยความเร็วที่เกินกำหนด เพื่อกลับมาสู่การขับที่ถูกต้อง, ความเชื่อมั่น และความสนุก สิ่งเดียวที่ทำให้เสียสมาธิคงเป็นเสียงคำรามจากเครื่องยนต์ V8 เข้ามาสู่ค็อกพิตที่ช่วยเพิ่มอารมณ์เร่าร้อนในการขับของคุณมากยิ่งขึ้น

  คุณจะไล่ตามรถคันนี้ได้อย่างไร? สุดท้ายมี Stradale จำนวน 1,288 คันเท่านั้นที่ถูกผลิตออกมา ก่อนที่ Ferrari จะเปิดตัว 360 Modena ออกมาเป็นตัวแทน ด้วยการเปลี่ยนแบบใหม่หมด เครื่องยนต์ 32-Valve V8 ที่ทรงพลังมากกว่า และที่ยอดเยี่ยมมากไปกว่านั้น F430 ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 4.3 ลิตร 483 แรงม้า ทำให้คาดว่าโมเดลต่อไปของ Special Series จะต้องทรงพลังมากขึ้นกว่านี้หลายเท่า

  F430 พัฒนาโดยอาศัยพื้นฐานจาก 360 แต่มีการเพิ่มเทคโนโลยีใหม่เข้ามามากมาย และ Michael Schumacher ยอดนักขับชาวเยอรมันของทีมแข่งฟอร์มูล่า วัน Ferrari เข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ให้คำแนะนำการพัฒนารถรุ่นนี้ ก่อนจะกลายเป็นรถ Ferrari รุ่นแรกที่ติดตั้ง Manettino โหมดปรับรูปแบบการขับขี่ตามสถานการณ์ รวมทั้งเปิดโอกาสให้คนขับสามารถตั้งค่าระบบควบคุมอย่างที่ต้องการ โดยองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้สามารถนำเสนอระบบนี้มาจากการที่ Ferrari ติดตั้งระบบขับเคลื่อน E-Diff (Electronic Limited-slip Differential) เป็นครั้งแรก ด้วยกลไกลควบคุมอิเล็กทรอนิกเพื่อเชื่อมต่อการทำงานของระบบช่วงล่าง, อัตราเร่ง, จังหวะเปลี่ยนเกียร์ และระบบควบคุมการเกาะถนน/ควบคุมการลื่นไถล โดยถูกนำมาใช้เพื่อโปรโมตให้เห็นประสิทธิภาพที่แตกต่าง

สำหรับ 430 Scuderia ที่เผยโฉมครั้งแรกในปี 2007 ด้วยกำลัง 503 แรงม้า ถึงจะเป็นตัวเลขมหาศาลแต่เพิ่มจาก F430 รุ่นปกติเพียงแค่ 20 แรงม้าเท่านั้น ยิ่งหากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ความดุดันลดลงอย่างมากจาก Stradale ถึงจะพยายามนำเสนอการพัฒนาที่สามารถกำจัดน้ำหนักส่วนเกินออกไป 100 กิโลกรัม เพื่อการันตีอัตราเร่งที่ยอดเยี่ยม โดยการขับที่ฟิออราโน่ Scuderia ทำเวลาต่อรอบได้ดีที่สุด 1 นาที 25 วินาที เท่ากับ Enzo ด้วยการเบรกในตำแหน่งที่ลึกกว่าเวลาเข้าโค้ง และอาศัยประสิทธิภาพอัตราเร่งที่รวดเร็ว ผสานการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกันระหว่างระบบ E-Diff และระบบควบคุมการทรงตัว ทั้งหมดที่คนขับต้องทำคือกดคันเร่งลงไปให้สุด จนทำให้ Marc Gene นักขับทดสอบของทีมฟอร์มูล่า วัน Ferrari ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือใช้เวลาขับเพียงไม่กี่รอบเท่านั้นเพื่อทำเวลาต่อรอบที่ดีที่สุด

