ในยุคทศวรรษ 1950 ไม่ใช่ Ferrari ทั้งหมดจะใช้เครื่องยนต์แบบ V12 เพราะ 750 Monza ที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบที่ให้แรงบิดมหาศาลพิสูจน์ให้เห็นถึงความเหนือชั้นของ Ferrari อย่างชัดเจนและนี่คือความความยิ่งใหญ่ของ Ferrari อีกโมเดลหนึ่ง
เคยมีคำกล่าวว่าเมื่อลูกค้าซื้อเครื่องยนต์ Ferrari ไปแล้วที่เหลือก็เป็นเรื่องของคุณลูกค้าแล้วล่ะครับและนั่นอาจเป็นวิสัยทัศน์ของ Enzo ก็เป็นได้เพราะเครื่องยนต์เป็นหัวใจที่สำคัญที่สุดซึ่งไม่จำกัดว่าคุณจะนำไปวางไว้ในรถยนต์โมเดลไหนตัวถังแบบไหนและนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ว่าทำไม Ferrari จึงไม่รีบร้อนที่จะผลิตเครื่องยนต์วางกลางลำตัวสำหรับรถแข่ง F1 เช่นเดียวกับการปรับเปลี่ยนระบบเบรกมาเป็นระบบดิสค์เบรกตราบใดที่เครื่องยนต์ V12 ของ Ferrari ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม
ซึ่งหากพิจารณาจากมุมมองของคู่แข่งขันแล้วความคิดของ Enzo ก็มีเหตุมีผลในตัวของตัวเองเช่นกัน ครั้งหนึ่งผมเคยมีโอกาสได้ขับ 340 Mexico ปี 1952 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นรถที่ขับยากที่สุดคันหนึ่งซึ่งผมยังจำได้เป็นอย่างดีถึงความรู้สึกที่ได้รับจากเครื่องยนต์ V12 4.1 ลิตรและผมจำได้ว่ามันเป็นความรู้สึกเดียวกับที่เคยได้จาก 375 Plus ซึ่งมีการอัพเกรดเครื่องยนต์ไปเป็นความจุ 4.5 ลิตรที่ดุดันร้อนแรงจนเกือบจะเอาไม่อยู่เลยทีเดียวอย่างไรก็ตามพละกำลังแรงม้ากว่า 400 แรงม้าจากเครื่องยนต์เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดด้วยเช่นกัน
แล้วสำหรับคนที่ชื่นชมหลงใหลใน Ferrari และเครื่องยนต์ V12 จะปันใจมาให้กับเครื่องยนต์ 4 สูบที่มีการผลิตออกมาใช้งานในช่วงทศวรรษ 1950 ได้อย่างไร สำหรับผมแล้วสามารถบอกได้เลยว่าผมพยายามที่จะไม่นึกถึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นเลย
เครื่องยนต์ 4 สูบกับ Ferrari? คุณอาจจะคิดว่าเครื่องยนต์ V12 ของ Ferrari มันก็เหมือนกับไวโอลิน Stradivarius ที่ขึ้นสายไว้แล้วเป็นอย่างดีแล้วจากนั้นก็มีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นสิ่งพิเศษเกิดขึ้น ซึ่งจากหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาและในสถานที่ที่ถือเป็นเมกกะแห่งโลกความเร็วอย่าง Le Mans, Spa และ Goodwood แล้วรถที่ผมเลือกนำไปประลองความเร็วในสถานที่เหล่านั้นคือ Ferrari 750 Monza!
