The 90’s Celebrity : FERRARI  348

ช่องลมด้านข้างอันเป็นเอกลักษณ์ เครื่องยนต์ V8 และอารมณ์การขับขี่แบบดิบ ของ FERRARI ยุคก่อน เป็นเหตุผลให้ FERRARI 348 สามารถพาคุณหนีกลับไปในอดีตได้อย่างฉับพลัน ทำให้หลายคนที่ถวิลหาการขับด้วยฝีมือตัวเองโดยไร้บรรดาตัวช่วยอิเล็กทรอนิกส์มาแทรกแซงระหว่างคนขับกับรถ ได้ลองสัมผัสต้องหลงใหลได้ปลื้มในแบรนด์นี้อย่างหมดใจ ซึ่งรวมถึงคุณวรวุฒิ ภิรมย์ภักดี ที่เพิ่งจะฟื้นฟูสภาพ 348 TB ของเขาให้กลับมาเหมือนตอนออกจากโรงงานอีกครั้ง

ทุกครั้งที่เราได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมอาณาจักรรถ FERRARI ของเขา เราจะได้เห็นบรรดาคอลเลกชั่นทั้งหมดถูกเก็บอยู่ในโรงรถที่ล้อมกรอบด้วยกระจกที่ถูกออกแบบอย่างเรียบง่ายแต่มีศิลป์พร้อมด้วยเครื่องควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งจะมีรถ FERRARI รุ่นที่เขาหลงใหลมากมาย ( อันที่จริงก็แทบทุกรุ่นนั่นแหล่ะ ) เพิ่มจำนวนเข้ามาอยู่เรื่อย และหลังจากที่เขาฟื้นฟูสภาพ FERRARI ระดับตำนานอย่าง DINO ที่เราเคยเอามานำเสนอให้ชมแล้ว เขาก็ได้ 348 TB คันนี้มาพร้อมกับคำมั่นสัญญาว่าจะบูรณะรถคันนี้ให้กลับไปเหมือนเมื่อ 30 ปีก่อน

The origin

อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าผมเป็นคนชอบรถมาตั้งแต่เด็ก และตอนนั้น FERRARI มันเป็นความฝันของผมอยู่แล้ว แต่คุณพ่อท่านก็เลี้ยงผมมาแบบมีขอบเขต ไม่ได้ตามใจ ชนิดที่ว่าขออะไรก็ได้ไปซะทุกอย่าง ทำให้เมื่อเราโตมากขึ้นสามารถทำงานหาเงินได้เอง เราก็อยากที่จะตามหาสิ่งที่เราอยากได้ในตอนนั้น รถที่ผมเลือกเก็บก็เลยจะเป็นรถในยุค 90’s เนี่ยซะเป็นส่วนใหญ่ นั่นคือเหตุผลหนึ่งว่าทำไมผมเลือกที่จะหา FERRARI ในยุคนั้นอย่าง 355 และ 348 มาทำการ Restoration ให้กลับไปเหมือนใหม่อีกครั้ง” 

