Daytona รถสปอร์ตโปรดักชั่น ที่เร็วที่สุดในโลก ดำรงสถานะเป็นหนึ่งเทพแห่งความเร็วในตำนาน แล้วปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง?
หาดเดย์โทน่า, ฟลอริดา, เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1967, ท่ามกลางเปลวแดดร้อนของฤดูหนาว แฟน ๆ ความเร็วหลายหมื่นคนได้เข้ามารวมตัวกันอยู่ที่นี่เพื่อเฝ้าติดตามชมการแข่งขันรายการ 24 Hours of Daytona รายการแรกของการแข่งเก็บคะแนนสะสมเพื่อตำแหน่งแชมป์ทีมผู้ผลิตประจำปี 1967 โดยที่คนส่วนใหญ่คาดว่าชัยชนะในรายการนี้น่าจะตกเป็นของรถแข่ง Ford GT ที่ก่อนหน้านี้ในปี 1966 เอาชนะรถแข่ง Ferrari P3 มาแล้วทั้งการแข่งขันที่ Daytona และ Sebring รวมไปถึงที่ Le Mans
อย่างไรก็ตาม Ferrari ได้สลัดภาพความพ่ายแพ้ในอดีตออกไปแล้ว และได้นำรถแข่งรุ่นใหม่มาทดสอบที่ Daytona นี้ครั้งหนึ่งในช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่ผ่านมาก่อนที่จะกลับมายังสังเวียนประลองความเร็วแห่งนี้พร้อมกับรถแข่งรุ่นใหม่ Ferrari P4 ทีมโรงงานจำนวน 2 คัน ผลการแข่งขันเป็นรถแข่ง Ferrari ทั้งสองคันและรถแข่ง Ferrari ของทีมแข่งเจ้าถิ่นอีกคันหนึ่งเข้าเส้นชัยในอันดับที่ 1-2 และ 3 และภาพของรถแข่ง Ferrari 3 คันเคียงข้างกันวิ่งเข้าเส้นชัยยังเป็นภาพที่ตรึงตาตรึงใจแฟน Ferrari ทั่วโลกอยู่จนทุกวันนี้
สำหรับ Enzo Ferrari การเริ่มต้นการแข่งขันเก็บคะแนนสะสมเพื่อตำแหน่งแชมป์โลกด้วยการชนะการแข่งขันรายการแรกซึ่งจัดขึ้นบนแผ่นดินอเมริกาช่างเป็นสิ่งที่น่าปลื้มปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งอย่างไรก็ตามสปอร์ตโปรดักชั่นคาร์โมเดลต่อมาที่มีพัฒนาการส่วนหนึ่งมาจากรถแข่งรุ่นใหม่นี้แทนที่ผู้คนจะจดจำในชื่อ Ferrari 365 GTB/4 ตามธรรมเนียมนิยมในการชื่อโมเดลรุ่นของ Ferrari แต่กลับเรียกขานโมเดลนี้ว่า Ferrari Daytona อันเป็นที่มาจากชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้นั่นเอง
โดยทั่วไป Ferrari 365 GTB/4 เป็นพัฒนาการที่ต่อยอดมาจาก Ferrari 275 GTB/4 อย่างไรก็ตามโมเดลใหม่นี้มีความแตกต่างไปจาก Ferrari Berlinetta รุ่นก่อน ๆ อย่างมากโดยมีความเป็นกลิ่นอายของความเป็นรถยนต์ที่เรียกว่า muscle car ของอเมริกาแฝงอยู่ในความสวยงามและความละเอียดอ่อนตามสไตล์การออกแบบของ Leonardo Fioravanti แห่งสำนักออกแบบ Pininfarina อีกด้วย จากความนุ่มนวล, ความกว้างของจมูกด้านหน้า, ความยาวของฝากระโปรงหน้าและด้านท้ายที่หดสั้นทำให้ 365 GTB/4 แตกต่างจากโมเดลอื่น ๆ อย่างชัดเจนขณะที่อีกหนึ่งชื่อเสียงความแตกต่างของ Daytona หรือ 365 GTB/4 คือเรื่องของความเร็วที่สามารถทำความเร็วได้ถึง 175 ไมล์ต่อชั่วโมงทำให้ได้รับการยกย่องเป็นสปอร์ตโปรดักชั่นคาร์ที่เร็วที่สุดในโลกในช่วงเวลานั้น