แต่เชื่อหรือไม่ว่ารถที่ผมใช้ในการแข่งขันเหล่านั้นไม่ได้เป็นรถที่ผมต้องควักกระเป๋าหาซื้อมาเลยแต่เป็นความเอื้อเฟื้อจากสุภาพบุรุษใจดีที่ให้ความวางไว้ใจในตัวผมมอบของรักของหวงของเขาที่ยังคงสภาพดั้งเดิมแบบเมื่อครั้งยังอยู่บนโชว์รูมให้มาอยู่ในการบังคับควบคุมของผมซึ่งเขาผู้นั้นคือ Mike Sparken(หรือ Michel Poberejsky) ซึ่งเขาเคยนำรถคันนี้คว้าชัยชนะในการแข่งขัน Agadir GP ปี 1955 มาแล้วก่อนที่จะเกือบมาคว้าชัยชนะในการแข่งขันที่ Goodwood ในปีเดียวกันแต่โชคร้ายที่โดนปรับให้ไปอยู่ในอันดับที่ 2 จากการจัมพ์สตาร์ท จากนั้นเดินทางไปแข่ง Le Mans ปี 1955 ที่ถือเป็นโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของการแข่งขันรายการนี้โดย Mike Sparken จับคู่กับ ‘Kansas Flash’ Masten Gregory ผลัดกันทำหน้าที่อยู่หลังพวงมาลัยแต่ก็ต้องออกจากการแข่งขันไปหลังจากเริ่มต้นการแข่งขันไปได้เพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น
ครั้งแรกที่ผมได้ขับ 750 Monza เกิดขึ้นในปี 2006 ที่ Silverstone แต่ก็เป็นภายหลังจากที่ผมได้มีประสบการณ์กับการได้ขับรถที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ยานยนต์โลกหลายโมเดลหลายรุ่นมาก่อนหน้านี้แล้วเป็นเวลานานพอสมควรอย่างไรก็ตามต้องบอกว่าความเครียดความวิตกกังวลยังมีอยู่เช่นเดิมเหมือนทุกครั้งที่ได้มีโอกาสขับรถเหล่านี้มันไม่ใช่แค่เพียงราคาค่าตัวของรถเหล่านี้ที่ลำพังเงินที่หาได้มาทั้งชีวิตคงไม่พอที่จะชดเชยให้กับสิ่งที่ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้ขณะที่ผมกำลังอยู่รถคันนั้น ๆ ได้แต่โดยเนื้อแท้แล้วอาจจะไม่ได้เป็นเรื่องของเงินทองค่าตัวของรถเท่าไหร่นักเพราะเจ้าของยินยอมพร้อมใจให้ผมได้ทดลองขับรถของพวกเขาแต่มีเรื่องของเครื่องยนต์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เครื่องยนต์ของ 750 Monza คันนี้ฟังดูแปลก ๆ มันเหมือนกับเวลาที่คนเราใจจรดใจจ่อกับการที่จะได้ดื่มด่ำบทเพลงที่ขับขานโดยนักร้องเสียงโซปราโนชื่อดังระดับโลกแต่เสียงเพลงนั้นกลับมีท่วงทำนองของเพลงในยุคปัจจุบันผสมปนเปเข้าไปด้วย
ขณะที่ Ferrari พัฒนาเครื่องยนต์ V12 3 ลิตรสำหรับ Testa Rossa ที่สามารถทำรอบเครื่องยนต์ได้ถึง 8,000 รอบต่อนาทีในทุก ๆ เกียร์ในหลายต่อหลายชั่วโมงตามที่คุณต้องการ ผมได้รับคำแนะนำว่า 6,000 รอบต่อนาทีเป็นจุดจำกัดของเครื่องยนต์ของ 750 Monza ที่แท้จริงแต่เมื่อผมทำความเร็วขึ้นไปอยู่ที่ 6,200 รอบต่อนาทีผมคาดว่าจะต้องได้ยินเสียงที่บ่งบอกถึงความยุ่งยากความเสียหายตามมาหลังจากนั้นไม่นาน
แต่ผมคิดผิด เครื่องยนต์ของ 750 Monza มีพละกำลังแรงม้า 260 แรงม้าซึ่งเมื่อย้อนไปในปี 1955 อยู่ระดับเดียวกับเครื่องยนต์ของ Jaguar D-type และอาจจะเหนือกว่าเครื่องยนต์ของ Aston Martin DB3S ด้วยซ้ำ จะเป็นรองก็แต่เครื่องยนต์ของ Mercedes 300SLR เท่านั้นแต่ในการแข่งขันของรถแข่งที่เคยโด่งดังในอดีตในช่วงเวลาปัจจุบันนี้ไม่มี Mercedes 300SLR ปรากฏให้เห็นแล้วแต่มีรถแข่ง Aston และ Jaguar