Gary Goodall กำลังง่วนอยู่กับรถ V12 ของ Daytona และ Nick Cartwright ผู้ก่อตั้งบริษัท กำลังพิงปีกประตูรถ 458 Specialeซึ่งเขาบอกว่าเป็นรถวิ่งบนถนนที่ดีที่สุดที่ Ferrari เคยสร้างมา
มีแนวที่เป็นแก่นกระจายไปทั่วรถ Dino ของ Nick Cartwright Specialist Cars มันเป็น Ferrari คันแรกที่ Nick บุคคลในตำนานเป็นเจ้าของ และได้ถูกเอาไปรวมกับโลโก้บริษัท และเกือบครึ่งหนึ่งของรถ 155 คันที่บริษัทเคยซ่อมมาตลอดระยะเวลา 40ปีก็คือ รถ Dino
เมื่อเราไปถึงอู่ซ่อมของครอบครัวนี้ (ซึ่งมีธุรกิจอยู่ในหมู่บ้าน Tansleyใกล้กับ Matlock ตรงขอบๆPeak District) จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบเรือใบลำเล็กๆ อยู่ 2-3 ลำ ลำหนึ่งเป็นเรือที่เพิ่งทาสีเสร็จหมาดๆ อีกลำเป็นเรือที่กำลังต่อเติม และลำที่ 3 ฝั่งตรงข้ามถนนถูกเลาะออกจนกลับไปเป็นเหล็กเปลือย
“Dino เป็นปากท้องของพวกเรา มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นที่รู้จัก” Nick กล่าว “ผมตั้งราคาขายพวกมันไว้ที่ 600,000 ปอนด์, 425,000 ปอนด์, 360,000 ปอนด์… แล้วคนก็จะมาพูดว่า ที่นั่นที่นี่มีวางขายอยู่คันหนึ่งที่ราคา 265,000 แล้วผมก็จะบอกไปว่า ผมหาให้คุณได้คันหนึ่งในราคา 250,000 ปอนด์แต่ไม่ใช่ในสภาพนี้”
ที่บ้านของครอบครัวที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 1 ไมล์ ทางวนรถที่ลาดขึ้นและคดเคี้ยวด้านหลังของตัวบ้านนำไปสู่โชว์รูมรถ 5 คันซึ่งเป็น 1 ใน 3 โชว์รูมของที่นั่น แต่สิ่งที่อยู่ภายในนั้นดึงดูดความสนใจได้มากกว่าวิวพาโนรามาที่เห็นเสียอีก นั่นคือ Dino ที่ยอดเยี่ยม 3 คัน ผมถูก GT “เบาะแดง และส่องประกายสีแดงวาววับ” ที่มากับล้อ Campagnoloดึงดูดให้เข้าไปใกล้ มันดูเพอร์เฟกต์ไร้ที่ติ
รถคันนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของลักษณะรถที่ Nick Cartwright Specialist Cars ครอบครองและมีไว้เพื่อขาย “ผมรู้จักเจ้าของรถทุกคัน” Nick เล่า “คันนี้เคยเป็นรถที่ผมทำให้นักสะสมชื่อ Brandon Wang เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว เราตกแต่งมันใหม่อีกครั้งเมื่อ 2-3 ปีก่อนแต่มันไม่เคยผ่านการซ่อมมาเลย
งานของครอบครัว
Nick Cartwright ได้แบ่งกิจการให้ลูกชาย 2 คนช่วยดูแล ดูเหมือนว่ากิจการจะไปได้ดี
“Nick ใช้ชีวิต10 ปีแห่งความสำเร็จในการเป็น DJ สไตล์ Northern Soul เปิดแผ่นอยู่ในผับ”
