กติกาการแข่งขันรถยนต์ Group B คือกติกาการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบและแรลลี่ที่กำหนดขึ้นโดย FIA เมื่อปี ค.ศ.1982 กติกาการแข่งขันนี้ถือเป็นจุดกำเนิดรถแข่งที่มีพละกำลังมากมาย, วิ่งได้เร็วมากและอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงสุดเท่าที่เคยมีมาเนื่องจากว่ามันเป็นกฏการแข่งขันที่มีข้อบังคับไม่มาก มีข้อกำหนดหลักเรื่องจำนวนรถที่ต้องผลิตออกจำหน่ายไม่ต่ำกว่า 200 คันและข้อห้ามอีกเพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น ซี่งการใช้เครื่องยนต์ที่มีระบบอัดอากาศอย่างเทอร์โบหรือการใช้วัสดุคุณภาพสูงที่มีน้ำหนักเบาเช่นคาร์บอนไฟเบอร์ก็ไม่ได้รวมอยู่ในข้อห้ามของกติกาชุดนี้ อิสรภาพทางการออกแบบนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากบรรดาวิศวกรผู้ออกแบบรถแข่ง ส่งผลให้เกิดรถยนต์ที่มีความโดดเด่นในด้านความแรงขึ้นมากมาย อาทิเช่น Ford RS200, Lancia 037, Porsche 959 และในช่วงปี ค.ศ. 1986 รถแข่งแรลลี่ใน Group B ก็ถูกพัฒนาไปจนมีพละกำลังเกือบ 500 แรงม้าทำให้มันเป็นรถที่ถูกกล่าวถึงจนถึงทุกวันนี้
ช่วงนั้นเอง Ferrariจึงตัดสินใจที่จะเข้าสู่สนามรบนี้ด้วย และได้เริ่มพัฒนารถยนต์ในGroup B ขึ้นสำหรับการแข่งขันทางเรียบและรวมถึงยังมองไปถึงการเข้าร่วมแข่งขันแรลลี่ที่เน้นทางเรียบเป็นหลัก (Tarmac-based Rally)อีกด้วย เจ้า 288 GTO นี้เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1984 ด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ V82.8 ลิตรที่พัฒนาต่อมาจาก 308/328 (FIA เทียบเครื่องยนต์ 2.8 ลิตรเทอร์โบเท่ากับเครื่องยนต์ 4.0 ลิตรที่ไม่มีระบบอัดอากาศ)หัวหน้าทีมวิศวกรผู้ออกแบบ 288GTO นี้คือ Dr. Harvey Postlethwaite ผู้ซึ่งออกแบบรถแข่ง F1 ในขณะนั้น นั่นทำให้ 288 GTO นี้มีทุกอย่างที่คุณต้องการจากรถที่ถือป้าย GTO*1จากค่ายม้าลำพองนี้: ปราดเปรียวรวดเร็ว, สง่างาม และเปี่ยมไปด้วยออร่า
เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ท้ายที่สุดแล้ว Ferrari 288 GTO ไม่ได้เติมเต็มจุดมุ่งหมายของมันเพราะว่ามันไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันใดๆเลย อันมีสาเหตุมาจากทีมแข่งขันอิสระ(Privateer team)ผู้ว่าจ้างตัดสินใจลงแข่งขันในรุ่นสปอร์ตคาร์ที่มีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าแทน ประกอบกับการการที่ FIA ตัดสินใจที่จะยกเลิกกฏการแข่งขัน Group B ไปในปี ค.