Super Fast on Super “First”

812 Superfast กับการสืบสกุลตำนาน Super-GT(Super Grand Turismoหรือ Grand Touring) ในยุค 60’s เชิญปลุกวิญญาณบรรพบุรุษกับตัวล้ำค่าสุดถวิลหาอย่าง 500 Superfast กันเถิด

500 Superfast เป็น Haute Couture Ferrari ซึ่งโอ๊ต กู ตูเป็นคำเรียกขานสไตล์ฝรั่งเศสที่เป็นเจ้าแห่งแฟชั่น ในการอ้างอิงถึงแฟชั่นชั้นเลิศในการการออกแบบเส้นสายที่เป็นเสน่ห์อันร้อนแรงที่ชวนหลงไหลจากผู้ครอบครอง Ferrari กระเป๋าหนัก รสนิยมถึงทั่วโลก ย้อนกลับไปช่วงกลางยุค 60’s ผู้ที่ครอบครองเจ้า 500 Superfast นั้นต่างก็มีดีกรีเป็น Celebrity ระดับโลก อาทิ จักรพรรดิ์ชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาลาวี แห่งอิหร่าน (ที่ครอบครองถึง 2 คัน), Peter Sellers นักแสดงชื่อดังชาวอังกฤษ, Aga Khan ราชวงศ์ชั้นสูง และ ผู้มีอำนาจทางธุรกิจใหญ่, Prince Bernhard เจ้าชายแห่งเนเธอร์แลนด์ เป็นต้น ย้อนไปสมัยที่ 500 Superfast เพิ่งคลอด ได้ถูกขนานนามว่าเป็นโรงแรมห้าดาวเคลื่อนที่หรือม้าลำพองสายศักดินาซึ่งเป็นการยืนยันความเลอค่าและหรูหราของมันได้เป็นอย่างดี

คงไม่ใช่แค่เรื่องบอกเล่าแน่ จากโบรชัวร์เก่าแก่ในช่วงปี 1965-1966 ซึ่งผลิตขึ้นโดย Maranello Concessionare ที่เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถ Ferrari เจ้าเก่าแก่ในประเทศอังกฤษ เจ้า 500 Superfast โชว์โฉมอยู่หน้าหลังสุดซึ่งย่อมรู้กันว่าหลังสุดคือ Hi-light มีจำนวน 6 หน้าแบบกระดาษพับ ในขณะนั้น คุณจะรู้สึกมีความสุขอย่างวิเศษหากได้ครอบครองโบรชัวร์แม้เพียง 1 ใน 4 รุ่น พร้อมรูปที่ถูกตีพิมพ์บนกระดาษขาวดำด้าน รูปแบบง่าย โดยมีแสดงทั้งหมด 4 รุ่น คือ 275 GT Spyder, 275 GT Berlinetta, 330 GT 2+2 เคียงข้างด้วย 500 Superfast.

อย่างไรก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่โชคไม่ช่วย เพราะในโบรชัวร์นั้นไม่มีข้อมูลอันใดเลย ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของตัวรถและราคาของ 500 Superfast ??? ไม่เป็นไร ที่แน่ ในตอนนี้ มีผู้สันทัดกรณีในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Ferrari ได้ตีราคาของมันไว้ว่าสามารถซื้อ R-R (โรลสรอยซ์) ได้ถึง 2 คัน และซื้อเจ้าหนูน้อย BMC (British Motor Company)Mini Cooper (ซึ่งเป็นรถMini Classic ที่ผลิตจากประเทศอังกฤษช่วงปี 1959-2000ไม่ใช่ BMW Mini นะขอรับ) ได้ถึง 2 โหล !!! ตอนนี้ ค่าตัวของ Superfast คุณต้องคุ้ยคลังสมบัติจ่ายมากกว่า R-R Phantom Coupeที่ราคาเฉียด 350,000 ปอนด์ ถึง 2 คัน และราคาจะถูกอัพขึ้นไปอย่างน้อย 2 ล้านปอนด์ !!! ซึ่งเป็นรถ Ferrari ที่ค่าตัวสูงสุดในประวัติการณ์ ด้วยยอดการผลิตเพียงแค่ 37 คัน ทั่วโลก แน่นอนว่า มันจึงเป็นอภิมหา Super Rare & Super Value ไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเป็นรุ่นที่ผลิตออกมาจำนวนน้อย (Low-Volume model) รุ่นสุดท้ายที่ออกมาจาก Maranello ซึ่งทุกคันล้วนมีคุณค่าและดั้งเดิม ซึ่งหาเพิ่มไม่ได้อีกแล้ว

คุณอาจจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อได้ตรวจตราความเรียบร้อยอย่างละเอียด มันอาจจะดูเก่าไปตามวัย แต่สิ่งที่พบ คือ มันเป็นรถที่มีตำหนิหรือข้อผิดพลาดในการผลิตต่ำมากแต่ดั้งเดิม ไม่ต้องทำใหม่เพื่อกลบข้อผิดพลาดดั้งเดิมแต่อย่างใด นับว่าเป็นความโดดเด่นของรถในยุคครึ่งศตวรรษก่อนที่ได้คุณภาพสูงเช่นนี้ ได้เวลาเปิดฝากระโปรงขึ้นมา จะพบกับเจ้ากรองอากาศที่ถูกเคลือบฉ่ำเงาบาง ด้วยน้ำมันกันสนิมโชว์โฉมอยู่ เมื่อเปิดประตูบานงามเข้าสู่ห้องโดยสาร จะพบกับความหรูหราแบบที่ไม่คิดว่าจะเป็น Ferrari ที่เน้นสไตล์ดิบเถื่อน หนังหุ้มภายในสีแดงฉ่ำ รอต้อนรับคุณอยู่ เบาะคนขับแม้จะมีซีดบาง บ้าง แต่มันก็ถือว่าเป็นร่องรอยแห่งกาลเวลาที่ไม่สามารถสร้างเลียนแบบได้ ซึ่งเป็นสภาพอันดั้งเดิมยอดเยี่ยมที่ยังคงอยู่โดยไม่มีการซ่อมปรับปรุงใหม่เหมือนรถคลาสสิกทั่วไป

คุณอาจจะคิดว่าไม่น่าเชื่อในความละเอียดของชิ้นงานต่าง เว้นแต่ว่าคุณจะได้เห็นด้วยตาและสร้างความคุ้นเคยกับเจ้า 500 Superfast เสียก่อน แม้ว่าจะเห็นเพียงเงา ก็ไม่สามารถบดบังประกายรัศมีความน่าปลื้มของมันได้ ทรวดทรงหมอบพร้อมรบอันงดงาม พร้อมกับกระจกบานหลังที่โค้งโอบมารอบด้านจรดส่วนของด้านท้าย ที่มีการหยักลอนพร้อมกับส่วนโค้งที่คล้อยต่ำลาดลงมาอย่างลงตัวก่อนจะตัดมุมท้าย ที่ Ferrari เรียกว่า Kamm Tail ที่นิยมใช้กับรถสมรรถนะสูงยุคคลาสสิก ที่ได้รับความชื่นชอบดั่งบั้นท้ายดินระเบิดของสาวเซ็กซี่ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหมือนชิ้นงานประติมากรรมของรถที่เร็วทะลุโลกทั้งหลายในกาลก่อน รับกับด้านหน้าเป็นทรงลาดปราดเปรียว (Slender Nose) พร้อมกระจังหน้ารูปวงรีที่มีขนาดพอเหมาะ มองแล้วรู้ซึ้งถึงพลังที่แฝงแน่นอยู่ด้านใน ด้วยมนต์เสน่ห์ของมัน ไม่สงสัยเลยที่ผู้ครอบครอง Superfast ต่างปฏิเสธไม่ลง ด้วยอัตลักษณ์แห่งพลัง ความพรั่งพร้อม เป็นดั่งแม่เหล็กที่พร้อมดึงดูดใจโดยไม่ต้องเอ่ยคำพูดใด

แต่สิ่งที่ Superfast เป็นอยู่แน่นอนก็คือ ความทรงพลัง เจ้าของจะต้องนั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับ ที่เห็นเรือนไมล์ที่มีตัวเลขกำกับสูงสุดถึง 180 ไมล์/ชม. หรือเฉียด 290 กม./ชม. ซึ่งพลังม้าลำพองถึง 394 ตัว จากขุมพลัง 5 ลิตร V12 ลงขยี้บดยางหลัง ที่สามารถสวิงเข็มไมล์ไปด้านขวาที่ 174 ไมล์/ชม. หรือราว 280 กม./ชม. ได้ยากไม่ยากเย็น ย้อนกลับไปในปี 1964 ที่ Superfast เปิดตัวครั้งแรก เป็นที่กล่าวขานถึงความโคตรเร็ว ขนาดที่ว่าสอยเสือผู้ดี” Jaguar E-Type เจ้าของตำนานทรงหนำเลี้ยบที่มีอิทธิพลสูงในยุคนั้นทั้งด้านความงามและความเร็ว ด้วยความเร็วสูงสุดของ Superfast ที่เหนือกว่าถึง 20 ไมล์/ชม. (E-Type ทำได้แถว 150 ไมล์/ชม.หรือ 240 กม./ชม.) ซึ่งแม้คุณจะยอมจ่ายแพงกว่ารถสปอร์ตทั่วไปอยู่มาก แต่คุณจะได้หลายสิ่งอย่างเหนือคำว่าธรรมดาอย่างมหาศาลที่คุณจะได้จาก 500 Superfast (ที่ต้องสั่งออเดอร์รถล่วงหน้าก่อน) รวมถึงเครื่องยนต์ V12 สุดเร็วแรงที่เป็นเอกลักษณ์สุดยอดของรุ่นนี้