ปีที่แล้วเราจ่ายเงินจำนวนมากที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้ในการประมูลมันมาทั้งที่ไม่เคยไปดูมาก่อนเลย คนนั้นเขาเพิ่งซื้อมันมาได้แค่ปีเดียวและผมบอกเขาไว้ว่าถ้าเขาจะขายเมื่อไร ได้โปรด ได้โปรดช่วยบอกผมที เขาไม่ได้บอก เขาเอามันไปประมูลใน Silverstone Auctions จริงๆ แล้วเขาควรจะขายได้ราคามากกว่านี้อีก 50,000 – 60,000 และเราควรจะเสียเงินไปครึ่งล้านด้วยซ้ำ ผมยอมเสียเงินมากขึ้นเพื่อรถคันพิเศษทุกครั้ง เราซื้อมันมาได้ที่ราคา 440,000 ปอนด์ คนทั่วไปเรียกผมว่า “ชายผู้กล้า” แต่ถ้าคุณรู้ว่ารถพวกนี้บางคันมันแย่มากขนาดไหนนะ…”
Nick รู้ดี บริษัทนี้ถูกตั้งขึ้นมาจากรายได้ในการขาย Dino คันแรกที่เขาซื้อมาเมื่อ 40 กว่าปีก่อน John Bolster ผู้ทดสอบรถบนถนนได้บรรยายถึงลูก Ferrari คันนี้ไว้ว่าเป็นรถที่ควบคุมง่ายที่สุดเท่าที่เขาเคยขับมาเลย และนั่นคือดีพอสำหรับ Nick มันเป็นรถที่ราคาแพงมากๆ ในสมัยนั้น (รถใหม่ประมาณ 4,000 ปอนด์ซึ่งราคาเท่ากับบ้านหลังเล็กๆ หนึ่งหลัง) แต่เขามีเงินพอจะจ่ายเพราะเขาใช้ชีวิต 10 ปีแห่งความสำเร็จในการเป็น DJ สไตล์ Northern Soul เปิดแผ่นอยู่ในผับ และเขาก็ไม่จำเป็นจะต้องซื้อบ้านเพราะ Margaret แฟนของเขา (ภรรยาในเวลาต่อมา) มีบ้านอยู่แล้ว
ทั้งคู่นำรายได้ที่ได้จาก Dino มาเริ่มซื้อและขายสุดยอดรถซุปเปอร์คาร์ เฉพาะรถ Lotus เท่านั้นซึ่งเป็นความชอบส่วนตัวของ Nick ก่อนที่ Dino จะเข้ามา เราตามซื้อนิตยสารทุกเล่มในวันที่วางแผง เช่น Motoring News, Exchange and Mart, Motor เป็นต้น จากนั้นก็เปิดหาโฆษณาและเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อซื้อมันให้หมดสัปดาห์ละ 2 หรือ 3 เล่ม เราขายมันให้กับปั๊มน้ำมัน Dove Service Station ใน Ashbourneและหลังจากผ่านไปสักพักพวกเขาก็ให้พื้นที่สำหรับขายรถ 3 คันตรงมุมของปั๊มน้ำมัน เป็นความฉลาดแกมโกงที่ลงตัว
พอถึงช่วงปลายยุค 70 Nick ก็กว้านซื้อ Dino และ 308 ที่เป็นไฟเบอร์กลาสเท่าที่เขาจะหาได้ไปจนหมด
“สิ่งแรกที่ผมทำกับ Dino คือ แยกชิ้นส่วนของมันออกมาและมันน่ากลัวทุกครั้งที่เห็นว่ามีการผุกร่อนมากแค่ไหน มันขึ้นสนิมตั้งแต่ได้มาใหม่ๆ” รถที่นำมาตกแต่งใหม่หลายคันเขาทำให้กับ Modena Engineering ใน East Horsley เมือง Surrey ซึ่งในตอนหลังได้เริ่มระดมทุนให้เขาเพื่อซื้อ Ferrariพวก Daytona และรถที่เหมือนกันได้มากขึ้น
นั่นเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่เคยมี แต่มันก็จบลงในปี 1981 ตอนที่พวกเขาซื้อ Esprit S3 จากคนที่มารู้ทีหลังว่าเป็นพวกต้มตุ๋น พวกเขาทำกำไรได้ประมาณ 250 ปอนด์ต่อการซื้อขายแต่ละครั้งมาตลอด และต้องมาเผชิญกับการสูญเสียเงิน 11,000 ปอนด์ เพราะถึงแม้ตำรวจจะจับเขาได้แต่ก็ไม่มีทรัพย์สินเป็นชิ้นเป็นอันอยู่ดี แต่ Margaret ซึ่งมีอาชีพเป็นผู้โอนกรรมสิทธิ์ ยังคงแน่วแน่ที่จะพยายามเอาบ้านที่เคยเป็นสินสมรสของคนขายมาให้ได้ และในที่สุดพวกเขาก็ได้เงินกลับมาก้อนหนึ่ง “รอดตายไป มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้อกสั่นขวัญแขวนและพักใหญ่กว่าเราจะกลับมาทำต่อได้อีกครั้ง” Nick นึกย้อนกลับไป
Graypaulผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Ferrari ที่เป็นต้นฉบับอีกที่หนึ่งซึ่งอยู่เลยขึ้นไปทาง Nottingham นิดหน่อย โดยมี David Clarke ชายผู้เป็นศูนย์กลางเรื่องราวของ Ferrari ในประเทศอังกฤษแห่งนี้เป็นคนจัดการนัดหมายให้ Nick เคยพบDavid2 ครั้งแล้วตอนที่เอา Dino มาซ่อม “Graypaulเป็นสถานที่ยอดเยี่ยมที่ควรไปและ David เป็นคนดีมากๆ เขาชวนผมไปทำงานกับเขาหลายครั้ง และสุดท้ายผมก็รับปากว่าจะทำเป็นฟรีแลนซ์ให้” Clarke ให้ค่าจ้างNick ดีพอสมควร และให้ค่าคอมมิชชันดีกว่าเสียอีก (5% จากกำไรขั้นต้น) “มันเป็นจังหวะที่ดีเพราะผมรู้จักรถที่อยู่ข้างนอกนั่นหลายคันมากที่สามารถซื้อได้”
งานที่ทำให้ได้กำไรมากมายนี้ต้องมาจบลงตอนที่ Clarke เริ่มหมดไฟในธุรกิจนั้น สัญญาซื้อขายที่ทั้งคู่หามาได้ทำให้ Nick Cartwright Specialist Cars ทำการค้าต่อไปได้แต่ไม่ได้มีปัญหากับ Graypaul
“มันน่ากลัวทุกครั้งที่เห็นว่ามีการผุกร่อนในตัว Dino มากแค่ไหน มันขึ้นสนิมตั้งแต่ได้มาใหม่ๆ”
อย่างไรก็ตามคนที่มีตำแหน่งสูงใน Graypaulอีกคนหนึ่งได้ยกเว้นให้โฆษณาเต็มหน้าของ Nick ที่ลงขายรถอย่าง 205 GTI กับ Chevette HS ยังคงลงใน Motoring News ได้ เคยมีการเผชิญหน้ากันครั้งหนึ่งและได้มีการยื่นข้อเสนอที่ดีกว่าให้กับ Nick เพื่อให้เขายอมทิ้งส่วนได้ส่วนเสียของเขา แต่เขาตัดสินใจที่จะทำต่อเองคนเดียว
ช่างบางคนของ Graypaulได้รับทำงานของ Nick ในเวลาว่างแบบเงียบๆ มาก่อนแล้ว พอเขาไปแย่งตัวช่างระดับท็อปมาได้ เขาจึงตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่จะเริ่มทำอู่เฉพาะทางเสียที และในปี 1986 Nick Cartwright Specialist Cars ก็ได้ถูกสร้างตรงที่เป็นที่ตั้งของอู่ปัจจุบันใน Tansleyในปลายยุค 80 ช่วงที่ธุรกิจกำลังไปได้ดี อู่มีลูกจ้างประจำถึง 14 คนรวมกับลูกจ้างรับจ้างช่วง (sub-contractor) อีกจำนวนหนึ่ง “เราเคยมี Jim Mason, Philip Wood ที่เป็นคนสร้างเครื่องยนต์ที่เก่งที่สุด Peter Higgins ที่ดูแลอู่มาถึง 12 ปี เราได้ผู้เชี่ยวชาญมาครบทุกคนแล้ว” Nick นึกย้อนไป
ในตอนนั้นค่านิยมของ Ferrari กำลังขึ้นในอัตราที่เหลือเชื่อมากๆ และพอฟองสบู่แตกก็มี 2-3 คนที่ไม่ได้โดนผลกระทบ “ตอนนั้นเราทำโปรเจกต์อยู่ 2 ชิ้นที่ได้ทุนจากบริษัทเงินทุน และเมื่อความต้องการในตลาดหายไป ผู้คนเหล่านี้ก็จากเราไป” Nick เล่า สักพักใหญ่หลังจากนั้นตัวแทนบริษัทเงินทุนถึงติดต่อกลับมา…