ศ. 1986 (นับเป็นช่วงเวลาเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้น) เนื่องจากมีอุบัติเหตุจนทำให้เกิดการเสียชีวิตของนักแข่ง Henry Toivonen และ Sergio Cresto ในรายการแข่งขัน Tour de Corse แต่ 288 GTO ก็ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสนใจของ Ferrari ในการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในรถยนต์ของพวกเขาและในขณะเดียวกันก็สร้างสรรค์รถยนต์ระดับซุปเปอร์คาร์แห่งยุคนั้นเลยทีเดียว288GTO ถูกผลิตขึ้น 272 คัน ภายในระยะเวลา 3 ปี และได้กลายเป็นหนึ่งในรถยนต์ Ferrari ที่มีผู้ปรารถนาจะครอบครองมากที่สุดรุ่นนึง
เมื่อเปรียบเทียบกับคู่ปรับของมันในวันนี้F40 ที่ถูกผลิตขึ้นแทนที่ 288 GTO ในปี ค.ศ. 1987 มันมียอดขายมากถึง 1300 คันภายในระยะเวลา 5 ปี มันอาจจะดูเหมือนไม่น่าสนใจเท่ากับรุ่นพี่ของมันแต่ความจริงแล้วมันแรงและเร็วกว่าแถมเป็นที่พึงปรารถนาพอ ๆ กัน และด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้วันทดสอบรถของเราวันนี้เป็นวันหนึ่งที่น่าจดจำ
ครั้งแรกที่นิตยสาร Motor ไปรับหนึ่งใน 288 GTO คันแรก ๆ เพื่อมาทดสอบนั้นมันทำให้พวกเขาอึ้งไปชั่วขณะเนื่องจากทุกคนคาดหวังว่ามันควรจะมีรูปร่างเหมือนกับ 308 ที่มีแค่สมรรถนะสูงขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อต่อกรกับเหล่าอสูรใน Group B จะต้องมีสมรรถนะเหนือขึ้นไปอีกขั้น
แม้รูปทรงภายนอกของ 288 GTO กับ 308 มีความคล้ายคลึงกัน แต่ชิ้นส่วนที่ใช้ร่วมกันจริง ๆ แล้วมีแค่เพียงหลังคา,บานกระจกและส่วนอื่นอีกเล็กน้อยเท่านั้น 288GTO มีบอดี้ที่กว้างกว่าเพื่อให้รับกับความกว้างฐานล้อและหน้ายางที่กว้างมากขึ้น และความยาวตัวรถก็ยาวขึ้นเช่นกันเนื่องจากการวางเครื่องยนต์ V8 ที่แทนที่จะวางตามขวางตัวรถเหมือนใน 308 เครื่องยนต์กลับวางตามความยาวของตัวรถ ซึ่งทำเพื่อที่จะรองรับชุดอุปกรณ์เทอร์โบคู่ของ IHI,อินเตอร์คูลเลอร์และหัวฉีดรุ่นใหม่ของ Weber-Marelli ส่วนเรื่องของน้ำหนักรถนั้น Ferrari ลดน้ำหนักลงด้วยการเลือกใช้วัสดุอย่าง Kevlar และ Carbonfiber ผสานเข้ากับโครงแชสสีแบบ Tubular ซึ่งต่างกับ Semi-Monocoqueของ 308 ผลลัพธ์ที่ได้คือรถที่มีน้ำหนัก 1,161 กิโลกรัม ซึ่งเบากว่า 308 ถึง 110 กิโลกรัม และมีแรงม้าเพิ่มขึ้นจาก 240 แรงม้าเป็น 400 แรงม้าหากดูแรงม้าที่เพิ่มขึ้นแล้วเสมือนว่ามันคือรถในคนละรุ่นกันเลยทีเดียว