จริง ผมว่าเสน่ห์ของรถ FERRARI ที่ผ่านมาคือรถที่เป็นไฟป๊อปอัพในยุคนั้นเท่าที่ผมจำความได้ ถ้าพูดถึงรถ FERRARI ซึ่งแน่นอนมันคือความใฝ่ฝันของเด็กผู้ชายทุกคน ผมก็จะนึกถึงรถ FERRARI ที่แบนๆ ประตูเปิดมาแล้วมีบันไดกว้าง มีช่องลมด้านข้าง ถ้าพูดถึงความคลาสสิกจริง เนี่ย ไอเส้นสายข้าง เนี่ยแหล่ะมันเป็นอะไรที่คือความคลาสสิกของ FERRARI มาก ถ้าไม่นับพวก TESTAROSSA ก็ต้องเป็น 348 นี่แหล่ะ และที่เลือก 348 เพราะเป็นรถที่ไซส์กำลังพอดี สามารถใช้งานจริงได้ในชีวิตประจำวัน มันไม่ได้เป็นรถที่เร็ว และมันไม่ได้เป็นรถที่ใหญ่จนเกินไป เป็นรถที่ใช้งานได้หลากหลาย และเราก็มองว่ารถเหล่านี้ ที่เป็นไฟป๊อปอัพ มีเกียร์แมนนวลแบบร่อง H-Pattern เนี่ยมันไม่มีอีกแล้ว ในอนาคตรถที่มันสภาพดี จะหาดูยาก ซึ่งตอนนี้ราคามันก็ยังไม่ได้แพงจนเว่อ แต่ราคามันก็เพิ่มขึ้นเรื่อย   และถึงแม้ว่าผมทำงานอยู่ที่บริษัทบุญรอดเป็นหลัก แต่ในอีกบทบาทของผมก็มีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรถ FERRARI และธุรกิจที่เข้าไปสนับสนุนอีก ผมมองไปอีกขั้นว่าการมีรถคลาสสิกเหล่านี้ก็ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าผมอีกทางหนึ่งผู้บริหารมาดเนี้ยบ ที่ดูแลทั้งธุรกิจของ บริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ และ คาวาลลิโน มอเตอร์ ผู้จัดจำหน่ายและศูนย์บริการ FERRARI แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เริ่มเล่าถึงที่มาที่ไปของ 348 TB สีเหลืองคันนี้

ในฐานะผู้สืบทอดของ 308 และ 328 ที่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล ทำให้การพัฒนาต่อยอดจนออกมาเป็น 348 นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ครีบด้านข้างที่กรีดเป็นช่องรับลมขนาดใหญ่เพื่อเอาไประบายความร้อนให้กับหม้อน้ำทั้งสองข้าง ได้รับอิทธิพพลมาจาก TEASTAROSSA แบบเต็ม มันยังคงเป็นที่รักและถูกนำมาใช้ใน 348 นี้ด้วยเช่นกัน โดยคันนี้เป็น 348TB อักษรที่ต่อท้ายเป็นตัวย่อของ Transversale Berlinetta ซึ่งยังมีเวอร์ชั่น 348TS ที่เป็น Transversale Spyder คือรุ่นที่เปิดหลังคาได้อีกด้วย ไฟหน้าแบบป๊อบอัพที่เข้ากันได้อย่างดีกับเส้นสายรอบคันเป็นเสน่ห์ที่โดดเด่นของมันในยุค 90’s และเนื่องจาก 348 เป็นรถที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างดี มันจึงเป็นรถที่ค่อนข้างบำรุงรักษาง่ายภายใต้เงื่อนไขของการซ่อมบำรุงที่ไม่ขี้เหนียว เพียงแค่ต้องระวังเรื่องของสนิมที่อาจเกิดขึ้นในจุดต่าง ของตัวถังที่เป็นเหล็กทั่วทั้งคันเท่านั้นเอง สิ่งอื่นที่อาจจะกลายเป็นปัญหาไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนที่กรอบแตกเสียหาย ซึ่งคุณไม่ควรคาดหวังมากนักกับรถอายุขนาดนี้ และท่ามกลางมูลค่าทางการตลาดของมันที่กำลังดีดตัวสูงลิ่วไปทั่วโลก สิ่งสำคัญคือความดั้งเดิมแบบออริจินัล มันจึงไม่คุ้มค่าที่จะดัดแปลงอะไรจนทำให้ประวัติของมันต้องด่างพร้อย

Fully Restoration

ถึงแม้ว่าสภาพตอนได้มาตอนแรกของมันอาจจะดูไม่ได้เลวร้ายโดยรวมมันดูโอเคมากสำหรับหลายคนที่ได้เห็นมันในตอนแรก แต่สำหรับการจะเข้ามาจอดในโรงรถแห่งนี้ เชื่อได้เลยว่ามันต้องเนี๊ยบที่สุด แต่พอเอาเข้าจริงพอถอดออกมาดู มันก็ใช้ไม่ได้ เขาเริ่มวางแผนฟื้นฟูสภาพแบบ “Fully Restoration” ที่อย่างแรกเลยทีมช่างส่วนตัวของเขาและช่างเทคนิคยอดฝีมือที่คาวาลลิโนมอเตอร์ ต้องระดมรื้อทุกชิ้นส่วน  ย้ำว่าทั้งคันจริง ตั้งแต่เอาเครื่องออก ถอดชิ้นส่วนทุกชิ้น เริ่มจากศูนย์ แล้วเรียงชิ้นส่วนต่าง เป็นชุด