ชื่อของ Scuderia อาจฟังดูเหมือนรถที่ต้องดึงทักษะการขับทั้งหมดที่มีอยู่ออกมา องค์ประกอบทุกอย่างถูกสร้างมาเพื่อความเร็วสูงสุดไม่ว่าใครจะนั่งอยู่หลังพวงมาลัยก็ตาม หากคิดแบบนั้นคงจะเป็นสิ่งที่ผิดพลาดจากความตั้งใจของ Schumacher, Gené และทีมวิศวกร Ferrari เพราะถึงจะเป็นรถที่มีสมรรถนะสูงเหนือขีดจำกัดทั่วไป แต่คุณไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถพิเศษเพื่อรับรู้ถึงความสนุกของ Scuderia ในความเป็นจริงหลักฐานยืนยันความยอดเยี่ยมของระบบช่วงล่างอยู่ที่พวงมาลัย ด้วยการที่เป็นรถยนต์ Ferrari รุ่นแรกที่ติดตั้งปุ่มปรับระดับโช๊คอัพ ตามความต้องการของ Schumacher

  ทำให้เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมเมื่อเข้ามาอยู่ในรถของ Ian Humphris ด้วยความที่ไม่มีอารมณ์ดิบๆ แบบรถแข่งเหมือนกับ Stradale ถึงวัสดุภายในห้องโดยสารส่วนใหญ่จะเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ และอลูมินั่มก็ตาม บางทีอาจเป็นเพราะแผ่นป้ายเหล็กที่ทำให้มีความลงตัวเป็นการผสมผสานรูปแบบของตัวรถกับวัสดุ เช่นเดียวกับเบาะนั่งของ Scuderia รองรับสรีระร่างกายได้ดีเหมือนกับ Stradale แม้ว่าผ้าที่ใช้วิธีการแบบ 3D ในการตัดเย็บเพื่อติดตั้งบริเวณคอนโซลกลางจะมีความรู้สึกเหมือนผ้าใบที่คุณสามารถเจอในรองเท้าวิ่งก็ตาม

บิดกุญแจ, กดปุ่มสตาร์ท และบึ้ม! – เสียงเครื่องยนต์ V8 ที่เป็นเอกลักษณ์เข้ามาสู่ที่นั่ง คุณสามารถสัมผัสความสั่นไหวจากใต้ท้องรถเหมือนกับ Stradale แต่ขุมกำลังเจเนอเรชั่นใหม่ ‘F136’ 8 สูบ มีความสมดุล และหนักแน่น ถึงจะเหมือนกับว่าคุณอยู่ใกล้ลำโพงเวลาดูคอนเสิร์ต แต่ครั้งนี้ระดับเสียงขึ้นอยู่กับอัตราเร่ง หากคุณอยากได้ความเร้าใจเพียงกดคันเร่งลงไปให้มากกว่าเดิมเท่านั้น

  ความรู้สึกในการขับ Scuderia เหมือนมีพลังงานที่คุกกรุ่นพร้อมที่จะระเบิดออกมาตลอดเวลา รอบเครื่องยนต์ที่พร้อมจะตอบสนองขุมกำลัง V8 และจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วแม่นยำ ด้วยการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้งานร่วมกับกล่องเกียร์ธรรมดาแบบ Single-Plate ที่ติดตั้งลงในโมเดลนี้หรือที่รู้จักในชื่อ F1 SuperFast2 โดยมีความรวดเร็วในการสั่งงานเพื่อเปลี่ยนเกียร์ในเวลาเพียง 0.06 วินาที จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วไม่ใช่สิ่งเดียวที่น่าประทับใจ แต่เป็นความใส่ใจในทุกรายละเอียด ทำให้ความเร็วประสานเป็นหนึ่งเดียวกับอัตราเร่ง โดยคุณแทบไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้รับในสิ่งที่ตัวเองคาดหวังกับซูเปอร์คาร์คันนี้

เช่นเดียวกับระบบอากาศพลศาสตร์ของ Scuderia ถึงจะเต็มไปด้วยระบบอิเล็กทรอนิกเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ แต่จะเข้ามาแทรกแซงการควบคุมของผู้ขับขี่น้อยมาก เพราะหัวใจสำคัญของ Scuderia คือความสวยงามในการขับขี่ พวงมาลัยที่ให้ความรู้สึกของการตอบสนองที่ยอดเยี่ยมกว่า Stradale ถึงจะไม่ได้คมกริบ แต่สำหรับผมทุกอย่างเป็นไปตามใจต้องการ