เมื่อผมเดินเข้าใกล้เจ้า 288GTO คันนี้ มันช่างดูดุดันน่าเกรงขามราวกับว่ามันพร้อมที่จะเข้าจู่โจมผมได้ทุกเมื่อ บั้นท้ายที่กว้างออกประดับด้วยช่องระบายอากาศของมันทำให้ผมนึกถึงรถยนต์ที่มีรูปลักษณ์สวยงามเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์โดดเด่นอย่าง 250GTOและแล้วก็ถึงเวลาก้าวเข้าภายในรถจากที่ Harvey Standleyแห่ง DK Engineering เล่าให้เราฟังว่าเมื่อตอนที่เจ้า 288 GTO นี้ถูกผลิตขึ้นผู้ซื้อสามารถเลือกขนาดเบาะที่นั่งได้ระหว่างขนาดเล็กกับขนาดใหญ่นี่คงเป็นเบาะไซส์เล็กเพราะมันขับดูเล็กและกระชับไปซักหน่อยธรรมดาเบาะจะเป็นเบาะผ้าสีแดง แต่ผู้ซื้อก็สามารถจ่ายเงินเพิ่มเพื่อเปลี่ยนเป็นเบาะหนังแท้ได้เช่นเดียวกันกับการเพิ่มออฟชั่นอื่น ๆ อย่างระบบปรับอากาศและกระจกข้างแบบไฟฟ้า เจ้า 288 GTO คันนี้เต็มไปด้วยออฟชั่นทุกอย่างครบครับ มันคงจะเป็น GTO ตัวท๊อปที่สุดที่ทุ่มงบไม่จำกัดอย่างแน่นอน
เมื่อนั่งอยู่ในที่นั่งคนขับก็จะพบกับหน้าปัทม์คู่สองวงใหญ่ วงหนึ่งคือความเร็วที่มีความเร็วสูงสุดที่ 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (หรือเท่ากับ 200 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งถือเป็นระดับที่บ้ามาก/สูงมาก) อีกวงหนึ่งคือความเร็วรอบโดยที่รอบสูงสุดคือ 10,000 รอบต่อนาทีและเรดไลน์เริ่มต้นที่ 7,800 รอบต่อนาที ระหว่างกลางมีเกจ์วงเล็กอีกสองวงที่แสดงถึงบูสท์ของเทอร์โบกับแรงดันน้ำมันเครื่อง ส่วนกลางของคอนโซลหน้ายังมีหน้าปัทม์อีกสามชิ้นคือปริมาณน้ำมัน, อุณหภูมิน้ำระบายความร้อนและอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบ ความจุ 2,855 ซีซี ถูกสตาร์ทขึ้นในทันที ผมก็นั่งมองการทำงานของหน้าปัทม์ต่าง ๆ และรอให้เครื่องยนต์อุ่นขึ้นอย่างใจเย็น ท่อไอเสียเดิมที่ติดมากับรถ 288 GTO นั้นจะเป็นแบบ 4 ท่อที่ปล่อยออกข้างซ้ายและขวาด้านละคู่ แต่สำหรับ 288 GTO คันนี้ซึ่งก็เหมือนกับ 288 GTO คันอื่น ๆ คือมันได้รับการเปลี่ยนท่อไอเสียใหม่เป็นสองท่อคู่ซ้าย–ขวาของ Ansa ที่ให้ซุ่มเสียงน่าอัศจรรย์ไม่น้อย แค่การแตะคันเร่งเร่งเครื่องเล็กน้อยมันก็สามารถส่งเสียงแหบแห้งและเร้าอารมย์ออกมา
ผมเข้าจับคันเกียร์โยกเข้าหาตัวแล้วผลักไปด้านหลังเพื่อเข้าเกียร์หนึ่งแล้วออกรถ ผมออกตัวไปอย่างช้า ๆ และนุ่มนวล พวงมาลัยแบบไม่มีระบบช่วยผ่อนแรงค่อย ๆ เริ่มเบาลงเมื่อรถเคลื่อนที่ ผมขับไปด้วยความเร็วรอบราว ๆ 3,500 rpm ยางหน้าขนาด 225/50 ZR16 และยางหลัง 255/50 ZR16 ให้ความรู้สึกที่มั่นคง แม้จะวันนี้เป็นวันที่ร้อนแต่ระบบปรับอากาศก็ทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดีอุณหภูมิทำให้ภายในห้องโดยสารยังเย็นสบาย ซึ่งสำหรับรถที่ดุดันเช่นนี้มันทำได้ดีมากจนให้ผมอดสงสัยว่าทำไมหลายคนถึงชอบต่อว่ามันนัก