รถคันนี้คือเป็นสี GIALLO FER 102 เดิมแท้จากโรงงาน ซึ่งผมมองว่าสีเหลืองมันทำให้เรามองเห็นเส้นสายต่าง ของรถได้อย่างชัดเจนและเป็น 348 สีเหลืองคันเดียวในประเทศไทยซึ่งถ้าคุณเห็น 348 สีเหลืองที่ไม่ใช่คันนี้ คือเขาไปกลับสีมาเขากำลังพูดถึงความพิเศษอีกอย่างที่มันก็ยังคงถูกรักษาไว้แบบนั้น แม้จะผ่านขั้นตอนการทำสีใหม่อย่างดีทั้งหมดในทุกซอกมุม บรรดาเพลทที่ระบุรูปพรรณสันฐานต่าง ของรถ ยังคงอยู่ในจุดเดิมทุกจุด แม้กระทั่งภายใต้ฝากระโปรงหลัง เพลทแสดงเกรดของน้ำมันเครื่อง สติ๊กเกอร์ระบุเบอร์สีตัวถังและวงจรสายแวคคั่มของเครื่องยนต์ ยังคงอยู่ ต้องชื่นชมขั้นตอนการทำงานของช่างสีที่ยังใส่ใจและไม่มองข้ามรายละเอียดพวกนี้

ซึ่งนับว่าทาง คาวาลลิโน มอเตอร์ มีพื้นฐานที่ดีในการ Restoration อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลในการทำรถแต่ละคันด้วยวิธีที่ถูกต้องตามขั้นตอน รวมถึงทักษะฝีมือของทีมช่าง และอีกส่วนหนึ่งที่หลายคนไม่ทราบคือผู้บริหารของ คาวาลลิโน มอเตอร์ คนนี้เป็นผู้ลงมือถอดประกอบชิ้นส่วนภายในของรถคลาสสิกเหล่านี้ด้วยความปราณีต

cof

By The PASSION

เจ้าของรถคันนี้ที่ใช้เวลาศึกษาทุกชิ้นส่วนของมันอย่างลึกซึ้ง โดยเขาจะใช้เวลาว่างจากการบริหารธุรกิจ ลงมือปลุกปั้นงานศิลป์นี้ด้วยตัวเองให้กลับมาเหมือนใหม่อีกครั้ง ในเวิร์คช็อปที่อยู่ใกล้กับโรงรถซึ่งก็เหมือนเป็นการผ่อนคลายอย่างหนึ่งสำหรับคนที่คลั่งไคล้ในรถ FERRARI อย่างจริงจังแบบเขา

นอกจากชอบแล้วเราต้องรักในการดูแลมันด้วย ผมมองว่าสิ่งสำคัญคือนอกจากภายนอกที่สวย เครื่องยนต์ที่ดี แล้วส่วนใหญ่คนจะดูก็จะเข้าไปดูภายในก่อนว่ามันเนี๊ยบแค่ไหน ในการ Restoration เราเลยต้องใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ มันต้องใกล้ความเพอร์เฟ็กต์ที่สุด! ถามว่ามันต้องเพอร์เฟ็กต์ไหม? มันไม่มีวันเพอร์เฟ็กต์หรอก เพราะรถมันประกอบด้วยมือ แต่เราต้องใส่ใจ การถอด การประกอบ หนังที่หุ้ม สีที่พ่น มันต้องใช่! เนี่ยเราถึงต้องดูเอง ซึ่งผมเนี่ยเป็นคนที่จะดูรายละเอียดในทุกจุดทุกขั้นตอน คือผมจะถอด ประกอบภายในเองทั้งหมดนะ เราต้องยอมรับ ว่าช่างทำดีครับ แต่ทำดีสู้ผมไม่ได้ เพราะผมถอดประกอบมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว บางชิ้นนิดเดียวไม่ได้เลย อันไหนไม่เนี๊ยบ ผมเอาออก ทำใหม่!”