ที่มีปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ที่มีสมรรถนะพละกำลังสูงกว่าเครื่องยนต์เดิมเมื่อครั้งยังเป็นรถใหม่อีกทั้งยังมีพละกำลังที่มากกว่า750 Monza ให้เห็นอยู่เป็นจำนวนมาก แต่สำหรับ 750 Monza แล้วในปี 1955 มันมีพละกำลัง 260 แรงม้าและยังคงมีอยู่เช่นนั้นเมื่อเวลาผ่านพ้นไปกว่าครึ่งศตวรรษ อย่างไรก็ตามหากคุณอยากได้พละกำลังที่เพิ่มมากขึ้น Ferrari จัดให้ด้วยเหมือนกันโดยบรรจุเครื่องยนต์ 3.4 ลิตรลงไปใน Ferrari 860 Monza 860 นั่นเอง
สำหรับผมมันไม่ได้ใช้เวลาเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ ในการที่จะได้ขับ 750 Monza เพราะเครื่องยนต์อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อม แต่ผมก็คาดหวังอยู่ลึก ๆ ว่าบรรดา Jaguar ที่มีเครื่องยนต์บล็อกใหญ่กว่าสมรรถนะเหนือกว่าแถมยังมีระบบเบรกแบบดิสค์เบรกทั้งหลายจะไม่ปรากฏตัวอยู่บนแถวสตาร์ทในทุก ๆ การแข่งขัน ชื่อเสียงและประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาค่อนข้างทำให้ผมกังวลใจอยู่เช่นกัน
แล้วการแข่งขันที่ Dijon ก็มาถึง Dijon เป็นหนึ่งในสนามแข่งความเร็วทางเรียบที่ดีเยี่ยมที่สุดในโลก ทุก ๆ โค้งและเส้นทางตรงมีเรื่องราวที่น่าสนใจให้จดจำเกิดขึ้นเป็นประจำ ผลการจับเวลารอบควอลิฟายผมและรถ 750 Monza ทำเวลาได้ในอันดับกลาง ๆ และเมื่อถึงวันแข่งขันจริงปรากฏว่าพื้นผิวทางวิ่งมีความเปียกชื้นซึ่งดูเผิน ๆ แล้วไม่น่ามีปัญหาอะไรสักเท่าไหร่กับการแข่งขันแต่สำหรับผมแล้วน่าจะสร้างปัญหาไม่ใช้น้อยเพราะผมไม่เคยขับรถแข่งบนพื้นทางวิ่งแบบนี้มาก่อน
ดังนั้นสิ่งที่ผมทำคือการขับด้วยความระมัดระวังมากขึ้นเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้นกับตัวรถซึ่งผมก็แปลกใจเหมือนกันที่เห็นนักแข่งและรถแข่งอื่น ๆ ก็ทำแบบเดียวกับผมหรืออาจจะระมัดระวังมากกว่าผมเสียด้วยซ้ำทำให้ผมสามารถแซงรถแข่งคันอื่น ๆ ทำอันดับดีขึ้นและดีขึ้นและเมื่อผ่านครึ่งทางของการแข่งขันผมพบว่ากำลังแข่งเพื่อเป็นผู้นำการแข่งขันโดยมีคู่แข่งเป็น Gregor Fisken ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์คลาสสิคและนักแข่งรถคลาสสิคที่มีชื่อเสียงในรถแข่ง Aston Martin DB3S
เป็นการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมจนทำให้ผมต้องคิดว่านี่ผมอยู่ที่นี่จริงๆ หรือ กำลังทำสิ่งนี้อยู่จริง ๆ หรือ แต่ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมระหว่างการแข่งขันกับ Gregor Fisken คงอยู่ได้ไม่นานเพราะ Gregor ได้นำรถเข้าพิทเพื่อเปลี่ยนหน้าที่กับเพื่อนร่วมทีมของเขา แต่ถึงกระนั้นในการแข่งขันยังเหลือรถแข่ง Jaguar D-type เป็นคู่แข่งสำคัญอยู่อีก ผมขึ้นเป็นผู้นำได้ระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะจบการแข่งขันในอันดับที่ 3 หลังจากที่ผลัดเปลี่ยนให้กับเจ้าของรถได้เป็นผู้ทำการแข่งขันแทนก่อนที่เขาจะเบรกอย่างรุนแรงทำให้รถหมุนเสียการทรงตัวเพื่อหลีกเลี่ยงกับการชนเข้ากับรถคันอื่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันดับในที่สุด อย่างไรก็ตามผลการแข่งขันไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่ สิ่งสำคัญคือผมมีความสุขที่ได้ขับ Monza 500 มากที่สุดเมื่อเทียบกับรถคันอื่น ๆ ที่ผมได้เคยขับมาซึ่งมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมคาดหวังเอาไว้เลย และเครื่องยนต์ 4 สูบดั้งเดิมที่อยู่กับ 750 Monza คันนี้คือหัวใจสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างคาดไม่ถึงนี้