หลังจากขับรอบสนามสอง–สามรอบผมก็เริ่มคุ้นเคยกับ 288 GTO คันนี้ จากนั้นผมลองกดคันเร่งจนมิดเครื่องยนต์ตอบสนองราวกับมีปิศาจเข้าสิงเปรียบเสมือนกับว่า Dr.Jekyllได้แปลงร่างเป็น Mr. Hyde ล้อหลังทั้งสองหมุนฟรีขณะที่ท้ายของรถก็ถูกกดลงแล้วเทอร์โบก็เริ่มทำงานทำให้โทนเสียงของท่อไอเสียที่หยาบกร้านเปลี่ยนเป็นเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดและเข็มวัดรอบก็ตวัดขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่ 7,000 rpm รถมีแรงดึงกระชากจนหลังของผมติดเบาะ ผมเปลี่ยนเกียร์จากสองไปสู่เกียร์สามและเหยียบคันเร่งจนมิดอีกครั้ง อัตราเร่งของมันยังคงมากมายมหาศาลจากนั้นผมก็เปลี่ยนเกียร์เข้าสู่เกียร์สี่อย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยการพลักคันเกียร์ไปข้างหน้า–ดันออกข้างและพลักไปข้างหน้าอีกครั้ง อาจฟังดูช้าแต่จริง ๆ แล้วมันเกิดขึ้นในชั่วพริบตาด้วยความแม่นยำ ผลลัพธ์ที่ได้คือการเปลี่ยนเกียร์ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะจินตนาการได้
288 GTO มีเบรคที่ยอดเยี่ยมมันควบคุมได้ง่ายและจับยึดจานเบรคอย่างหนักแน่นช่วงล่างของมันให้ความรู้สึกค่อนข้างแข็งกระด้างในช่วงความเร็วต่ำแต่ในช่วงความเร็วสูงมันกลับให้ความรู้สึกผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความนุ่มนวลและการควบคุมรถที่แม่นยำมันทำให้ผมรู้สนุกสนานไปกับมัน ขณะเดียวกันผมก็ต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเจ้ารถคันนี้มีราคาสูงถึงเกือบ 2 ล้านปอนด์และผมก็ได้สัญญากับ David Cottingham และ Harvey Stanley ไว้แล้วว่าผมจะดูแลมันเป็นอย่างดีในย่านความเร็วที่ผมขับทดสอบในวันนี้มันให้การตอบสนองที่ดีและควบคุมง่าย แต่ผมก็รู้ดีว่ามันจะควบคุมยากขึ้นมากถ้าหากเราขับมันจนถึงลิมิตและแทบที่จะเป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมมันถ้าหากรถสูญเสียการทรงตัวไปแล้วถ้าหากมีใครที่ไม่ระวังและขับเจ้า 288 GTO เข้าโค้งขณะที่เทอร์โบไม่ทำงานแต่เพลอเหยียบคันเร่งมากเกินไป ณ. กึ่งกลางโค้ง คนขับก็จะเสียการควบคุมรถไปในทันทีและทำให้ใครก็ตามที่นั่งไปเกิดอาการตื่นตระหนกขึ้นนั่นคือเหตุการณ์ที่ผมพยามอย่างถึงที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้นกับผมในวันนี้