คงไม่มีอะไรต้องพูดมากเกี่ยวกับความรู้สึกราวกับได้ขึ้นสวรรค์เมื่อนั่งอยู่หลังพวงมาลัยของ 348 แผงคอนโซลที่ถูกออกแบบมาอย่างเรียบง่ายแต่โดยรวมแล้วต้องบอกว่ามันถูกออกแบบอย่างอัจฉริยะ ด้านบนนวมคอนโซลเอียงรับไปกับคอนโซลกลางส่งผลให้ห้องโดยสารกว้าง และไม่อึดอัดกับการใช้โทนสีที่อบอุ่น ที่สำคัญยังมีคันเกียร์แบบร่อง H-Pattern ที่ถ่ายทอดอารมณ์ของ FERRARI ยุคนั้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งกลับกลายเป็นว่าเมื่อเราได้พบมันในยุคดิจิตอลที่ทุกสิ่งถูกออกแบบมาอย่างหวือหวา ความเรียบง่ายของห้องโดยสารแบบนี้แหล่ะที่แทบจะทำให้หัวใจหยุดเต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันถูกฟื้นฟูสภาพมาจนไม่มีที่ติอย่างคันนี้ 

  ทุกอย่างต้องใหม่ ในที่นี้ไม่ใช่ทุกอย่างต้องซื้อใหม่ อันไหนใช้ได้..ใช้ อันไหนใช้ไม่ได้..ปลี่ยน อันไหนใช้ไม่ดี..ก็ฟื้นฟูสภาพให้ดี ไม่จำเป็นต้องเบิกใหม่ทั้งหมด บางชิ้นที่ยังสวยงามผมก็จะใช้ของเดิม หรือถ้าเปลี่ยนต้องใช้แบบเดียวกับโรงงาน อย่างหนังที่ใช้หุ้มภายในบางชิ้นก็ต้องทำใหม่ โดยใช้หนังที่ให้อารมณ์แบบเดิมแม้กระทั่งเรื่องของกลิ่น! ซึ่งไม่ใช่แค่ภายในของรถคันนี้ แต่รถของลูกค้าผมก็เป็นคนลงมือ ผมอาจทำให้ได้ไม่หมดทั้งคัน แต่อะไรที่ผมทำให้ได้ผมทำเต็มที่เพราะเราเอนจอยกับมันด้วยความชอบและสนุกไปกับมัน และอยากให้รถทุกคันมันออกมาเนี๊ยบจริง ผมต้องการให้ลูกค้ามีความสุขที่สุดกับการที่เขาเอาสิ่งที่เขารักมาให้เราจัดการด้วยความไว้วางใจ ซึ่งมันสำคัญมาก รถบางคันถูกดัดแปลงนอตมา ก็ต้องเปลี่ยนกลับให้เป็นของเดิม บางครั้งสีของคอนโซลที่เราเคยเห็นของออริจินอลมาแล้ว แต่พอมันเป็นสีอื่น มันไม่ใช่ เราก็ต้องแมทชิ่งสีให้ได้  สีตรงไหนเป็นไฮเปอร์ ก็ต้องใช้สีไฮเปอร์ สีตรงไหนต้องเป็นสีดำ ก็ต้องให้เป็นสีดำที่ near perfect จริงๆ ไม่ใช่แค่เพียงให้เป็นสีดำเหมือนกันเท่านั้นเขาพูดพลางหยิบชิ้นส่วนเรือนไมล์มาถอดเพื่อเตรียมฟื้นฟูสภาพอย่างมีความสุข ไม่นานเรือนไมล์อันนั้นมันก็เหลือแต่เข็ม มีการแยกจัดเก็บชิ้นส่วนใส่กล่องอย่างเป็นระเบียบ เพื่อตรวจเช็คทุกอย่างให้มันสมบูรณ์ ข้าง กันก็เป็นกรอบหน้าปัดที่กำลังเตรียมส่งไปทำสี  ซึ่งอันหนึ่งเป็นสีดำที่ถูกทำมาใหม่ กับอันที่เป็นสีแท้ออริจินอลที่เป็นสีดำอมเทาเล็กน้อยที่ดูพรีเมี่ยมกว่ามาก ซึ่งถ้าไม่วางเทียบกันแบบนี้เราแทบไม่รู้ แต่นี่คือสิ่งที่ผู้ชายคนนี้รู้จากประสบการณ์ที่เขาค่อย ซึมซับมาจากการถอดประกอบครั้งแล้วครั้งเล่า