ในด้านการขับอาจจะมีความแข็งกระด้าง แต่คุณไม่ได้ขับบนถนนที่มีสภาพย่ำแย่จนต้องใช้ช่วงล่างที่อ่อนนุ่ม ในส่วนความประทับใจโดยรวมตัวรถอาจจะมีความกว้างน้อยกว่า Stradale แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสมรรถนะในการเข้าโค้งในทุกองศา เช่นเดียวกับประสิทธิภาพในการเกาะถนนที่ยอดเยี่ยมอย่างไร้ที่ติดถึงจะขับด้วยความเร็วสูง และหากคุณปล่อยให้เครื่องยนต์ครอบงำความคิด รถคันนี้สามารถทำความเร็วที่สูงเกินกว่าจะคาดเดา แต่โครงสร้างตัวถังก็ยังสามารถรองรับทุกความท้าทาย

ในวันที่อากาศอบอุ่น สภาพถนนที่แห้งสนิท Scuderia เป็นรถที่มีการทรงตัว และความแม่นยำในการควบคุมที่น่ามหัศจรรย์ แม้ว่าจะมีอายุมากถึง 12 ปีแล้วก็ตาม แต่ไม่ได้มีความรู้สึกตกยุคใดๆ โดยเฉพาะด้านเทคนิค และถึงจะไม่มีระบบอิเล็กทรอนิกใดๆ เข้ามาแทรกแซง ไม่ใช่เรื่องยากที่จะมีความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม, สมดุลที่เพอร์เฟ็กต์ และการตอบสนองที่ดี รวมถึงประสิทธิภาพในการเกาะถนน และป้องกันการลื่นไถลเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง เหนืออื่นใดคุณสามารถรู้สึกถึงความเป็นศูนย์กลางที่สามารถสั่งทุกอย่างที่ต้องการกับรถยนต์คันนี้ ช่างน่าตื่นเต้นจริงๆ

จนทำให้คุณสงสัยว่าทำไมตัวเองจะต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีก เป็นอีกครั้งที่ Ferrari ต้องการนำเสนออารมณ์แบบดั้งเดิมด้วยกำลังเกือบ 600 แรงม้าของเครื่องยนต์ V8 ที่สามารถรีดกำลังสูงสุดที่ 9,000 รอบต่อนาที หลายคนคงจะให้ความสนใจ ถูกต้องไหม? แต่คุณคงต้องเลือกเพราะอีกความพิเศษที่ถูกเผยโฉมในปี 2013 และในตอนนี้เรารู้ว่าแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะผลิตรถแบบนี้ขึ้นมาอีกครั้ง

การมาถึงของ 458 Italia ยกระดับมาตรฐานของทุกอย่างให้สูงขึ้น นำเสนอเครื่องยนต์แบบ Direct Injection 4.5 ลิตร ที่ได้รับการพัฒนาจากเครื่องยนต์ F430 โดยถูกเพิ่มพลังเป็น 562 แรงม้า โดย Speciale ทำให้ทุกอย่างไปไกลยิ่งขึ้นด้วยการติดตั้งเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมาย รวมทั้งการเพิ่มอัตราส่วนกำลังอัดเครื่องยนต์ (Compression Ratio) จาก 12.5 เพิ่มเป็น 14:1 ด้วยการเปลี่ยนชิ้นส่วนวาล์ว, ลูกสูบใหม่ที่ได้รับการออกแบบใหม่ และระบบอัดอากาศ (การพัฒนาระบบเหล่านี้ช่วยลดน้ำหนักรถลง 8 กิโลกรัม) ทำให้พลังเพิ่มขึ้นอีก 45 แรงม้า กลายเป็น 597 แรงม้า โดยเครื่องยนต์ V8 รุ่นนี้สร้างกำลังสูงสุด -133 แรงม้าต่อลิตรนับว่าทรงพลังที่สุดในบรรดาเครื่องยนต์ที่ผลิตเพื่อขายจริง

หากเทียบกับ Porsche GT3 RS ที่ใช้เครื่องยนต์แบบสูบนอน V6 มีรอบเครื่องยนต์สูงสุด 9,000 รอบต่อนาที แต่ในการขับจริงอย่างมากที่สุดแค่ 7,000 รอบต่อนาทีคือมากที่สุดในการสร้างความตื่นเต้น แต่ไม่ใช่สำหรับขุมกำลัง V8 Speciale สามารถเร่งจนเข้าใกล้เส้นสีแดงได้มากกว่าเดิม มันช่างบ้าคลั่งเหลือเกิน เป็นประสบการณ์ที่สร้างความตื่นเต้นขนลุก และอาจทำให้คุณหลงใหล หลังจากมีการเปลี่ยนระบบเกียร์มาใช้แบบคลัตช์คู่ที่รองรับการใช้งานหนักมากขึ้น F1 DCT จนทำให้แทบจะไม่รู้สึกในจังหวะเปลี่ยนเกียร์ ถึงจะลากไปถึง 9,000 รอบต่อนาทีก็ตาม