ในโปรเจกต์ที่พวกเขารับมาเป็นรถที่ถอดแบบมาจาก 275 และแน่นอนว่า อยู่มาวันหนึ่งคนจากบริษัทเงินทุนซึ่งเราเป็นหนี้อยู่ 250,000 ปอนด์ก็โผล่มาดู
“ในปลายยุค 80 ช่วงที่ธุรกิจกำลังไปได้ดี อู่มีลูกจ้างประจำถึง 14 คนรวมกับลูกจ้างรับจ้างช่วงอีกจำนวนหนึ่ง”
“ชายคนนั้นชี้แจงว่าเขาวางเครื่องเสร็จแล้ว และผมพูดว่า “อ้อ งั้นหรือ” ผมขยายความว่ามันมีไม่เยอะหรอก ผมเอาชิ้นส่วนต่างๆ ที่เรามีอยู่ทั้งหมดมาวางแผ่บนสนามหญ้า ถ้าคุณเห็นหน้าเขาคุณคงจะคิดว่าต้องมีใครสักคนตายแน่ๆ “
รอดจากการล้มละลายมาได้ ธุรกิจก็กลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงกลางยุค 90 “ช่วงหลายๆ ปีนั้นดีทีเดียว เราได้ Dino ดีๆ มาบางส่วน เราทำชิ้นส่วนให้โครงรถถอดแบบจาก 250 SWB และไม่เคยเจอช่วงขาลงอีกเลย” Nick บอก ก่อนที่จะล้มละลาย กรรมสิทธิ์ Ferrari ประเทศอังกฤษส่วนใหญ่จะอยู่ในเมืองทางใต้ ปัจจุบันมีรถมากมายและรถสะสมดีๆ 2-3 คันอยู่ทางเหนือ ถึงแม้กิตติศัพท์ของบริษัทจะหมายถึงการที่ลูกค้ายังคงต้องขึ้นมาไกลจากลอนดอน แต่บ่อยครั้งพวกเขาก็ไปเที่ยวตามหุบเขาระหว่างรอรถซ่อม
พวกเขาจะได้เจอกับสถานที่ที่สงบพอสมควร ไกลจากพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของบรรดาสำนักงานทั้งหลาย มีสถานที่ซึ่งเป็นที่รวบรวมประวัติศาสตร์อยู่ รอยสนิมเขียวบ่งบอกถึงกาลเวลาที่ผ่านไปหลายปีซึ่งถูกฝังอยู่ในวัฒนธรรมและตำนานของ Ferrari, ป้ายไฟแบบดั้งเดิม, โปสเตอร์ต่างๆ , ถ้วยรางวัลและพวงหรีดของผู้ชนะ แล้วก็บุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทุกวันนี้ทีมเล็กลงแต่ความรู้กว้างขวางจากวันวานถูกส่งต่อมายังชายหนุ่ม 2 คนที่เริ่มจากการเป็นเด็กล้างรถในวันหยุดตอนนี้พวกเขาเป็นหัวหน้าช่างแล้ว Jonathan (Jon) Smithem เริ่มในปี 1986 และ Gary Goodall เริ่มในปี 1989 พวกเขาชำนาญในการซ่อมรถรุ่นใหม่ๆ และแก้ปัญหาที่มากับรถเหล่านั้น (หลายๆ ปัญหามักจะเกี่ยวกับแบตเตอรี่ที่ชาร์จน้อยเกินไปของรถที่ไม่ค่อยได้ใช้) เพราะพวกเขาซ่อมแต่รถแบบที่ครองอู่อยู่วันนี้ คือ Daytona และ 365 GT4 2+2 รถคันหลังถูกนำกลับมาเข้าประจำการอีกครั้งหลังจากที่จอดนิ่งๆ ไว้10 ปีและเป็นรถที่พวกเขารู้จัก มันถูกเอามาซ่อมที่นี่เมื่อ 20 ปีก่อน
ไม่ว่าจะคุยกับ Jon หรือ Gary ก็เข้าใจได้ชัดเจนขึ้นว่าทั้งคู่คลั่งรถเอามากๆ Smithemหลงใหลใน FordRS ส่วน Goodall ได้ความชื่นชอบในรถอเมริกันมาจากพ่อ พวกเขาทั้ง 2 คนชินกับการเลิกงานแล้วมุ่งหน้าไปยังอู่ซ่อมรถที่บ้านทันที