พูดถึงเครื่องแล้วก็ต้องเล่าต่อกันหน่อย มันเป็นเครื่องลูกผสมระหว่าง V12 Long Block (หมายถึงบล็อกที่สูงสำหรับใส่กับข้อเหวี่ยงช่วงชักยาว) ในปี 1950 ที่ออกแบบโดย Aurelio Lampredriที่มีขนาดกระบอกสูบใหญ่ถึง 108 มม. !!! ผสมผสานกับฝาสูบจากเครื่อง V12 Short Block (บล็อกเตี้ย สำหรับใส่ข้อเหวี่ยงช่วงชักสั้น)ของ Gioacchino Colombo ซึ่งตัวของ Colomboเอง ก็ดีไซน์ฝาสูบเผื่อไว้ให้ขยับขยายใส่กับบล็อกนั่นโน่นนี่ เครื่องตัวนี้มีความจุถึง 4,962 ซีซี. หรือตามตัวเลข “500” (ซึ่งหมายถึง 5 ลิตร) ที่ปรากฏในรุ่น Superfast (Ferrari ที่เดาใจยากจริง รุ่นก่อน ก็ใช้ตัวเลขรุ่นรถตามความจุต่อหนึ่งสูบเท่านั้น) บนฝาสูบ ห้องเผาไหม้จะเป็นรูปโดมทรงครึ่งวงกลม มีแคมชาฟต์หนึ่งแท่งต่อ 1 ฝาสูบ (ก็คือ SOHC ในเครื่องแบบ V นั่นเอง) ปรุงส่วนผสมแซ่บลิ้นด้วยสามเกลอคาร์บูเรเตอร์ WEBER แบบ 4 Barrels (1 ตัว ต่อ 4 สูบ) จุดประกายไฟด้วยคอยล์คู่ พลังสูงสุดที่ทางโรงงานเคลมมา จัดอยู่ในขั้นสุดขั้ว แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 394 bhp ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 ปอนด์ฟุต ที่รอบเครื่องปั่นอยู่ 4,750 รอบต่อนาที

สำหรับระบบส่งกำลัง สำหรับ Superfast 25 คันแรก จะใช้เกียร์ธรรมดาแบบ 4 สปีด แต่มีลูกเล่นที่สวิทช์เกียร์โอเวอร์ไดรฟ์ที่เกียร์ 4 มันก็คือ เกียร์ 5 ที่ทำงานด้วยไฟฟ้านั่นเอง ซึ่งเป็นลูกเล่นของรถไฮโซในยุคก่อน ส่วนอีก 12 คันที่ตามมา จะเปลี่ยนเป็นเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ที่ โยก สับ ยัด ได้อย่างเต็มรูปแบบ ชุดเบรกเป็นแบบดิสก์ 4 ล้อซึ่งผลิตโดย DUNLOP (จริงๆ นะครับ พิมพ์ไม่ผิดหรอก) ส่วนล้อก็งดงามหยดย้อยตามเอกลักษณ์ของรถยุค Antique ด้วยรูปแบบ Center-lock ดุมล้อเป็นปีก 3 แฉก แบบ Knock-Off ซึ่งจะใช้ฆ้อนยางค่อย ตอกไปที่ปีกขณะถอดล้อ และซี่ลวดสอดประสานขึ้นเป็นวงล้อ เป็นผลิตผลจาก RUOTE BORRANI MILANO แห่งเมืองมิลาน เจ้าดังแห่งวงการรถคลาสสิกระดับโลกนั่นเอง