นี่ทำให้ Enzo ยินดีเป็นอย่างยิ่งเพราะช่วงเวลานั้นชื่อของ Lamborghini Miura กำลังถูกกล่าวขานถึงอย่างมากจากรูปทรง, ความสวยงามและความเป็นรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำตัวซึ่งความเร็วปลายของ Miura สามารถทำได้ถึง 172 ไมล์ต่อชั่วโมงแต่ในทรรศนะคติของนักทดสอบรถแล้วพวกเขามีเห็นว่าหน้าของ Miura มักจะยกตัวขึ้นเมื่อใช้ความเร็วสูงแต่สำหรับ Daytona ไม่พบปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นแต่อย่างใด
Paul Frere นักทดสอบรถและอดีตนักแข่ง Le Mans เขียนบทความเกี่ยวกับการทดสอบ Daytona 2 คันไว้ในนิตยสาร Motor ว่า Daytona คันที่สองเป็นรถที่ผ่านการใช้งานของทีมงาน Ferrari แล้วเป็นการใช้ทดสอบเพื่อหาข้อมูลต่าง ๆ ‘เราออกเดินทางอีกครั้งหนึ่งมุ่งหน้าไปยัง Bologna และ Ferrara แน่นอนว่ารถอยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก การเปลี่ยนเกียร์อย่างถูกต้องทำให้เข็มรอบเครื่องยนต์พุ่งขึ้นไปแตะที่ตัวเลข 7,700 รอบต่อนาทีได้พร้อมเสียงที่คำรามลึกก้อง เราได้เดินทางจาก Bologna ไปยัง Ferrara และจาก Ferrara กลับมายัง Bologna รวมเป็นระยะทางประมาณ 120 ไมล์เป็นช่วงเวลาและเส้นทางที่เราสามารถเค้นสมรรถนะและประสิทธิภาพในด้าน ๆ ของ Daytona ออกมาได้อย่างเต็มที่’ Frere เขียนไว้ว่าความเร็วสูงสุดที่ทำได้อยู่ที่ 175.7 ไมล์ต่อชั่วโมง
“สภาพอากาศดีเยี่ยมรวมถึงสัญญาณไฟจราจร(เนื่องจากมาพบภายหลังว่าไฟกระพริบด้านหน้าไม่ทำงาน)” คำบอกเล่าของ Frere “เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเมื่อมาคิดว่าเราสามารถเดินทางได้เป็นระยะทางที่ยาวไกลเท่าใดด้วยความเร็ว 160 ถึง 170 ไมล์ต่อชั่วโมง ต้องยกเครดิตให้กับเสถียรภาพการทรงตัวของ Ferrari ที่ยอดเยี่ยมไม่ต้องวิตกกังวลใด ๆ ในเรื่องที่ปัญหาที่จะเกิดจากอาการหน้าลอยหรือหน้าส่ายแต่อย่างใด เป็นความยอดเยี่ยมที่มาจากการวางเครื่องยนต์ด้านหน้าและการกระจายน้ำหนักที่มีความสมดุลระหว่างล้อคู่หน้า”