อย่างที่ได้กล่างไปแล้วมันช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ Ferrari 288GTO คันนี้ไม่มีโอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเองในการแข่งขันในรุ่น Group B แต่ในฐานะรถซุปเปอร์คาร์และตัวแทนของเทคโนโลยีช่วงต้นยุค 80 แล้ว มันถือเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ดีที่สุดของยุคนั้นเลยทีเดียว
F40 อาจไม่ได้ดูโค้งมนสละสลวยเหมือนอย่าง 288GTO แต่มันก็ดูดุดันกว่าด้วยลักษณะรถที่เตี้ยติดพื้น, สปอยเลอร์หลังทรงสูงและเต็มไปด้วยช่องรับลม Naka duct บนฟากระโปรงหน้า–หลังและข้างตัวรถฝากระโปรงหลังที่ลาดลงไปถึงท้ายรถมีพลาสติก Perspex แบบใสที่มีช่องรับระบายอากาศเผยให้เห็นเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ V8 2.9 ลิตร ที่มองที่ไรก็ทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหว่ะแทบทุกครั้งไป
แม้ครั้งสุดท้ายที่ผมได้มีโอกาสขับ F40 จะผ่านมานานถึง 10 ปีแล้ว แต่พอผมได้ก้าวข้ามผ่านขอบประตูคาร์บอนไฟเบอร์และหย่อนตัวลงบนเบาะมันยังให้ความรู้สึกที่คุ้นเคย เบาะบักเก็ตซีทที่ทำขึ้นจากคาร์บอนไฟเบอร์บุด้วยผ้าสีแดงสดมีให้เลือกด้วยกัน3 ขนาด; S, M, L หรือหากคุณเป็นคนร่างใหญ่ก็ยังสามารถสั่งให้ติดตั้งเบาะรุ่นพิเศษได้อย่างเช่นที่ Pavarotti เลือกเบาะแบบ Testarossaให้กับ F40 ของเขาแต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ขับ F40 คันนั้น
พอเข้ามานั่งอยู่ภายใน F40คันนี้มันเหมือนกับได้นั่งอยู่ในรถแข่ง หน้าปัทม์บอกความเร็วมีความเร็วสูงสุดถึง 320kph (หรือเท่ากับ 240 mph)วางอยู่คู่กับเกจ์วัดความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่อยู่ทางด้านขวา ทางด้านนอกฝั่งซ้ายและขวายังมีเกจ์วัดอีกสองตัวคืออุณหภูมิน้ำหล่อเย็นและวัดบูสท์ 0-1.5 บาร์ ส่วนเกจ์บอกอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง, แรงดันน้ำมันเครื่องและปริมาณน้ำมันถูกวางเรียงไว้บริเวณกลางคอนโซลหน้าที่ถูกหุ้มไว้ด้วยสักหลากสีเทาดำ เข็มขัดนิรภัยเป็นแบบ 4 จุดกระจกมองข้างทั้งสองข้างของตัวรถให้มุมมองที่กว้างจนมองเห็นถึงด้านหลังของรถตัวทำงานแทนที่กระจกมองหลังที่แทบจะมองอะไรไม่เห็นได้ดีพอสมควร แผงประตูด้านในทำจากคาร์บอนไฟเบอร์มีช่องสำหรับสายเคเบิ้ลสำหรับดึงเปิดประตูและยังมีสวิตช์ที่มีมาร์คกำกับไว้ว่า Fire สำหรับเปิดระบบดับเพลิงอีกด้วย