โครงสร้างของ 500 Superfast นั้นก็โดดเด่นในด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากในยุคกาลก่อน ด้วยแชสซีส์แบบ Tubular Steel ที่เป็นทรงท่อเหล็กเหนียวแข็งแรง สำหรับรับแรงบิดแรงเค้นในสมรรถนะอันรุนแรงของมันได้ ซึ่งมีขนาดใหญ่เบิ้มและใช้รูปแบบเดียวกับตัว 400 Superamerica และใช้ความยาวช่วงล้อ (Wheel Base) อยู่ที่ 2,650 มม. เท่ากัน ส่วนเปลือกนอก (Body Shell) นั้นเป็นเหล็กแผ่นรีดขึ้นรูปที่แข็งแรงทนทาน

ในความเป็นจริงแล้ว 500 Superfast เป็นรุ่นสุดท้ายที่มีวิวัฒนาการของอนุกรม Super-Luxury ของ Ferrari ที่อุบัติขึ้นตั้งแต่ปี 1955 เป็นครั้งแรกด้วย Superamerica ทั้ง 3 รุ่น ซึ่งการสร้างและประกอบรถขึ้นมาจะอยู่ในมาตรฐานไม่เกิน 1 คัน ต่อเดือน เพื่อความเนี้ยบสุด แม้ยอดการผลิตจะลดลงในช่วงปี 1956 และ 1957 ซึ่งมีผลิตออกมาเพียง 5 คัน เท่านั้น สำหรับการออกแบบ ก็จะเป็นการสะบัดปลายปากกาโดย Pininfarina ซึ่งถือว่าเป็นผู้กำหนดร่างกายของ Ferrari มาทุกยุคทุกสมัยเลยก็ว่าได้

สำหรับรุ่น Superamerica มีจำหน่ายอย่างเป็นทางการทั้งแบบ Coupe (หลังคาแข็ง) และ Spyders (หลังคาเปิด) มาพร้อมเสน่ห์ของกระจกบานหลังที่โอบล้อมาถึงด้านข้าง แต่ในปี 1960 ทาง Pininfarinaได้ผลิต Concept Car เพื่อมาจัดแสดงในงาน Turin Motor Showช็อกทั้งวงการ งานโชว์ตะลึงด้วยหลักอากาศพลศาสตร์ (Aero Dynamics) ที่ล้ำยุคด้วยไฟหน้าแบบ “Pop-up” ที่เก็บซ่อนได้เวลาปิดไฟ และเปิดพลิกขึ้นมาเวลาเปิดไฟ ซุ้มล้อหลังถูกปิดไปหนึ่งส่วน เพื่อลดลมที่จะเข้าไปหมุนวนในซุ้มล้อ ส่วนด้านท้ายลาดเทลง รถทรงนี้ก็จะเรียกว่า Pininfarina Aerodynamica ที่ทั้งน่าทึ่งและดูแตกต่างอย่างมากจาก Superamerica รุ่นก่อน ซึ่งก็พบความเปลี่ยนแปลงมากมายหลายประการก่อนที่จะออกมาเป็น 400 Superamerica ที่จำหน่ายจริง (Production Car) และทรวดทรงนี้ มันก็เป็นตัวจุดประกายเริ่มการดีไซน์รูปทรงใน 500 Superfast นี่แหละ.

ว่าแต่ 400 Superamerica ก็มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน รุ่นปี 1962 ได้ขยายช่วงล้อให้ยาวขึ้นอีก 40 มม. เป็น 2,460 มม. สำหรับยอดการผลิต ก็แลดูน่ารักด้วยจำนวนเพียง 19 คัน จนถึงปี 1963 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่สังเกตได้ เช่น โคมไฟหน้าเป็นวัสดุ Plexiglass แทนโคมแก้วเดิม ที่สามารถยืดหยุ่นและทนการแตกได้มากขึ้น น้ำหนักเบาขึ้น ระบบเบรกหลังก็จะมี ช่องดักลม ไปเป่าจานเบรก ลดความร้อนขณะซิ่งและใช้เบรกหนัก กระจังหน้าออกแบบใหม่ให้รับกับฝากระโปรง หนึ่งในสิ่งที่จะมาเป็นต้นแบบของ GTO ด้วยการทดลองใช้คาร์บูเรเตอร์ 6 ตัว กับเครื่องฝาแดง Testa Rossaและได้ค้นพบและแก้ไขปัญหาในการขับขี่ที่ความเร็วสูงซึ่งลูกค้านักสะสมที่ได้ซื้อรถรุ่นหายากรุ่นนี้ไปก็มีอยู่หลากหลายคน ที่โด่งดังมีชื่อเสียง อาทิ William Harrah แห่ง American Harrah Collection รวมถึงตระกูลโคตรมหาเศรษฐี อย่าง Bloomingdale เจ้าของห้างสุดหรู Bloomingdale’s ใน New York และตระกูล Rockefeller เจ้าของกิจการน้ำมันใหญ่ยักษ์ในอเมริกา เป็นต้น