และสิ่งที่ Dijon สอนผมก็คือผมใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องในการขับรถ สิ่งที่ผมตั้งเป้าไว้คือขับให้นุ่มนวล ค่อยเป็นค่อยไปแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ 750 Monza และเครื่องยนต์ประจำรถต้องการคือการแข่งขันและถ้าถามถึงส่วนประกอบต่าง ๆ บอกได้เลยผมไม่ได้สังเกตถึงสิ่งเหล่านั้นในทันทีทันใด สรุปสั้น ๆ ได้ว่าเครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยมนี้วางตำแหน่งเอาไว้หลังเพลาหน้าสามารถถ่ายทอดแรงบิดเข้าไปในตัวรถได้อย่างดีเยี่ยมประกอบกับการมีช่วงฐานล้อที่สั้น, การวางตำแหน่งห้องเกียร์ไว้ด้านหลังและตำแหน่งของเพลาหลังแบบท่อ de Dion รวมถึงการกระจายน้ำหนักทางด้านหลังที่สมดุลซึ่งทั้งหมดทำให้เราไม่ต้องกังวลกับเรื่องน้ำหนักเมื่อเข้าโค้งเลย
ชัดเจนว่าเครื่องยนต์ไม่ได้เป็นแหล่งกำเนิดแรงบิดทั้งหมดแต่ยังรวมไปถึงชุดเพลาส่งกำลังและระบบกันสะเทือนหลังแบบท่อ de Dion ด้วย ที่ Dijon นี้ Monza แสดงให้เห็นแล้วถึงความสามารถในการออกจากโค้งได้อย่างรวดเร็วกว่ารถแข่งคันอื่น ๆ ในขณะที่รถแข่ง Jaguar ที่มีระบบส่งกำลังติดตั้งทางด้านหน้าและชุดเพลาท้ายต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการรับมือกับการเข้าและออกโค้ง
ผมหลงรักเครื่องยนต์นี้ รักในเสียงที่บ่งบอกถึงความร้อนแรง เร้าอารมณ์และยิ่งหลงรักมากขึ้นเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ขึ้นในแพดด็อกของ Goodwood และสังเกตเห็นว่าบรรดาผู้เฝ้ารอคอยเสียงที่รุนแรงเร้าใจของเครื่องยนต์ Colombo V12 ถูกกระชากความสนใจไปในทันทีทันใดจากเสียงเครื่องยนต์ Lampredi 4 สูบนอนเครื่องนี้ ในความเป็นจริงมีลักษณะพิเศษเพียงอย่างเดียวที่เครื่องยนต์นี้ใช้ร่วมกับเครื่องยนต์มากสูบของค่ายเดียวกันนั่นคือความรู้สึกถึงสิ่งที่จะไม่แตกหักหรือชำรุดเสียหายอย่างหนักจนเกินเยียวยาได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสที่จะเกิดความเสียหายขึ้นได้เลยหากคุณใช้ให้มันทำงานจนเกินรอบเครื่องที่กำหนดไว้อย่างยาวนานแต่ถ้านำไปเทียบเคียงกับเหล่าบรรดาชิ้นส่วนต่าง ๆที่มีการขยับตัวหรือมีการเคลื่อนไหวขณะทำงานแล้วจะเห็นว่าชิ้นส่วนเหล่านั้นของเครื่องยนต์นี้มีขนาดที่ใหญ่ชิ้นส่วนประเภทเดียวกันที่ใช้อยู่ใน Testa Rossa ถึง 3 เท่าเลยทีเดียว อีกทั้งช่วงชักกระบอกสูบยังยาวกว่าเกือบครึ่งเท่าตัว(90 มม. Vs 58.8 มม.) และผลที่เกิดขึ้นคือลูกสูบทำงานด้วยความเร็ว 6,000 รอบต่อนาที และถ้ายังเดินคันเร่งต่อไปจนเข็มความเร็วรอบเครื่องไปแตะที่เส้นแดงบนหน้าปัดรอบเครื่องยนต์ของ Veglia แล้วคุณจะประทับใจมากขึ้น