องค์ประกอบสำคัญที่สุดในเรื่องของน้ำหนักเป็นการขยายฝาสูบแบบ quad –overhead-cam ของเครื่อง Columbo V12 และด้วยกระบอกสูบแต่ละสูบมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นทำให้ความจุเพิ่มมากขึ้น 4.4 ลิตรเป็นการปฏิวัติเครื่องยนต์ V12 รุ่นคลาสสิคของ Ferrari โดยสิ้นเชิงซึ่งพละกำลังแรงม้าที่ได้ออกมาจากเครื่องยนต์นี้สูงถึง 352 bhp ที่รอบเครื่องยนต์ 7,500 รอบต่อนาที สำหรับห้องเกียร์ของระบบเกียร์ธรรมดาเดินหน้า 5 สปีดติดตั้งอยู่ด้านหลังโดยอยู่ในโครงสร้างเดียวกับเฟืองท้ายเชื่อมต่อกับเครื่องยนต์ด้วยกระบอกเพลาและเพลาคาน, ระบบกันสะเทือนเป็นแบบปีกนกคู่, เบรกขนาดใหญ่แบบมีรูระบายความร้อนของ Girling , กระปุกพวงมาลัยแบบลูกปืนหมุนเวียน, ไม่มีเซอร์โวมอเตอร์ช่วย
เรื่องระบบบังคับเลี้ยวนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่จุดที่อาจสร้างความกังวลได้เพราะจะทำให้พวงมาลัยหนักในย่านความเร็วต่ำและต้องใช้รัศมีวงเลี้ยวที่กว้างมาก อีกจุดหนึ่งคือการที่ Daytona ถูกออกแบบให้มีฝากระโปรงหน้าที่ยาวเป็นพิเศษเพื่อผลทางด้านอากาศพลศาสตร์และการวางตำแหน่งเบาะที่นั่งที่ต่ำทำให้การนำรถเข้าจอดหรือการหลบหลีกสิ่งกีดขวางเป็นงานที่ท้าทายผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างดีแต่เมื่อใดที่ Daytona โลดแล่นอยู่บนพื้นถนนประสบการณ์การขับขี่ที่ตื่นเต้นเร้าใจเป็นสิ่งที่หาได้ไม่ยากเลย
เมื่อเวลาเดินหน้ามาอีก 50 ปีมีเรื่องของระบบไฟฟ้าเข้ามาช่วยในการทำงานทำให้การขับขี่ในขณะใช้ความเร็วต่ำเป็นเรื่องที่ไม่ต้องออกแรงอะไรแต่สำหรับ Daytona สิ่งที่เคยเป็นมาอย่างไรก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น จะมีสักกี่คันที่ปรับเปลี่ยนไปตามยุคตามเทคโนโลยี่สมัยใหม่ อีกหนึ่งประการคือสปอร์ตคลาสสิคคาร์ระดับนี้มีระยะทางการวิ่งใช้งานที่น้อยมากในแต่ละปีมันไม่เกี่ยวกับสภาพหรือความแปรปรวนแต่อย่างใดเป็นเรื่องของการประหยัดค่าใช้จ่ายของเจ้าของนั่นเอง
ในช่วงเวลาหนึ่งราคาค่าตัวของ Daytona พุ่งสูงขึ้นไปอย่างมากก่อนที่จะมีการปรับลดลงมาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มันเป็นเรื่องของดีมานด์กับซัพพลาย ในช่วงเวลา 5 ปีของการผลิตมี Daytona Coupe ถูกผลิตขึ้นเพียง 1,284 คันและในจำนวนนั้นเป็นรถยนต์พวงมาลัยขวาสำหรับตลาดในสหราชอาณาจักร 158 คัน ไม่ถึงกับเป็นสิ่งที่ยากจะค้นหาสำหรับ Ferrari V12 เท่าใดนัก
“ราคาซื้อขายของ Daytona เคยขยับขึ้นไปสูงถึง £800,000 แต่ตอนนี้ถูกปรับลดลงมาเหลือประมาณ £700,000 แล้ว”James Cottingham แห่ง DK Engineering บอก “ถ้าสภาพยังดีแต่การบูรณะซ่อมแซมเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้เป็นเวลานานแล้วบางทีอาจต่อรองได้ในราคา £500,000 โดยที่สำหรับรุ่น Plexiglass nose ที่มีการผลิตจนถึงกลางปี 1971 ราคาอาจสูงได้อีกประมาณ £50,000 และไม่เพียงสีแดงเท่านั้นที่เป็นที่นิยม สีเขียวและสีม่วงเป็นอีกสองสีที่เป็นนิยมสำหรับ Daytona ด้วยเช่นกัน”