สำหรับยุคสุดท้ายของ 400 Superamerica เกิดขึ้นในเดือนมกราคม ปี 1964 สองเดือนให้หลัง 500 Superfast ก็ได้โชว์โฉมในงาน Geneva Auto Show เป็นพัฒนาการอย่างชัดเจนจากรุ่นก่อนหน้า ซึ่งมีรายละเอียดที่เปลี่ยนแปลงไปมากมาย จุดที่เด่นชัดก็จะมีเรื่องของอากาศพลศาสตร์ ด้านท้ายเปลี่ยนแปลงจาก Kamm Design เป็นแบบ Taper ที่เทลาดลง ทำให้รถดูลู่ลมและเนียนตามากขึ้น ลบเหลี่ยมสันด้านข้างออก เปลี่ยนแปลงรูปทรงช่องดักลมด้านหน้าใหม่ ขยับไซส์ล้อ RUOTE BORRANI MILANO ใหม่ให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับยางเรเดียลขนาด 205-15 รวมถึงเครื่องยนต์ใหม่V12 ลูกผสมระหว่างฝาสูบจากรุ่นบล็อกสั้น (Colombo) กับเสื้อสูบบล็อกยาวที่กล่าวถึงกันไปก่อนหน้าแล้ว ในด้านระบบช่วงล่างด้านหน้าจะประกอบไปด้วย ปีกนกสองชั้น คอยล์สปริง และ เหล็กกันโคลง ดูทันสมัยดี แต่ในด้านหลังก็ออกจะดิบ โบราณ หน่อย จะประกอบไปด้วยแหนบแบบโค้งครึ่งวงกลม ทำงานร่วมกับระบบเพลาแบบคาน พร้อมกับ Radius Arm1 คู่ คอยควบคุมการเคลื่อนไหวของเพลาท้ายให้เป็นไปอย่างเสถียรและมั่นคงยิ่งขึ้น

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จะอยู่ที่ภายใน จากรุ่น 400 Superamerica ที่ทรวดทรงจะออกแนวเรียบหรู ถูกเปลี่ยนเป็นการประดับประดาด้วยงานไม้ลายสวย (เป็นชิ้นไม้จริง ไม่ใช่แค่ลายไม้ที่ผลิตจากวัสดุสังเคราะห์อื่น ) ส่วนมาตรวัดต่าง ก็ออกแบบให้แปลกตาและหรูหราเป็นทรงแบบเข็มทิศในเรือเดินสมุทร ทำให้บรรยากาศใน 500 Superfast เต็มไปด้วยความเป็น Super-Luxury GT แม้ว่าอาจจะดูลุครวมถึงลายไม้ซุงผ่าซีกที่เคยเห็นในจากสปอร์ตอังกฤษร่วมยุคอย่าง Triumph Herald ก็ตาม แต่ 500 Superfast จะเป็นคอนโซลแบบยาว พร้อมเท้าแขนอย่างดี รองรับช่วงแขนและไหล่ให้ผ่อนคลายความเมื่อยล้ายามขับขี่ทางไกล เกจ์วัดสามเกลอที่คอนโซลกลาง จัดเรียงกันสวยงาม พร้อมกับหันหน้าเข้าสู่คนขับเพื่อให้สังเกตได้ง่าย ระบบแอร์คอนดิชั่น เป็นอุปกรณ์เสริม ส่วนตำแหน่งที่ (ควรจะเป็น) ที่นั่งด้านหลัง ก็จะกลายเป็นที่อยู่ของกระเป๋าเดินทาง 3 ใบ ที่ตัดเย็บรูปทรงมาเป็นพิเศษสำหรับ 500 Superfast โดยตรง แต่สำหรับรถคันที่โชว์โฉมอยู่นี้ ถูกเลือกเปลี่ยนเป็นเบาะนั่งหลังที่นั่งได้จริง ออกมาจากโรงงานขณะที่มันยังเป็นรถใหม่