ระบบอิเล็กทรอนิกของ 458 เป็นการพัฒนาต่อจาก F430 ด้วยการเพิ่มเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมายที่ทำให้การควบคุมรถง่ายมากขึ้น โดยเฉพาะในการสถานการณ์พิเศษ ทั้งระบบควบคุมช่วงล่างไฟฟ้า, การตอบสนองที่ว่องไวมากขึ้นของ E-Diff และระบบควบคุมการลื่นไถล พร้อมระบบล่าสุด SSC (Side Slip Control) เพื่อช่วยรักษาสมดุลของรถยนต์หากคุณกล้าที่จะบิดสวิตช์ปุ่ม Manettino ไปสู่โหมด ‘Race’ หรือ ‘CT Off’

ในตอนแรกคุณคงคิดว่าตัวเองไม่มีทางทำสิ่งนี้บนถนน 458 มีอัตราการตอบสนองของพวงมาลัยที่ดีมากขึ้นราว 3 เท่าหากเทียบกับ F430 และคุณคงไม่คาดคิดว่าการควบคุมที่แม่นยำ และเครื่องยนต์ที่มีพละกำลังที่น่าเหลือเชื่อจะหิวกระหายรอบที่สูงจนทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้าหลังจากขับไปได้เพียงไม่กี่กิโลเมตร แต่คุณจะใช้เวลาไม่นานเพื่อปรับตัวกับสไตล์ของพวงมาลัย และความน่าเหลือเชื่อ สัมผัสถึงแรงอัดของอากาศภายในเครื่องยนต์ที่คุณสามารถควบคุมด้วยเท้าขวาเพียงข้างเดียว

ครั้งสุดท้ายที่ผมโชคดีได้ขับ Speciale ของ Mike Woods ต้องเจอฝนตกตลอดทั้ง 2 วัน ในรายการแข่งขัน Michelin Cup 2s ที่จัดขึ้นพิเศษเพื่อวัดสมรรถนะของการขับในสนาม และประสิทธิภาพในระยะยาวของรถ เหมือนกำลังขับบนถนนสายรองของเวลส์ที่มีน้ำเจิ่งนอง ทำให้ได้รับรู้ความยอดเยี่ยมของ Speciale ในการขับบนพื้นผิวถนนที่เต็มไปด้วยโคลน ผมลองปิดระบบช่วยเหลือทั้งหมด และค้นพบว่าทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม ในวันนี้ผมทำแบบเดียวกันบนสภาพถนนที่แห้งสนิท วิธีการเข้าโค้ง, เทคนิคในการควบคุมพวงมาลัย และการตอบสนองที่ผมรู้สึกจากพลังของยางคู่หลังไร้ข้อผิดพลาดรวมทั้งความน่าหลงใหลของเสียงรอบเครื่องยนต์ก่อนจะเข้าสู่จุดตัดโค้ง

จากประสบการณ์ของผม ผู้ร่วมทางไม่สามารถคุ้นเคยกับสไตล์การขับแบบนี้เท่าไรนัก ความรู้สึกที่เหมือนมีแรงกดดันมาจากข้างหลังเบาะนั่งตลอดเวลา หรือการถูกบีบด้วยแรง G Force, การได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่คำรามอย่างต่อเนื่อง และความตื่นเต้นจากการควบคุมพวงมาลัย ทั้งที่จากตำแหน่งคนขับ Speciale ไม่ได้สร้างบรรยากาศที่น่าหวาดหวั่นใดๆ และแทบจะไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ เมื่อระบบเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมตอบสนองได้เป็นอย่างดี จนทำให้คุณสัมผัสประสบการณ์เหนือจริงในการควบคุมเครื่องยนต์ V8 600 แรงม้าที่สามารถกดคันเร่งไปที่ 9,000 รอบต่อนาที ทำให้จุดหนึ่งผมครุ่นคิดกับตัวเองว่าจะเป็นอย่างไรหากเพิ่มแรงบิดในช่วงกลางให้สูงขึ้นกว่านี้