สำหรับ Ferrari Daytona รุ่นที่มีราคาสูงสุดเป็นรุ่นตัวถัง Spyder ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า 365GTS/4 ซึ่งรุ่นพวงมาลัยซ้ายถูกผลิตออกมาเพียง 122 คันส่วนพวงมาลัยขวามีแค่ 7 คันเท่านั้น แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีรถหลายคันที่ถูกแปลงสภาพจากรุ่น Coupe มาเป็น Spyder
“หากเป็นรุ่น spyder สเปคยุโรปพวงมาลัยซ้ายที่แท้จริงราคาจะสูงถึง£2-2.5 ล้านแต่หากเป็นสเปคสำหรับสหรัฐอเมริการาคาจะขยับขึ้นไปเป็น $3 ล้าน” James บอก “แต่หากคุณไปได้ Spyder ตัวที่แปลงสภาพมาขณะขับขี่คุณต้องจับยึดหลังคาไว้ให้แน่นหน่อยเพราะมันอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ ซึ่งราคาของรถแปลงสภาพนี้มีเพียง 2 ใน 3 ของราคา Daytona รุ่นตัวถังคูเป้เท่านั้น”
สำหรับอีกกรณีหนึ่ง มีการผลิตรถแข่งที่มีตัวถังแบบอลูมิเนียมออกมาเพียง 7 คันซึ่งรถแข่งเหล่านั้นประสบความสำเร็จในการแข่งขัน Le Mans ในช่วงทศวรรษ 1970 ปัจจุบันรถเหล่านั้นมีราคาสูงถึง £10 ล้านซึ่งนักสะสมที่มี Ferrari 250 GTO แล้วจะพยายามหา Ferrari Daytona Competizione เข้ามาอยู่ในคอลเลคชั่นของพวกเขาด้วย
กลับมาที่ Ferrari Daytona เวอร์ชั่นที่เป็นรถถนน อะไรคือสิ่งที่คุณต้องนำมาพิจารณาและใส่ใจเป็นพิเศษเมื่อคุณตัดสินใจที่จะเป็นเจ้าของ Russell Smith ผู้จัดการฝ่ายบริการของ Bob Houghton LTD บอกว่าไม่แตกต่างไปจากรถคลาสสิคของ Ferrari ทั่วไปที่ต้องดูไปที่สภาพของตัวถังและเฟรมท่อเหล็กที่รองรับตัวถังอยู่
“การกัดกร่อนที่เกิดจากสนิมเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาดังนั้นต้องตรวจดูให้ละเอียดถี่ถ้วนในทั้งสองจุดนี้ ตรวจเช็คให้ดีตามร่องต่าง ๆ ส่วนประกอบต่าง ๆ เหล่านี้เมื่อครั้งยังเป็นรถใหม่มีความงดงามประณีตเรียบร้อยแต่หากตรวจพบสภาพที่แตกต่างออกไปแสดงว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น กรอบกระจกบังลมหน้าและกระจกหลังเป็นอีกสองพื้นที่ที่ควรตรวจเช็คถึงความเรียบร้อยสมบูรณ์ปราศจากการเกิดสนิมกัดกร่อนรวมไปถึงตรวจดูว่ามีฟองอากาศเกิดขึ้นบริเวณซุ้มล้อหลังด้วยหรือไม่ พื้นของปีกข้างตัวถังทำจากไฟเบอร์กลาสเชื่อมยึดเข้ากับปีกข้างด้านนอกแน่นอนว่าน้ำจะซึมแทรกเข้าไปได้
อย่าประหลาดใจที่จะพบชิ้นส่วนต่าง ๆ จำนวนมากทำจากไฟเบอร์กลาสไม่ว่าจะเป็นผนังกั้นด้านหน้า, อุโมงค์เกียร์, บางส่วนของพื้นห้องโดยสารเพราะไฟเบอร์กลาสไม่เป็นสนิมและซ่อมแซมง่าย