F40 แตกต่างกับ 288GTO ตรงที่ว่ามันไม่ได้ถูกผลิตขึ้นเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน ทว่ามันมีพัฒนาการมาจากรถแข่ง (ซึ่งในภายหลังมีผู้นำรถรุ่นนี้ไปทำเป็นรถแข่งและร่วมแข่งขันใน GT หลากหลายซีรี่ย์และได้รับความสำเร็จไม่น้อย) จุดเชื่อมต่อระหว่างรถ 288 GTO กับ F40 ก็คือรถรุ่น 288 GTO Evoluzione ซึ่งถูกพัฒนาโดย Ferrari ในยุคสมัยที่พยายามแสวงหาความรุ่งโรจน์ในการแข่งขันรุ่น Group B อยู่
288GTO Evoluzione ถูกผลิตขึ้นเพียงแค่ 5 (หรือ 6) คันเท่านั้นและทั้งหมดก็เป็นรถสำหรับแข่งขัน มันมีน้ำหนักแค่ 940 กิโลกรัม ซึ่งน้อยกว่า 288 GTO รุ่นธรรมดาถึง 380 กิโลกรัม ในขณะที่มีพละกำลังมากถึง 650 แรงม้า เทียบกับรุ่นสแตนดาร์ตมีแรงม้า 400 แรงม้า Evo สามารถทำความเร็วสูงสุดได้มากกว่า 220mph (350kph)ภายนอกถูกดัดแปลงด้วยกันชนหน้าที่มาพร้อมลิ้นหน้าและมีสปอยเลอร์หลังทรงสูง –ซึ่งหากเปรียบเทียบแล้วมันก็เหมือนกับว่า F40 ได้ถอดแบบมาจากเจ้า Evo นี้นั่นเอง– แน่นอนว่า Evo นั้นมีเบรคที่ใหญ่กว่าและล้อที่กว้างขึ้นตอกย้ำความที่มันเป็นรถแข่งเต็มตัว น่าเสียดายที่มันกลายเป็นรถตกรุ่นในชั่วเวลาข้ามคืนเพราะการยกเลิกกฏการแข่งขัน Group B อย่างกระทันหัน
อย่างไรก็ตามตอนที่การพัฒนา Evo ถูกระงับ มันกลับถูกใช้เป็นเพื่อพื้นฐานในการพัฒนารถสปอร์ตสำหรับท้องถนนแทนและสิ่งที่ได้คือสุดยอดสปอร์ตคาร์ที่คู่แข่งอย่าง Porsche 959 ที่แม้จะเต็มไปด้วยเทคโนโลยียังต้องยำเกรง
208 GTO อาจจะมีรูปร่างคล้ายคลึงกับ 308 ส่วน F40 ที่เปิดตัวในปี ค.ศ. 1987นั้นมันไม่เหมือน Ferrari รุ่นใดๆเลย และแม้จะเป็นเช่นนั้นแต่โครงแชสซีเหล็กแบบสเปสเฟรมที่ซ่อนอยู่ภายใต้บอดี้คาร์บอนไฟเบอร์ก็คล้ายกันกับ 288 อยู่ไม่น้อยขณะที่ 288 เป็นการบุกเบิกการใช้วัสดุคอมโพสิต F40นั้นเน้นการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เป็นหลักในเกือบทุกชิ้นส่วน
มีข้อถกเถียงว่า F40 ไม่สามารถทำความเร็วสูงสุดที่กล่าวอ้างไว้ได้คือ 201mph เพราะไม่ว่าในการทดสอบใด ๆ มันก็ไม่สามารถไปได้ถึง199mph เลยด้วยซ้ำยกเว้นเพียงครั้งเดียวคือครั้งที่มันถูกเทสโดยนิตยสาร Quattroruote แต่ทุกคนก็ยอมรับว่ามันเป็นรถที่เร็วที่สุดของยุคนั้นและมันยังสามารถเอาชนะ Porsche 959 ได้อีกด้วย ซึ่งนั่นก็ถือเป็นความสำเร็จขั้นนึงสำหรับFerrari