คำตอบบางส่วนถูกนำมาอยู่ใน 488 Pista การที่เลือกใช้คำว่าบางส่วนเพราะการพัฒนาเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ 3.9 ลิตร V8 จากรุ่นปกติของ 488 ไม่ได้เพิ่มแรงบิดในช่วงกลางมากเท่าไรนัก แต่ช่วยเพิ่มน้ำหนักบรรทุกเท่านั้น หากเทียบกับ Speciale จะมีแรงบิดที่ 400 ปอนด์ฟุตที่ 6,000 รอบต่อนาที ในขณะที่ Pista สามารถสร้างแรงบิด 568 ปอนด์ฟุตที่ 3,000 รอบต่อนาที เรียกว่าเพิ่มขึ้นมาราว 50 เปอร์เซ็นต์จากครึ่งหนึ่งของรอบเครื่องยนต์ที่รถรุ่นนี้สามารถรองรับ

คุณอาจจะคิดว่าเรื่องนี้ทำให้มีความเปลี่ยนแปลงในพื้นฐานการขับ Pista หากเทียบกับโมเดลรุ่นก่อนหน้า แต่ไม่ใช่เลย ผมโชคดีมากพอที่ได้ขับ Pista มาแล้ว 2-3 ครั้ง และผมก็รู้สึกชอบรถรุ่นนี้มากขึ้นในทุกครั้งที่ได้ขับ ความเป็น Special Series ช่วยเพิ่มคุณค่า ไม่เพียงน้ำหนักรวมที่เบาขึ้น 100 กิโลกรัมหากเทียบกับ 488 GTB แต่รวมถึงความรู้สึกเมื่อได้สัมผัสพื้นถนน ระบบช่วงล่างของ Pista น่าประทับใจเหมือนรถถูกเซ็ตมาเพื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง และประสิทธิภาพการเกาะถนนที่ยอดเยี่ยมหากคุณเข้าถูกไลน์

คุณอาจจะคาดหวังแรงบิดที่พร้อมจะตอบสนองเพื่อสร้างบางสิ่งที่แตกต่างในตอนทะยานออกจากโค้ง และมันก็เป็นอย่างที่คุณต้องการจริงๆ ต้องยอมรับว่าสำหรับเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ Pista มีอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ยอดเยี่ยม ทำให้การเข้าโค้งเป็นไปอย่างสวยงามหรือหากคุณปรับสวิตช์ Manettino เพื่อเติมพลังให้ล้อหลัง ระบบช่วยเหลือทุกอย่างพร้อมสนับสนุน ถึงจะเป็นแรงบิดระดับที่สูงมากก็ตาม ทุกอย่างยังคงอยู่ในการควบคุม ถึงบางครั้งจะไม่ได้พร้อมตอบสนองอย่างที่คุณคาดหวัง

ถึงอย่างนั้น Pista ยังเป็นรถที่มีความเร็วระดับปรากฏการณ์ ด้วยกำลังสูงสุด 710 แรงม้าที่ 8,000 รอบต่อนาที แต่ยังมีบางอย่างขาดหายหากมองจากการที่ถูกสร้างต่อจาก Speciale ที่มีเสียงเครื่องยนต์อันน่าตื่นเต้น ขุมกำลังเทอร์โบชาร์จของ Pista ในตอนสตาร์ทเหมือนสูญเสียบางสิ่งไป และอีกข้อคงจะเป็นการตอบสนองของอัตราเร่ง แม้ว่าจะยังคงความยอดเยี่ยม แต่หลังจากได้ขับ Speciale และ Scuderia คุณจะรู้สึกได้ว่าต้องรออยู่อึดใจนึงกว่าจะได้รับในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

ในข้อที่ 3 คงจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างการตอบสนองของอัตราเร่งที่อาจจะรองรับการขับที่หลากหลายมากขึ้น แต่อย่างที่เราพูดถึงก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่เลวร้ายในการแข่งขัน Michelin Pilot Sport Cup 2s การขับ Speciale ได้สัมผัสในสิ่งที่เหนือความคาดหวัง เช่นเดียวกับ  488 GTB ที่มีแรงบิดเท่ากับ Pista มีความแตกต่างเพียงแค่ยางที่ใช้เป็น Michelins หรือ Pirellis แต่คุณต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการขับ Pista บนถนนที่มีน้ำขัง หรือในสภาพอากาศหนาวในการแข่งขัน Cup 2s เพราะการส่งกำลังสู่ล้อหลังอาจจะไม่ได้แม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้ว่าจะเปิดระบบควบคุมการทรงตัวอยู่ก็ตาม