สำหรับ Ferrari 500 Superfast คันที่มี Serial Number 6659 SF ที่ออกจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1966เป็นรถคันแรกที่มีลูกค้าระดับท่านเซอร์ก็คือ Sir Eric Millerที่จ่ายเงิน11,518 ปอนด์ สำหรับค่าตัวของมัน โดยรุ่น Series I ที่ผลิตมา 25 คันแรก ซึ่งรถคันนี้ถูกเปลี่ยนเกียร์เป็นแบบ 5 สปีด จาก Series II ส่วนช่องลมที่ข้างแก้มหน้า เอาไว้ระบายความร้อนออกจากห้องเครื่องยนต์ เป็นแบบ 3 ครีบ มาแทนแบบ 11 ครีบละเอียด หลังจากที่ท่าน Sir Miller ได้เสียชีวิตไปในปี 1977 รถคันนี้ถูกเก็บในประเทศอังกฤษ ก่อนที่จะถูกส่งข้ามน้ำข้ามทะเลไปเก็บยัง Pat Burke Modena Collection ใน Australia ก่อนที่จะกลับมาสู่บ้านเกิดเกาะบริเตนใหญ่เมื่อปี 2002 โดยมีตัวเลขการใช้งานไปเพียง 5,000 ไมล์ เท่านั้น หลังจากที่มันเริ่มถูกเปลี่ยนมือ” (เจ้าของ) ไปหลายครั้งต่อหลายสิบปี เลขไมล์ก็ขยับขึ้นไปเพียง 13,500 ไมล์ เท่านั้น (อยากรู้เป็น กม. เท่าไร คูณด้วย 1.609 ดูครับ) พูดถึงดีกรีคันนี้ก็ได้รับรางวัลสวยดั้งเดิมที่สุดจาก Ferrari Owner’s Club National Concours รวมถึงการจัดแสดงโชว์ในไฮไลต์รถสุดล้ำค่า Cartier Style et Luxeในงาน Good Wood Festival of Speed ปี 2015 ที่ผ่านมา

สำหรับการฟันธงแบบไร้ข้อกังขา ว่าทำไมถึงเลี่ยงที่จะทดสอบการนั่งในที่นั่งด้านหลัง แม้ว่ามันจะดูสบายและสุดหรูหรา ก็ด้วยความที่หลังคาด้านหลังนั้นลาดลงมามาก จนน่ากลัวที่จะเสี่ยงเรื่องกระดูกต้นคอทรุด เลยน่าจะเหมาะสำหรับเด็กน้อยมากกว่า (เว้นแต่คุณจะแปลงร่างเป็นกระเป๋าเอกสาร ก็จะอยู่ได้สบายขึ้น) แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาสนใจติเตียนในรถแบบ 2+2 ที่นั่ง เพราะ 500 Superfast ก็มีมนต์เสน่ห์ดึงดูดใจสำหรับขับขี่ในวันหยุดที่แสนโรแมนติกกับหวานใจแบบสองต่อสองบนโรงแรมห้าดาวติดล้ออย่างนี้ ส่วนที่นั่งด้านหลังก็เอาไว้สำหรับวางของหรู ผูกริบบิ้นงาม ก็แล้วกัน

เปิดประตูบานงาม มานั่งหลังพวงมาลัยวงไม้ขนาดใหญ่สมราคา มองไปยังหน้าปัดด้านหน้า มาตรวัดต่าง ถูกวางไว้อย่างชัดเจน สังเกตง่าย ไม่ดูยุ่ง เหยิง พ่วงกันหลายอันเหมือนรุ่นใหม่ ซึ่งโดยมากก็ชื่นชอบและยกย่องในความเรียบง่ายแบบยุคเก่า และนอกจากนี้ โฉมความหรูหราของ Superfast ยังเจิดจรัสด้วยสิ่งหรูหรามากมายประดามีที่คุณจะได้ครอบครอง อาทิ เบาะหนังแท้เย็บทรงจีบ พวงมาลัยวงไม้พร้อมก้านอัลลอยเงางามพร้อมลวดลายแกะสลักอันวิจิตร สะกิดใจมากตรงที่ว่ามีกระจกไฟฟ้าคู่หน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานอีกด้วย ซึ่งถือเป็นความแปลกใหม่ของรถยุโรปในยุคนั้น การตกแต่งภายในที่สุดเนี้ยบ ที่แผงประตูมีกระเป๋าเก็บของแบบ Spring Back ดีดตัวหุบได้เอง ส่วนของผ้าบุหลังคา หรือ Headlining อันนี้ตกใจนิดหน่อยเพราะเป็นไวนิลแต่ยังดีว่าจับจีบให้ดูหรูหราอยู่เช่นเดิม ไม่ลืมสำหรับรถแรง ก็คือ แป้นพักเท้า สำหรับคนขับ (เวลาไม่ได้เหยียบคลัตช์) และสำหรับคนนั่ง เอาไว้ยันเวลา V12 คำรามพร้อมแรง G หลังติดเบาะ ที่สร้างความเขย่าขวัญได้สำหรับคนไม่เคย เรียกว่าอุปกรณ์ภายในพรั่งพร้อมประดามีมิขาดแคลนแต่อย่างใด แม้กระทั่งการดึงปิดประตูก็ยังไม่ต้องทำเอง โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเหล่าคนดูแลรถไป