ผมได้ขับ 750 Monza ครั้งสุดท้ายในปี 2015 ในการแข่งขันรายการพิเศษ Goodwood Revival ที่จัดขึ้นสำหรับ Ferrari ที่ใช้ดรัมเบรกโดยเฉพาะ วันนั้นมีรถอยู่บนแถวสตาร์ทรวมทั้งสิ้น 23 คันเป็นการรวมรถแข่งที่นั่งเดียวที่มีมูลค่ารวมกันสูงสุดที่ Goodwood สำหรับรถแข่ง 3 คันที่อยู่ในตำแหน่งสตาร์ทหัวแถวเป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบทั้งหมดรวมถึงรถของผมด้วยโดยมี 750 Monza ของ Carlos Monteverde อยู่ด้านหน้าซึ่ง Carlos นอกจากจะเป็นเจ้าของ 750 Monza แล้วยังเป็นเจ้าของ Testa Rossa เครื่องยนต์ V12 อีกด้วย เขาบอกกับผมว่า Monza ไม่เพียงแต่จะเร็วกว่าคู่แข่งทั้งหมดแล้วยังเหมาะกับสนามแข่งที่ต้องใช้พละกำลังสูงเป็นพิเศษนอกจากนี้ยังให้อรรถรสในการขับขี่มากกว่าอีกด้วย
ในตอนแรกผมวางแผนว่าจะยึดอันดับที่ 3 เอาไว้ให้นานที่สุดโดยปล่อยให้ 2 คันด้านหน้าแข่งขันกันเพื่อตำแหน่งผู้นำ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นคนที่ชื่นชอบที่จะมีความสุขเมื่อเห็นผู้อื่นกำลังลำบากแต่ผมคงจะเป็นคนขี้โกหกแน่นอนถ้าผมปฏิเสธว่าผมไม่เคยคิดแบบนั้นหรืออยากให้รถคันอื่น ๆ มีอันต้องเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดและปล่อยให้ผมและรถแข่งของผมแซงผ่านพวกเขาเพื่อวิ่งผ่านธงตราหมากรุกที่ Goodwood นี้ไปเป็นคันแรกหลังจากที่เคยถูกปฏิเสธมาแล้วในปี 1955 ซึ่งมันไม่ควรเกิดขึ้นอีก อย่างไรก็ตามในขณะที่เหลือเวลาในการแข่งขันอีกเพียง 5 นาทีและตำแหน่งบนโพเดี้ยมอยู่ในกำมือของผมแล้วแต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกับตัวผมมีเสียงดังปังดังขึ้นทางด้านหลังตามด้วยความเร็วของรถที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นในจุดที่เพลากลางเชื่อมต่อกับห้องเกียร์ เป็นอันสิ้นสุดการแข่งขันสำหรับผมในขณะที่เครื่องยนต์ยังคงทำงานเป็นปกติดี
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น 10 ฤดูกาลกับ 750 Monza สิ้นสุดลง, 10 ฤดูกาลแข่งขันกับการฟังเสียงที่คุ้นเคย เสียงที่ครั้งแรกทำให้ผมตระหนกตกใจแต่ไม่นานก็กลายเป็นเสียงที่สร้างความประทับใจให้กับผม สุดท้ายยังเป็นเสียงที่อยู่เคียงข้างผมขณะที่นั่งอยู่ที่ขอบสนามเฝ้าดู V12 Tour de France คว้าชัยชนะในการแข่งขันรายการนี้ไป ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผมมีความสุขอย่างมากกับการแข่งขันและ Monza 750
Specification
ENGINE In-line 4-cyl, 2953cc
MAX POWER 260 bhp @ 6000rpm
MAX TORQUE 269lb ft @ 4800 rpm
TRANMISSION Four-speed
Manual transaxle, limited-slip diff
SUSPENSION Front: unequal-length
Wishbones, transverse leaf spring,
Hydraulic dampers. Rear: de Dion
Axle, twin radius arms, semi-elliptic
Leaf springs, hydraulic dampers
STEERING Worm and roller
BRAKES Drums front and rear
TYRES 5.25 x 16 front, 6.00 x 16 rear
WEIGHT 850kg
POWER TO WEIGHT 311bhp/ton
TOP SPEED c150mph
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น