ในสภาพถนนที่เหมาะสม Pista สามารถพุ่งทะยานด้วยความเร็วอย่างที่คุณต้องการ และทำให้คุณรู้สึกคุ้นเคยมากขึ้น สัมผัสถึงความท้าทาย และความสนุกที่ไม่ได้แตกต่างจากซูเปอร์คาร์รุ่นอื่นๆ ถึงจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการสร้างความเชื่อมั่น และเข้าใจการตอบสนองของเครื่องยนต์ ก่อนจะสัมผัสความตื่นเต้นยิ่งขึ้นเมื่อลองปรับโหมดการขับขี่ เหมือนได้สัมผัสอารมณ์การขับ F40 ในยุคปัจจุบัน

เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเลือกเพียงหนึ่งเดียวจากทั้ง 5 คันนี้? บางทีอาจจะไม่มีทาง ในหลายๆ ด้าน Challenge Stradale เหนือกว่ารถในกลุ่มที่นำมาทดสอบครั้งนี้ ทั้งการนำเสนอดีไซน์ และชุดแต่งที่มีความสปอร์ต การเลือกใช้โครงสร้างอลูมิเนียม, เบาะแบบผ้าที่ตัดเย็บอย่างดี, สายเข็มขัดนิรภัยแบบนักแข่ง และกระจกข้างสไลด์ของ Lexan – จนทำให้รู้สึกเหมือนคุณนำรถแข่งออกมาขับบนถนนปกติ ไม่มีรถรุ่นใดสามารถทำได้แบบนี้ จนทำให้ชื่อนี้คงอยู่ตลอดไป

Speciale อาจจะก้าวเดินตามแนวทางเดียวกันหรืออย่างน้อยที่สุดในฐานะรถยนต์ Ferrari ที่ใช้ขุมกำลัง V8 แบบดั้งเดิม ท่ามกลางเสียงชื่นชมที่คุ้นเคย แต่คำอธิบายที่เหมาะสมคงจะเป็นเสียงที่ดุดันของเครื่องยนต์ในรอบสูงระดับ 9,000 รอบต่อนาที และยังคงเป็นซูเปอร์คาร์ที่เหมาะกับการเริ่มต้น ด้วยการควบคุมที่ลงตัว และโครงสร้างตัวถังที่เหนือระดับ นับเป็นรถยนต์ที่ใช้งานได้อย่างอัศจรรย์จนคู่ควรกับสถานะของความเป็นตำนาน

  ในส่วนของ 348 Competizione อาจจะมีกำลังน้อยกว่าเกินครึ่งหากเทียบกับโมเดลรุ่นหลังๆ แต่ยังคงมีเซอร์ไพรส์ที่พิเศษซ่อนอยู่ พวงมาลัยที่ไม่มีระบบช่วยเหลือใดๆ, เกียร์ธรรมดา, ไร้ระบบควบคุมการทรงตัวหรือป้องกันการลื่นไถลเป็นอารมณ์ความรู้สึกในการขับที่สามารถสัมผัสถึง และเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าของคุณ ด้วยความสามารถในการขับบนเส้นทางที่ยากลำบาก ด้วยประสิทธิภาพการควบคุมที่แม่นยำ จนน่าเสียที่ถูกประเมินค่าต่ำมาโดยตลอด

ความจริงสำหรับ Pista – ที่มีกำลัง 710 แรงม้า, เทอร์โบคู่, เครื่องยนต์วางกลาง และซูเปอร์คาร์ขับเคลื่อนล้อหลังสามารถขับโดยตัดระบบช่วยเหลือทั้งหมด, การสัมผัสขีดจำกัดของรถยนต์, แสดงให้เห็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ Ferrari แต่มีการตอบสนองของอัตราเร่งที่ยอดเยี่ยม และมอบประสบการณ์ที่แตกต่างจากโมเดลกลุ่ม Special Series คันอื่นๆ