ได้เวลาทดสอบ F40 กันแล้ว ผมบิดกุญแจไปจนสุดจากนั้นจึงกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ V8 ก็เริ่มทำงานและส่งเสียงรอบเดินเบานุ่มนวลผ่านเข้ามาภายในตัวรถ แป้นครัชควบคุมง่ายแต่ค่อนข้างแข็งแม้ไม่แข็งเท่าที่ผมจำได้ ด้ามเกียร์ยาวพร้อมหัวเกียร์ชุมโครเมี่ยมทรงกลมขยับไป–มาอย่างง่ายดายผ่านแป้นเกียร์แบบเซาะร่อง(Gate type) ผมเริ่มขยับเกียร์เข้าหาตัว–เหยียบครัช–แล้วเข้าเกียร์หนึ่งแป้นคันเร่งกับเบรคที่อยู่ใกล้กันทำให้ผมต้องระวังเป็นอย่างมาเวลาเหยียบคันเร่งไม่เช่นนั้นด้านข้างของรองเท้าอาจจะไปโดนแป้นเบรคได้ ถ้าหากผมไม่ลืมเอารองเท้าขับรถมาก็คงไม่ต้องระวังมากเท่านี้
บอดี้ของ F40 กว้างกว่า GTO ค่อนข้างมาก แต่มันไม่เป็นปัญหาสำหรับผมซักเท่าไหร่ ส่วนพวงมาลัยแบบแรคแอนด์พิเนี่ยนที่ไม่มีระบบผ่อนแรงเหมือนใน GTO นั้นให้ความรู้สึกหนักในย่านความเร็วต่ำและดีขึ้นเมื่อวิ่งด้วยความเร็วเพิ่มขึ้น จริง ๆแล้วก็ไม่แปลกที่มันจะรู้สึกแบบนั้นเพราะมันทำงานร่วมกับยางมีหน้ากว้างถึง 245 มม
ผมเริ่มคุ้นเคยกับรถหลังจากที่ได้ขับไปสองสามรอบ นั่นหมายถึงว่านี่ถึงเวลาซิ่งแล้ว ผมเปลี่ยนเข้าเกียร์ 3 และกดคันเร่งจนมิด เสียงเครื่องยนต์ที่นุ่มนวลก็แผดเสียงตะโกนออกมาแล้วผมก็ถูกกระชากจนตัวติดเข้ากับเบาะอีกครั้ง ผมผ่อนคันเร่งเล็กน้อยแล้ว Short-shift เกียร์ขึ้นขณะวิ่งเข้าหาโค้งซ้ายที่ค่อนข้างแคบ จากนั้นก็ลดเกียร์ลงไปพร้อมกับการทำ Heel-And-Toe อย่างง่ายดายและสนุกสนาน เพราะแป้นเบรคและคันเร่งที่อยู่ใกล้กันนี้เหมือนจะออกแบบไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
สิ่งที่ผมประทับใจเกี่ยวกับ F40 คือความดิบเถื่อนของมันและมันก็เป็นรถที่ให้ความรู้สึกราวกับว่าเราเป็นส่วนหนึ่งกับตัวรถมากกว่า GTO แต่ในทางกลับกัน 288 GTO ก็เป็นรถที่ใช้งานได้ง่ายกว่าเพราะตัวรถที่แคบกว่าพอสมควรและระยะห่างจากพื้นที่สูงกว่า แถมมันก็ดู”จริงจัง”น้อยกว่า*2 แต่ในด้านการควบคุมรถแล้ว F40 ทำได้ดีกว่าถึงขนาดที่ว่า 9 ใน 10ครั้งที่คุณสูญเสียการควบคุมคุณจะสามารถนำรถกลับสู่การควบคุมได้แน่นอน แต่ถ้าเป็น GTO เพียงแค่ถนนเปียกเล็กน้อยและคุณทำรถเสียอาการคุณจะต้องเป็นคนที่เก่งมากและโชคดีมากจึงจะสามารถนำรถกลับมาได้ พวงมาลัยที่ตอบสนองไวจนน่ากลัวถูกชดเชยด้วยความกว้างฐานล้อที่กว้างกว่าและยางที่หน้าสัมผัสกว้างกว่า จากประสพการณ์ของผมมันความรู้สึกมั่นใจขณะขับขี่และแก้ไขข้อผิดพลาดได้ง่ายกว่า
10 ปีเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน ผมจึงลองทดสอบดูว่าจะยังจำความรู้สึกตอนออกตัวได้อยู่หรือไม่ เป็นไปอย่างที่คิดไว้ในช่วงต้นมันจะรู้สึกไม่เร็วมากจนกว่าเทอร์โบคู่ของมันจะทำงาน มันจะกระชากคุณไปจนถึงความเร็ว 60 mph ภานในเวลา 4 วินาที ขณะที่ยังอยู่ในเกียร์ 1 นั่นทำให้คุณแทบหยุดหายใจ เจ้า F40 มีอัตราเร่งที่ใกล้เคียง GTO แต่ทว่าหนักหน่วงกว่า