ถึงตรงนี้คนอื่นอาจคิดว่าที่ 348TB ออกมาเนี๊ยบขนาดนี้ เพราะมันเป็นรถของผู้บริหารคาวาลลิโน มอเตอร์ มันเลยต้องออกมาดี แต่ผมบอกไปหรือยังนะว่าผู้บริหารคนนี้แหล่ะที่จะเป็นคนถอดและประกอบชิ้นส่วนภายในของรถลูกค้าที่เข้ามาฟื้นฟูสภาพทุกคันด้วยตัวเอง และในทุกขั้นตอนการ Restoration ต้องผ่านตาเขาทั้งหมด บางทีเขาใช้เวลาอยู่ที่เวิร์คช๊อปนี้กันแบบข้ามคืนเพื่อจัดการกับชิ้นส่วนภายในเหล่านั้น ซึ่งเราพอเข้าใจได้จากท่าทีที่เขากำลังมีความสุขพลางประกอบหน้าปัดของรถลูกค้าระหว่างที่ให้สัมภาษณ์กับเราในวันนั้น มันแสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาที่เขากำลังผ่อนคลายไปกับสิ่งที่ชอบ ซึ่งที่เขาต้องลงทุนทำมาทั้งหมดขนาดนี้ก็เพื่อบรรลุเป้าหมายในการเข้าสู่ Classiche Program อันเป็นความตั้งใจของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

Classiche Program

Classiche Program เป็นเหมือนใบรับรองถึงรถ FERRARI คลาสสิกที่มีความสมบูรณ์พร้อมในทุก ด้าน ซึ่งเมื่อผ่านกระบวนการทุกอย่างแล้วโรงงาน FERRARI ที่อิตาลีก็จะออกหนังสือเล่มหนา มาให้เล่มหนึ่งเหมือนเป็นคู่มือประจำรถ ซึ่งในนั้นก็จะระบุข้อมูล ดีเทลต่าง เสป็กทุกสิ่งที่เกี่ยวกับรถคันนั้น รวมถึงการรับรองในส่วนต่างๆ ว่ายังคงดั้งเดิม พร้อมกับป้าย Classiche ที่หาซื้อไม่ได้ ซึ่งเขาจะมอบให้เฉพาะคันที่ได้รับการอนุมัติแล้วเท่านั้น

สำหรับ FERRARI ที่เข้าร่วมโปรแกรมนี้ก็จะเป็นรถประเภทที่มีอายุนับตั้งแต่ปัจจุบันลงไปเกินกว่า 20 ปี ซึ่งก็มีทั้งแบบรถที่สภาพดีมากๆ เก่าเก็บ หรือไม่ว่าจะเป็นรถที่ผ่านการฟื้นฟูสภาพแบบเต็มระบบ (Fully Restoration) ซึ่งสุดท้ายไม่ว่าจะแบบไหนก็จะต้องเอารถมาตรวจเช็คและดำเนินเรื่องกับทาง FERRARI ที่อิตาลีเพื่อทำการขอใบรับรองดังกล่าว ก็สามารถทำได้ แต่ก็จะมีอีกประเภทที่ได้รับสิทธิ Classiche นี้โดยอัตโนมัติ ก็จะเป็นพวก FERRARI รุ่น Limited Edition ต่าง อย่างพวก TDF, 16M, Aperta พวกนี้จะได้ติดตัวมาอยู่แล้ว