สำหรับผม Scuderia เป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจ ไม่ล้ำสมัยเกินไปเหมือน 458 หรือ 488 และมีการเปลี่ยนเกียร์ที่ไม่ได้ไหลลื่นจนเกินไป แต่ไม่ได้รู้สึกเหมือนขับรถยุคโบราณ ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ สำหรับเรื่องนี้ เป็นรถที่มีความเร็วสูงขับได้เร็วเท่าที่คุณต้องการและระบบการทรงตัวที่ยอดเยี่ยมไม่แตกต่างจากรถคันอื่นที่นำมาร่วมกลุ่มทดสอบในครั้งนี้ กลายเป็นรถที่ถูกประเมินค่าต่ำเกิน อาจจะไม่ใช่ระยะเวลาที่ยาวนาน ผมขอทำนายด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

สุดท้ายต้องขอขอบคุณ Paul Hogarth, John Hanlon, Ian Humphris และ Mike Woods สำหรับการเปิดโอกาสให้เราสนุกกับบรรดารถยนต์ที่น่าประทับใจของพวกเขา รวมถึง Russell Smith จากบริษัท Bob Houghton Ltd.

**สเป็กรถ**

348 GT Competizione

เครื่องยนต์ V8, 3404cc

กำลังสูงสุด 320 แรงม้า @ 7200 รอบต่อนาที 

แรงบิดสูงสุด 239 ปอนด์ฟุต @ 5000 รอบต่อนาที

ระบบเกียร์ ธรรมดา 5 จังหวะ, ขับเคลื่อนล้อหลัง, Limited-slip Differential

ระบบช่วงล่างหน้า/หลัง Double Wishbones, Coil Springs, Telescopic Dampers, Anti-roll Bar

ระบบพวงมาลัย Rack and Pinion Unassisted

ระบบเบรก Vented Discs 300mm (หน้า), 305mm (หลัง) ABS

ขนาดล้อ 8 x 18 (หน้า), 10 x 18 (หลัง)

ขนาดยาง 225/40 ZR18 (หน้า), 265/40 ZR18 (หลัง)

น้ำหนักรถเปล่า 1180 กิโลกรัม

กำลังต่อน้ำหนัก 275 แรงม้า/ตัน (น้ำหนักรถเปล่า)

อัตราเร่ง 0-62 ไมล์/ชม.  5.0 วินาที (โดยประมาณ)

ความเร็วสูงสุด 175 ไมล์/ชม. (โดยประมาณ)

ราคาตอนเปิดตัว 84,875 ปอนด์

มูลค่าในปัจจุบัน มากกว่า 150,000 ปอนด์

———————————————————-

360 Challenge Stradale

เครื่องยนต์  V8, 3586cc

กำลังสูงสุด 420 แรงม้า @ 8500 รอบต่อนาที

แรงบิดสูงสุด  275 ปอนด์ฟุต @ 4750 รอบต่อนาที

ระบบเกียร์ ธรรมดากึ่งอัตโนมัติ 6 สปีด, ขับเคลื่อนล้อหลัง, Limited-slip Differential

ระบบช่วงล่างหน้า/หลัง Double Wishbones, Coil Springs, Adaptive Dampers, Anti-roll bar

ระบบพวงมาลัย Rack-and-pinion, Hydraulically Assisted

ระบบเบรก Vented Carbon-ceramic Discs, 380 มม. (หน้า), 350 มม. (หลัง), ABS

ขนาดล้อ 9 x 19 (หน้า), 13 x 19 (หลัง)

ขนาดยาง 225/35 ZR19 (หน้า), 285/35 ZR19 (หลัง)

น้ำหนักรถเปล่า 1280 กิโลกรัม

กำลังต่อน้ำหนัก 333 แรงม้า/ตัน

อัตราเร่ง 0-62 ไมล์/ชม. 4.1 วินาที (ข้อมูลภายใน

ความเร็วสูงสุด 186 ไมล์/ชม. (ข้อมูลภายใน)

ราคาตอนเปิดตัว 133,025 ปอนด์

———————————————————

430 Scuderia 

เครื่องยนต์ V8, 4308cc, 32 valves

กำลังสูงสุด 503 แรงม้า @ 8500 รอบต่อนาที

แรงบิดสูงสุด 347 ปอนด์ฟุต @ 5250 รอบต่อนาที

ระบบเกียร์ อัตโนมัติกึ่งธรรมดา 6 จังหวะ, ขับเคลื่อนล้อหลัง, E-diff, F1-Trac

ระบบช่วงล่างหน้า/หลัง Double Wishbones, Coil springs, Adaptive dampers, Anti-roll Bar