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่ลูกชายตระกูล Cartwright ทั้ง 2 คนได้เชื้อพ่อมาเต็มๆ “ผมเกษียณเมื่อ 4 ปีที่แล้ว” Nick ทำหน้านิ่ง “เดี๋ยวนี้ผมทำแค่ 6 วันต่อสัปดาห์…” Ben ดูแลเรื่องงานที่จะต้องทำวันต่อวันและเช็คให้มั่นใจว่าได้ชี้แจงรายละเอียดการทำรถทุกคันให้ลูกค้าฟังเวลามารับรถ ในขณะที่ Jim จะดูแลเกี่ยวกับการซ่อมและยกเครื่องใหม่ วันนี้ Jim กำลังซ่อม 360 Challenge Stradaleรถที่เคยพังยับเกินกว่าจะซ่อมได้ แต่หลังจากผ่านไป 4ปี (ตามความเร็วแบบที่เจ้าของรถสะดวก) วันนี้เกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ทั้ง Ben และ Jim ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาเชี่ยวชาญในด้านการขับด้วย พร้อมผลงานที่ยอดเยี่ยมในการแข่งขันด้วยรถ 328 GTB ในรายการ Pirelli formula classic championship ของ Ferrari Owners’ Club
“328 เป็นรถที่ทนทานมากที่สุดและปลอดภัยที่สุดในบรรดา Ferrari ทั้งหมด” Ben บอกพร้อมทำมือบุ้ยใบ้ไปทางรถที่จอดอยู่ข้างนอกที่มีชื่อของเขาอยู่บนกระจกข้าง “รถคันนั้นน่าจะผ่านการแข่งมาสัก 100 ครั้งโดยที่ไม่เคยยกเครื่องใหม่เลย” ทั้ง 2คันถูกเอาไปรวมไว้กับคอลเลกชันเครื่องเงินชุดใหญ่ที่ชั้นบนJim ชนะเลิศในคลาสของเขาในซีรีส์ 4 ครั้ง
ตอนนี้การขาย Ferrari ซบเซามาก เหมือนกับพรีเมียมและรถสะสมคันอื่นๆ “ตอนที่เราไม่ได้ขายรถ งานซ่อมเป็นรายได้หลักสำหรับค่าใช้จ่ายและค่าแรง” Nick กล่าว “แต่เราระมัดระวังเรื่องการรับงานได้มากแค่ไหน พวกบริษัทคู่แข่งเคยเอา Dino มาให้เราซ่อมหลายคันแต่เราก็ไม่สามารถทำได้ คุณทำให้ลูกค้าประจำผิดหวังไม่ได้เด็ดขาด”
บริษัทนี้มีความภาคภูมิใจในตัวเองในเรื่องการใส่ใจรายละเอียดต่างๆ “ผมบอกกับพวกช่างว่า อย่าไปเร่งอะไรมาก เราอยากได้ความไว้วางใจ 100%” Nick เล่า และยังเสริมอีกว่าเรื่องดีๆ ที่เกิดจากการปฏิบัติแบบนั้นทำให้เคยมีการเคลมประกันงานครั้งใหญ่เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น การเตรียมงานก็สำคัญไม่แพ้กัน “เวลาเราซื้อรถมาคันหนึ่ง เราไม่ได้สักแต่ว่าซ่อมมัน เราใส่ใจในทุกรายละเอียดของมัน เราชอบคิดว่าเราเหนือกว่าคนอื่นในด้านการเตรียมงาน”
“เราอาจจะคิดค่าบริการแพงกว่าพวกคู่แข่งนิดหน่อย แต่ผมจะเตรียมรถให้ได้ตามมาตรฐานถึงจะไม่ได้กำไรจากมันเลยก็ตาม เพราะผมรู้ดีว่าลูกค้าจะเอามันกลับมาให้เราเป็นคนดูแลทุกครั้งไป เราเคยไปร่วมงานชุมนุมรถและกวาดรางวัลมาเยอะเลย ตอนนี้เราแค่ยุ่งมากๆ แต่เราอาจจะออกไปประกวดอีกและอวดสิ่งที่เราทำให้ทุกคนได้เห็น”
–
เรื่อง: John Barker
ภาพ: Malcolm Griffiths
เรียบเรียง: Chaiyapongse Limpanonda
นิตยสาร Enzo Magazine
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น