ซึ่งการฟื้นฟูสภาพในทุกขั้นตอนจะต้องระบุรายละเอียดต่าง รวมถึงรูปขั้นตอนวิธีการทำ เพื่อส่งไปให้ทางโรงงาน FERRARI ดูว่าระหว่างขั้นตอนที่ทำนั้นได้มาตรฐานและทำถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่  สีทุกอย่างต้องตรง ชิ้นส่วนภายใน ภายนอกก็ต้องคงพื้นฐานเดิมทั้งหมดทุกชิ้นอะไรที่หาจากทั่วโลกไม่ได้แล้วจริง ต้องใช้ชิ้นส่วน OEM หรือต้องพึ่งการสร้างขึ้นมาใหม่ อันนี้ต้องให้ FERRARI ทำการตรวจสอบก่อน เขาก็อาจจะอนุโลมให้ แต่ต้องอยู่บนเงื่อนไขที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานของเขาด้วย

อย่าง 348 คันนี้ ท่อออริจินอลนั้นหาไม่ได้แล้ว เราก็ต้องไปหาบริษัทที่ทำท่อออริจินอลตัวนี้ แล้วขอร้องให้เขาทำการผลิตขึ้นมาให้เราใหม่อีกชุดหนึ่งแบบที่เคยทำเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนแบบเป๊ะ

cof

Benefits

ถึงตอนนี้หลายคนสงสัยว่าทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยากขนาดนั้นเพื่อให้ได้มาเพื่อคู่มือเล่มหนาและแผ่นป้าย Classiche ที่บ่งบอกตัวตนของรถคันนั้น โดยนอกจากความภาคภูมิใจที่ได้การการันตีความเนี๊ยบจากผู้ผลิตแล้ว ในอนาคตสมมุติรถคันนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว สมมุติว่าในอนาคตมันเป็นรถที่หายาก และเป็นที่ต้องการของตลาด เวลาคุณต้องขายมัน Classiche นี้จะช่วยการันตีถึงความสมบูรณ์พร้อมของรถคันนี้ ซึ่งมันได้รับการรับรองจาก Ferrari world Wide ซึ่งได้รับการยอมรับระดับโลก ไม่ใช่แค่เป็นเอกสารที่ดีลเลอร์ใดตั้งขึ้นมาเอง ซึ่งมันจะทำให้คนซื้อนั้นง่ายต่อการตัดสินใจในระดับหนึ่งและแน่นอนตัวนี้จะเป็นใบเบิกทางที่จะพา FERRARI ของคุณขึ้นไปสู่ราคาที่งดงาม

cof

Feel The Drive

สิ่งที่ทำให้ 348 นี้พิเศษจริง คือ การขับขี่ที่มันจะทำให้คุณเร่าร้อน มันจะให้รางวัลคุณด้วยโทนเสียงต่ำอันอบอุ่นของท่อไอเสียปลายคู่ที่ผ่านหม้อพักใบโต ที่พอรอบสูงๆ มันเก็บเสียงได้ไม่มากนักหรอก ดังนั้นเมื่อคุณลากเกิน 5,000 รอบต่อนาทีขึ้นไป เสียงมันจะแผดลั่นกลายเป็นความน่าเกรงขามจากหัวใจของมันคือเครื่องยนต์ V8 32 วาล์ว วางกลางขับเคลื่อนล้อหลัง ที่ถูกอัพเกรดเป็น 3.4 ลิตรด้วยความปราณีต จนมีเรี่ยวแรงออกมาถึง 300 แรงม้า  พร้อมกับระบบส่งกำลัง 5 สปีด ที่เร่งได้ถึง 170 ไมล์ต่อชั่วโมง