การตรวจสอบต่าง ๆ ไม่ควรตรวจสอบเฉพาะร่อยรอยของสนิมเท่านั้นแต่ต้องตรวจดูร่องรอยของการเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ด้วย “กรอบหรือโครงที่โค้งงอเป็นสิ่งที่ยากต่อการซ่อมแซม “ Russell บอก “ส่วนเรื่องของระบบกันสะเทือนให้ทดลองกดหรือเขย่าทางด้านข้างตัวรถหรือบริเวณล้อทั้ง 4 หากพบว่ามีการขยับให้ตัวทางด้านหนึ่งแต่อีกด้านหนึ่งไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ แสดงว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติแล้ว”
สำหรับเครื่องยนต์ Russell บอกว่าหากเครื่องยนต์ทำงานผิดปกติแล้วการปรับปรุงซ่อมแซมหรือยกเครื่องใหม่ค่าใช้จ่ายจะสูงมากจึงเป็นอีกจุดหนึ่งที่ควรตรวจเช็คให้ละเอียด
“โดยทั่วไปแล้วเครื่องยนต์เป็นจุดที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดจุดหนึ่งของรถยนต์การที่ทุกระบบของเครื่องยนต์ทำงานอย่างถูกต้องสัมพันธ์กันจึงจะเรียกได้ว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ดีมีประสิทธิภาพในการทำงานเพื่อให้ได้สมรรถนะสูงสุดตามที่ผู้ขับขี่ต้องการตลอดเวลา แต่ความผิดพลาดการทำงานที่ไม่ถูกต้องเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเนื่องจากอายุการใช้งานดังนั้นการทดสอบกำลังอัดจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำเช่นเดียวกับการตรวจสอบการจุดระเบิด, การเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิง, น้ำมันหล่อลื่นต่าง ๆ รวมถึงเสียงที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำงานปกติของเครื่องยนต์แต่เสียงการทำงานของโซ่สายพานไทมมิ่งของเครื่องยนต์ที่ใช้กับ Daytona จะมีเสียงการทำงานที่ค่อนข้างดังซึ่งเป็นเรื่องที่ปกติขณะเดียวกันยังการใช้สายพานแบบโซ่อีกมากในเครื่องยนต์นี้อาทิ ที่เพลาลูกเบี้ยว ขณะที่ต้องฟังการทำงานของบรรดาเพลาลูกเบี้ยว, ลูกสูบและส่วนประกอบสำคัญอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
แรงดันน้ำมันเครื่องเมื่อเครื่องร้อนควรอยู่เกินกว่ากึ่งหนึ่งบนมาตรวัดแรงดันน้ำมันเครื่องที่รอบเครื่องยนต์ 3,000 รอบต่อนาทีและประมาณ 1 ใน 4 เมื่อเครื่องยนต์หรืออยู่ในรอบเดินเบา แต่แรงดันน้ำมันเครื่องต่ำอาจไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นจากเครื่องยนต์ อาจเป็นที่ตัวมาตรวัดเองเนื่องจากมีอายุการใช้งานมานานแล้วดังนั้นควรตรวจดูที่มาตรวัดก่อนที่จะลงลึกไปยังการทำงานของปั้มน้ำมันเครื่องและแบริ่งหลักต่อไป