ตำแหน่งของคนขับนั้นจัดว่าลงตัวและยอดเยี่ยมมากในรถยุคก่อน โดยเฉพาะรถที่เป็นพวงมาลัยซ้ายมาตั้งแต่กำเนิด ตำแหน่งคอพวงมาลัยจะเยื้องมาด้านซ้ายเล็กน้อย ทำให้ขับได้ถนัดขึ้น แป้นเหยียบต่าง นั้นจะทำก้านห้อยลงมาเขยิบไปด้านขวา ซึ่งจะทำให้เหยียบคันเร่งได้ถนัด และวางเท้าได้อย่างไม่ขัดเขิน วงไม้ของพวงมาลัยมีขนาดใหญ่กระชับมือ มีความคลาสสิก แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการสาวพวงมาลัยที่ออกแนวหนักเวลาเข้าที่จอดรถ

ในด้านขุมพลัง คุณอาจจะคิดว่ามันดูอุ้ยอ้ายเทอะทะสำหรับเครื่อง 5 ลิตร V12 แต่เมื่อมันถูกส่งจ่ายเชื้อเพลิงผ่าน Weber3 เกลอ พร้อมกันแล้วล่ะก็ วิญญาณของเครื่อง Ferrari V12 จะถูกกระชากออกมา รอบเครื่องจะถูกตวัดขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่ช่างแตกต่างจากน้ำหนักพวงมาลัยที่มากในความเร็วต่ำ ต้องรีบจับด้ามเกียร์เพื่อพร้อม Shift Up ให้ทันกับรอบเครื่อง เมื่อคุณประคองและใช้คันเร่งได้เป็นอย่างดี จะยิ่งทำให้การขับขี่นั้นถูกอรรถรสขึ้นมาก ส่วนการ Shift Down ก็ต้องใช้วิธี Heel-And-Toe เพื่อการเปลี่ยนเกียร์ต่ำลงแบบนุ่มนวล และทำให้เข้าเกียร์ได้ง่ายยิ่งขึ้น

โดยปกติ V12 จะเป็นเครื่องที่รอบขึ้นได้ค่อนข้างช้า เพราะจำนวนลูกสูบที่มาก ข้อเหวี่ยงใหญ่น้ำหนักมาก เป็นอุปสรรคต่อรอบเครื่อง โดยจะเน้นแรงบิดมหาศาลมากกว่า แต่เมื่อมาเป็นต้นกำลังขับอยู่ใน Superfast แน่นอนว่างานนี้มีสุดพลังชั้นฟ้าอย่างแน่นอน รอบเครื่องช่วงปลายสามารถตวัดเข็มไปจิ้มที่ 6,500 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นเรดไลน์สุดขีดของเจ้า V12 ตัวนี้ ส่วนรอบกลางๆ ก็จะดีต่อเมื่อใช้คันเร่งลึก เรียกม้าให้ตื่น โดยเฉพาะในช่วง 4,750 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นจุดที่แรงบิดสูงสุดถูกปลดปล่อยออกมา แน่นอนว่า มันเป็นเครื่องที่มีพลังในย่านรอบกลางถึงสูง (ช่วง 2 ใน 3 คำนวณจากรอบสูงสุด) เพราะฉะนั้น คนขับก็ต้องรู้รอบและรักษารอบเครื่องไว้ในช่วงกำลัง (Power Band) แล้วคุณจะได้สนุกกับพิษสงและความเป็นเจ้าถนนของมันอย่างแน่นอน

โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในทางตรง ลากรอบกันยาว สร้างความสะใจได้เหนือชั้น หรือแม้ว่าจะขยับส่ายเอวอยู่ในโค้งอันต่อเนื่องก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นในการควบคุม หากในความเร็วที่พอประมาณไม่มากไม่น้อย จะรู้สึกว่าคุมและสังเกตอาการรถได้ง่าย เมื่อคุณเติมคันเร่ง ไลน์การเข้าโค้งของ Superfast ก็เปลี่ยนไปตามน้ำหนักเท้าที่กระแทกลงไป ส่วนช่วงก่อนเข้าโค้ง กำลังจะหักเลี้ยวพวงมาลัย ด้วยความที่รถมีขนาดใหญ่และหนัก จะรู้สึกได้ว่ามีแรงขับเคลื่อนจากโมเมนตั้มที่มากของมัน ซึ่งบางครั้งก็เดาอาการได้ยากเช่นกัน ซึ่งล้อและยางขนาดใหญ่ก็เข้ามาช่วยเรื่องการขับขี่และแรงขับเคลื่อนในความเร็วสูง และต้องรองรับอาการเอียงตัวของรถอีกด้วย แต่เมื่อคุณเริ่มคุ้นชินกับมัน คุณก็จะรู้จังหวะในการเติมความเร็วในโค้งต่อเนื่องอย่างบนภูเขาต่าง และสร้างความพึงพอใจลีลาพร้อมกับความสนุกสนานในการขับขี่ยามที่พามันออกไปโลดแล่นด้วยกัน และเมื่อคุณเก๋า  พอคุณสามารถใช้การกดคันเร่งในการเปลี่ยนวิถีการขับจะท้ายสไลด์นิด ดริฟต์หน่อย คุณก็จะพบกับความเบิกบานสนุกสนานในการขับขี่ยิ่งขึ้นไปอีก

จากคำพูดคุยกันใน Forum เกี่ยวกับ 500 Superfast มันอาจจะไม่ได้มีอะไรมากเกินกว่าที่คาดกันไว้ แต่สิ่งที่มันเปล่งประกายรัศมีออกมาก็คือความท้าทายในการคุมพลังม้าล่ำ ถึง 394 ตัวในคอกผ่านเขต Alps-Maritimes ส่วนเรื่องระบบเบรก แม้ว่าการตอบสนองของเบรกจะยอดเยี่ยม ส่วนแป้นเบรกก็ให้น้ำหนักที่ดี กะน้ำหนักเท้าได้ง่าย ซึ่งเจ้าของรถหลายคนก็รายงานไว้ว่า การเบรกที่ความเร็วสูงแบบกะทันหัน จะสร้างอาการใจสั่นระรัวได้บ้าง จากน้ำหนักรถที่มากเกินไป รวมถึงความแรงที่มากเกินต้านทาน แม้ว่าคนขับที่มีความกล้ายังไม่รู้สึกว่าผ่อนคลายวางใจได้ในจุดนี้ พูดง่าย คือ เบรกยังไม่พอในการขับขี่สไตล์ดุดันนั่นเอง

จากการที่ได้ทดลองขับ ทำให้ Mileage ของคันนี้เพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย แต่จริงๆ แล้วมันก็ทำให้เราได้รู้จักนิสัยและได้มีความสุขกับเจ้ารถคันงามนี้ และความแรงมันก็ไม่ได้ถูกลดทอนลงในขณะที่คุณกำลังจับตากับความงามของมัน มันยั่วยวนใจด้วยความแรง และท้าทายคุณด้วยรสสัมผัสแห่งความปราดเปรียวที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ชื่อของ500 Superfast มีเสน่ห์ในการเรียกขานจากผู้ครอบครอง และความหายากอันแท้จริงของมันที่เพิ่มความน่าหลงไหล แม้ว่ามันอาจจะเป็น Ferrari ที่ยังมีข้อบกพร่องบ้าง แต่ก็ไม่ทำให้ความงามจับใจต่อ500 Superfastลดน้อยลงไปเลย

Specification

เครื่องยนต์ : แบบ V12 ความจุ 4,962 ซีซี.

กำลังสูงสุด : 394 bhp ที่ 6,500 รอบต่อนาที

แรงบิดสูงสุด : 351 ปอนด์ฟุต ที่ 4,750 รอบต่อนาที

ระบบช่วงล่างด้านหน้า : แบบอิสระ ปีกนกคู่ คอยล์สปริง โช้คอัพ เหล็กกันโคลง

ระบบช่วงล่างด้านหลัง : แบบคาน พร้อมแขนยึด แหนบทรงครึ่งวงกลม

ระบบเบรก : ดิสก์เบรก 4 ล้อ

ล้อ : ซี่ลวด ขอบ 15 นิ้ว

ยาง : เรเดียล ขนาด 205x 15

น้ำหนักรถ : 1,397 กก.

แรงม้าต่อน้ำหนัก : 286 bhp/1 ตัน

อัตราเร่ง 0-60 ไมล์ :6.0 วินาที

ความเร็วสูงสุด : 170 ไมล์/ชม. (ข้อมูลโรงงานเคลม)

ราคาออกห้าง : 11,518 ปอนด์ ในปี 1966, เทียบเท่ากับ 205,000 ปอนด์ ในค่าเงินปัจจุบัน

ราคาวันนี้ : กว่า 2,000,000 ปอนด์ !!!

Share

ใส่ความเห็น