เวลามันจอดในบ้านดูแล้วมันก็สวยงาม เรามองเป็นอาร์ตอย่างหนึ่ง หรือถ้าคุณเบื่อการขับรถยุคใหม่ รถพวกนี้ก็เป็นยาแก้เบื่อชั้นดี ในแง่ของการขับขี่ คือผมเกิดในยุคของความเป็นแมนนวลที่ต้องเหยียบคลัทช์ ต้องชินกับการครอสเท้าระหว่างคันเร่งกับเบรก  ผมว่าขับรถพวกนี้มันมีเสน่ห์ มันให้อารมณ์เราได้มากกว่า ซึ่งรถยุคใหม่มันจับต้องไม่ได้ ถึงแม้ว่ารถยุคใหม่จะพยายามทำให้มันดริฟท์ได้ แต่ฟีลลิ่งมันไม่ได้ แน่นอนว่ารถใหม่มันต้องดีอยู่แล้ว  แต่มันก็เป็นรถคนละยุคคนละสมัยมันแตกต่างกันมาก ถามว่าขับ 348 มันยังโอเค มันขับสนุก มันไม่ได้เร็วเว่อ ยังคอนโทรลได้โดยที่มันไม่ต้องมีอิเล็กทรอนิกส์อะไรเข้ามาช่วย มันไม่เหมือนรถยุคใหม่ที่เราคุยกันที่ 5-600 แรงม้าเป็นอย่างต่ำ ซึ่งมันต้องมีระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เข้ามาช่วยให้ควบคุมมันได้ แต่รถเหล่านี้มันไม่ต้องมี เพราะความแรงมันไม่ได้เกิน 400 แรงม้า มันก็สนุกในแบบของมัน ในวันหนึ่งผมก็ต้องกลับไปขับรถพวกนี้

ด้วยอารมณ์แบบดิบๆ แบบ FERRARI ยุคก่อน ไม่ใช่รถที่ไฮเทคและขับง่ายแบบ FERRARI ในยุคนี้ ความเกี้ยวกราดและล้าหลัง มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่หลายคนพูดถึง ยังไงซะการสะบัดข้อมือเบา บนพวงมาลัย มันจะพาคุณเปลี่ยนเลนไปอย่างกระฉับกระเฉง พร้อมกับรอยยิ้มของคนที่พบเห็นมันด้วยความปลื้มปริ่มเหมือนได้เจอบุคคลสำคัญจากยุค 90’s ท่ามกลางกระซิบกระซาบกันถึงเอกลักษณ์ที่ใคร ก็รู้กันว่านี่แหล่ะคือ “FERRARI”

ล้อแม็กเดิมผลิตให้โดย SPEEDLINE ขนาด 17 นิ้ว ลายใบพัดที่ออกแบบให้เป็นล้อซ้ายล้อขวาชัดเจนจะช่วยกวักลมเข้าไประบายความร้อนให้กับชุดเบรกอีกทางหนึ่ง มันยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ รัดกับยาง PIRELLI P.ZERO ลายเดียวกับตอนที่ออกมาจากโรงงานเมื่อต้นยุค 90’s แต่มันถูกสั่งผลิตขึ้นใหม่เพียงเพื่ออยากให้มันคงความเป็นออริจินัลมากที่สุด  แต่เพื่ออรรถรสในการขับขี่ที่มากขึ้น เจ้าของจึงสร้างอีกหนึ่งลุคที่ทำให้มันขับดีแต่ไม่เสียรถ ด้วยการเปลี่ยนล้อแม็กวงโตที่มองดูคุ้นตามาก ใช่แล้ว..มันคือล้อที่สร้างความพิเศษให้กับรุ่นไลท์เวทอย่าง 348 COMPETIZIONE ซึ่งผลิตโดย SPEEDLINE เช่นกัน แต่เป็นล้อแบบสามชิ้นขอบเงาแว้บขนาด 18 ที่ เพิ่มความกว้างขึ้นเป็นหน้า 8 นิ้ว หลัง 10.5 นิ้ว และที่สำคัญมันเป็นหนึ่งในล้อที่หายากมาก ยางไซส์ 225/40 และ 295/35 นี้มันจะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้มากในตอนที่เข็มความเร็วกำลังเดินต่อไปแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

Share

ใส่ความเห็น