“จากนั้นเป็นเรื่องของการตรวจสอบการจุดระเบิด จากประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกได้เลยว่าเครื่องยนต์สมรรถนะสูงเหล่านี้ต้องการการใช้งานที่มากกว่าการสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้เพียงครั้งละ 4-5 นาที หากคุณทำเช่นนั้นหัวเทียนจะบอดหมดสภาพการใช้งานก่อนเวลาอันควรอย่างแน่นอน”
ปัจจุบันรถยนต์เหล่านี้เกือบทั้งหมดจะมีการตรวจเช็คสภาพประจำปีประกอบด้วยการตรวจเช็คน้ำมันเครื่อง, น้ำมันหล่อลื่นต่าง ๆ , จาระบีและการตรวจเช็คสภาพทั่วไปอื่น ๆ สำหรับระยะห่างวาล์วต้องถูกตรวจสอบและมีการปรับตั้งใหม่ทุก ๆ การใช้งานที่ 25,000 ไมล์
“ระบบส่งกำลังไม่ได้เป็นอุปกรณ์กันกระสุน” Russell บอกต่อ “เฟืองสับเปลี่ยนเกียร์สองเป็นสิ่งที่ต้องตรวจเช็คและเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำในเรื่องของการตรวจเช็คระบบส่งกำลังและควรตรวจเช็คขณะที่อุณหภูมิน้ำมันเกียร์ร้อนแล้วการตรวจเช็คขณะน้ำมันเย็น สำหรับผู้ขับ Ferrari แล้วส่วนใหญ่มักเปลี่ยนเกียร์จาก 1 ไป 3 บ่อย ๆ ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ในระยะยาว”
ถ้ารถถูกจอดทิ้งไว้นาน ๆ โอกาสที่จะเกิดคราบสนิมที่ฝาครอบคลัทช์มีความเป็นไปได้ “ถ้าคุณลองขยับรถให้เคลื่อนที่ไปมาสักเล็กน้อยแล้วได้ยินเสียงดังแปลกๆ จากทางด้านหลังแสดงว่าถึงเวลาต้องยกชุดคลัทช์มาทำความสะอาดแล้วซึ่งก็ไม่ใช่งานเล็ก ๆ เลย
สำหรับ Ferrari Daytona แล้วส่วนใหญ่จะเปลี่ยนมาใช้ล้อคู่หลังขนาด 9 นิ้วแทนล้อขนาด 7.5 นิ้วที่ติดตั้งมาจากโรงงานแต่ก็ไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญอะไรเป็นเรื่องของความนิยมในยุคนั้นสมัยนั้นซึ่งยาง Michelin XWX หรือ Avon CR6ZZ สามารถเลือกนำมาสวมทับได้ไม่ว่าจะเป็นล้อขนาด 9 หรือ 7.5 นิ้ว ในส่วนของระบบปรับอากาศที่เป็นอุปกรณ์ติดตั้งเพิ่มเติมสำหรับรถรุ่นปี 1972 เป็นต้นมาเป็นสิ่งที่ต้องมีไปเสียแล้วแต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่นิยมเปลี่ยนแปลงกันมากที่สุดเห็นจะเป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าของ EZ ที่ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม
“อีกสิ่งหนึ่งถ้ารถถูกจอดไว้นาน ๆ โช้คอัพน่าจะทำงานไปเต็มประสิทธิภาพไปแล้วดังนั้นการปรับเปลี่ยนจึงเป็นสิ่งที่ควรทำซึ่งก็ไม่ได้สิ้นเปลืองมากมายสักเท่าใด” อย่างไรก็ตามทั้งหลายทั้งมวลแล้วสิ่งที่สปอร์ตคาร์ระดับเทพโมเดลนี้ต้องการมากที่สุดคือการวิ่งใช้งานบนท้องถนนทั่วไปนั่นเอง
นักทดสอบรถมีความเห็นอย่างไรบ้างในช่วงเวลานั้น?