ระบบพวงมาลัย Rack-and-pinion, Hydraulically Assisted

ระบบเบรก Vented carbon-ceramic Discs 398 มม. (หน้า), 305 มม. (หลัง), ABS, EBD

ขนาดล้อ 7.5 x 19 (หน้า), 10 x 19 (หลัง)

ขนาดยาง 235/35 ZR19 (หน้า), 285/35 ZR19 (หลัง)

น้ำหนักรถเปล่า 1350 กิโลกรัม

กำลังต่อน้ำหนัก 378 แรงม้า/ตัน

อัตราเร่ง 0-62 ไมล์/ชม. 3.6 วินาที

ความเร็วสูงสุด 198 ไมล์/ชม.

ราคาตอนเปิดตัว 172,605 ปอนด์

มูลค่าในปัจจุบัน 130,000-200,000 ปอนด์ 

——————————————————

458 Speciale

เครื่องยนต์ V8, 4497cc

กำลังสูงสุด 597 แรงม้า @ 9000 รอบต่อนาที

แรงบิดสูงสุด 398 ปอนด์ฟุต @ 6000 รอบต่อนาที

ระบบเกียร์ Dual-clutch Transmission 7 สปีด, ขับเคลื่อนล้อหลัง, E-diff, SSC

ระบบช่วงล่างหน้า Double Wishbones, Coil Springs, Adaptive Dampers, Anti-roll Bar/หลัง Multi-link, Coil Springs, Adaptive Dampers, Anti-roll bar

ระบบพวงมาลัย Rack-and-pinion, Hydraulically Assisted

ระบบเบรก Carbon-ceramic Dscs, 398 มม. (หน้า), 360 มม. (หลัง), ABS, EBD

ขนาดล้อ 9 x 20 (หน้า), 11 x 20 (หลัง)

ขนาดยาง 245/35 ZR20 (หน้า), 305/30 ZR20 (หลัง)

น้ำหนักรถเปล่า 1395 กิโลกรัม

กำลังต่อน้ำหนัก 435 แรงม้า/ตัน

อัตราเร่ง 0-62 ไมล์/ชม. 3.0 วินาที (ข้อมูลภายใน)

ความเร็วสูงสุด 202 ไมล์/ชม. (ข้อมูลภายใน)

ราคาตอนเปิดตัว 208,000 ปอนด์

มูลค่าในปัจจุบัน 240,000-350,000 ปอนด์

—————————————————–

488 Pista

เครื่องยนต์ V8, 3902cc, Twin-turbo

กำลังสูงสุด 710 แรงม้า @ 8000 รอบต่อนาที

แรงบิดสูงสุด 568 ปอนด์ฟุต @ 3000 รอบต่อนาที

ระบบเกียร์ DCT 7 จังหวะ, ขับเคลื่อนล้อหลัง, E-Diff3, F1-trac, SSC

ระบบช่วงล่างหน้า Double Wishbones, Coil Springs, Adaptive Dampers, Anti-roll Bar/ หลัง Multi-link, Coil Springs, Adaptive Dampers, Anti-roll bar

ระบบพวงมาลัย Rack and pinion, Hydraulically Assisted

ระบบเบรก Carbon-ceramic Discs, 398 มม. (หน้า), 360 มม. (หลัง), ABS

ขนาดล้อ 9 x 20 (หน้า), 11 x 20 (หลัง

ขนาดยาง 245/35 ZR20 (หน้า), 305/30 ZR20 (หลัง)

น้ำหนักรถเปล่า 1385 กิโลกรัม (พร้อมออปชั่นไลต์เวต)

กำลังต่อน้ำหนัก 521 แรงม้า/ตัน

อัตราเร่ง 0-62 ไมล์/ชม. 2.85 วินาที (ข้อมูลภายใน)

ความเร็วสูงสุด 211 ไมล์/ชม. (ข้อมูลภายใน

ราคาตอนเปิดตัว 252,765 ปอนด์ 

มูลค่าในปัจจุบัน มากกว่า 350,000 ปอนด์ 

Share

ใส่ความเห็น