สำหรับสิ่งนี้ ..นี่มันคือจรวดทางเรียบชัดที่น่าตื่นเต้นเร้าใจที่สุดโชคดีของเราที่มีโอกาสได้สัมผัสกับ Ferrari Daytona อย่างใกล้ชิด รูปทรงที่เร้าอารมณ์ความรู้สึกตลอดจนการตอบสนองต่ออัตราเร่งเป็นสิ่งที่เร้าใจรุนแรงรวดเร็วอย่างยิ่ง ด้วยศักยภาพในการเข้าถึงจุดจำกัดของการใช้ความเร็วบนทางด่วนพิเศษอย่างรวดเร็วด้วยเกียร์ที่ต่ำที่สุดของเกียร์ธรรมดา 5 สปีดทำให้การมีจรวดทางเรียบอยู่ในประเทศนี้อาจฟังดูเป็นการสิ้นเปลืองและไร้ความจำเป็นโชคดีที่ถนนที่เปิดโล่งของประเทศเพื่อนบ้านอยู่ห่างไปเพียงแค่ใช้เวลาเดินทางไม่นาน การที่จะแซงผ่าน Daytona ขึ้นไปอาจต้องใช้ความเร็วที่สูงจนคาดไม่ถึงและสุดท้ายก็ต้องกลับไปอยู่ด้านหลังของ Daytona ภายในเวลาไม่นานหลังจากนั้น
Daytona ใช้เวลาที่น้อยกว่า 1.6 วินาทีในการไต่ระดับความเร็วจากจุดหยุดนิ่งไปจนถึงความเร็ว 60 ไมล์ต่อชั่วโมงและน้อยกว่า 2.5 วินาทีสำหรับความเร็วที่ 100 ไมล์ต่อชั่วโมงเมื่อเปรียบเทียบกับ Lamborghini Miura P400S (อัตราเร่งของ Ferrari Daytona 5.4 และ 12.6 วินาทีตามลำดับ) และได้รับรู้ถึงความเป็นรถแข่งอยู่ในสายเลือดของ Daytona ในขณะที่รอบเครื่องยนต์ทวีความเร็วรอบขึ้นนับตั้งแต่รอบเครื่องยนต์ 3,500 รอบต่อนาทีขึ้นไปจนเข็มวัดรอบไปแตะที่เส้นแดงที่วางไว้ที่ 7,700 รอบต่อนาที
จานดิสค์เบรกแบบมีรูระบายความร้อนขนาดใหญ่ของ Girling ถูกนำมาติดตั้งไว้ด้านหลังของล้อทั้ง 4 ล้อโดยมีแวคคั่มเซอร์โวช่วยเสริมการทำงานของระบบเบรกให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ในส่วนของระบบบังคับเลี้ยว Ferrari ไม่ได้ติดตั้งระบบเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรงให้กับพวงมาลัยของ Daytona ดังนั้นการขับขี่เพื่อนำรถเข้าจอดหรือการหลบหลีกสิ่งกีดขวางขณะใช้ความเร็วต่ำเป็นเรื่องที่ต้องออกแรงบ้างพอสมควรนอกจากนี้ยังมีแรงสั่นสะเทือนย้อนกลับมาที่พวงมาลัยค่อนข้างมากเมื่อวิ่งบนพื้นผิวถนนที่ขรุขระไม่ราบเรียบแต่หากเป็นบนพื้นผิวที่ราบเรียบแล้วกลไกของระบบบังคับเลี้ยวทำงานอย่างไม่มีข้อผิดพลาดสร้างความมั่นใจให้การขับขี่ได้อย่างเต็มที่ การบังคับควบคุมเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่คาดหวังไว้ให้ทั้งความมั่นใจและความรู้สึกถึงความปลอดภัยสูงสุด
มันยากที่จะอธิบายถึงความตื่นเต้นเร้าใจ, ความชื่นชมและอารมณ์ความรู้สึกของประสบการณ์ที่ได้รับจาก Ferrari Daytona ออกมาทางตัวหนังสือได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ สำหรับเรา Ferrari Daytona ได้เป็นตัวกำหนดมาตรฐานในการตัดสินความมีคุณภาพ, คุณค่าและความสำเร็จใหม่ที่สำคัญอย่างยิ่ง และ Daytona เป็นจุดสูงสุดสำหรับตลาดรถยนต์สมรรถนะสูงนี้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
Autocar, 30 September 1971
ข้อมูลเทคนิค
ENGINE: V12, 4,390 cc MAX POWER: 352 bhp@
7500 rpm MAX TORQUE: 318 lb ft @ 5500 rpm
TRANSMISSION: five-speed manual transaxle,
Rear-wheel drive SUSPENSION: front and rear:
Double wishbones, coil springs, telescopic dampers,
Anti-roll bar STEERING: Worn-roller, unassisted
BREAK: vented discs, 290 mm front, 297 mm rear
WHEELS: 8 x 15in alloy TYRES: 2154/70 R15
WEIGHT: 1600 kg POWER TO WEIGHT: 223 bhp/ton
0-60 mph: 5.4 sec TOP SPEED: 174 mph PRICE NEW
£9582 in 1971(£146,000 in today’s money)
VALUES TODAY£500,000-700,000
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น