ทุกวันนี้เครื่องยนต์ที่มีเทอร์โบกำลังกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งโดยเฉพาะที่เฟอร์รารี่ที่ผลิต488 GTB และ Spider, California และ GTC 4 Lusso T ทั้งหมดใช้เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบไม่น่าแปลกใจที่488 จัดเป็นที่มีประสิทธิภาพสูงเพราะมันมีเครื่องยนต์ 3,902 ซีซี ที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง มันใช้เทอร์โบคู่แบบ Ball-bearing ที่มีโข่งหลังแบบสองช่อง (Twin-Scroll)ของ Honeywell ใบพัดอัดอากาศทำจากอัลลอยด์น้ำหนักเบาเหมือนที่ใช้ในเครื่องเจ็ทของเครื่องบินเพื่อที่จะลดแรงเฉื่อยและเพิ่มความทนทานต่ออุณหภูมิสูง ระบบเทอร์โบแปรผันและเทคโนโลยีควบคุมระบบน้ำมันและระบบจุดระเบิดด้วยคอมพิวเตอร์ที่ล้ำสมัย ทำให้ได้เครื่องยนต์ที่วิศวกรในยุค ’80 ได้แค่ฝันถึงเท่านั้นคือมีพละกำลังสูงแต่อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำ เครื่องยนต์ของ 488 มีแรงม้าสูงสุดเท่ากับ 661 แรงม้า ที่ 8,000 rpm และมีแรงบิด 561 ปอนด์–ฟุต ที่ 3,000rpm คิดเป็น 169 แรงม้าต่อความจุหนึ่งลิตร และ 144 ปอนด์–ฟุตต่อความจุหนึ่งลิตร ซึ่งนี่ถือเป็นสถิติสูงสุดของ Ferrariเลยทีเดียว 488 GTB มีอัตราเร่งจาก 0-60mph ต่ำกว่า 3 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 205mph แต่แม้มันจะเต็มไปด้วยพละกำลังที่มากมายมันก็ยังควบคุมง่ายและถ่ายทอดกำลังออกมาอย่างนุ่มนวลต่อเนื่องจนลืมไปเลยว่านี่คือเครื่องยนต์เทอร์โบ นั่นแตกต่างกันกับการถ่ายทอดกำลังของเครื่องยนต์เทอร์โบเมื่อ 30 ปีก่อนเป็นอย่างมาก
รถรุ่นใหม่ๆของ Ferrari นั้นควบคุมง่ายอย่างน่าอัศจรรย์และขับขี่ได้ดีมากนี่เป็นผลมาจากการมีระบบการควบคุมการถ่ายทอดกำลังและแรงบิดในช่วงเกียร์ต่ำที่ดี, มีระบบ Stability Control, ระบบTraction control และระบบควบคุมเฟืองท้ายไฟฟ้ารถยนต์เหล่านี้ถูกออกแบบเพื่อให้ผู้ขับได้ใช้ประสิทธิภาพของรถอย่างเต็มที่โดยไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียการควบคุมรถ ช่วงล่างก็ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นและสามารถเปลี่ยนโหมดการขับขี่เพียงแค่การกดปุ่มเท่านั้นแต่ความจริงแล้วคุณอาจเรียนรู้และพัฒนาการขับขี่ใน 488 ได้เร็วพอ ๆ กับใน F40
F40 เองก็มีผลิตแรงม้าได้สูงถึง 163 แรงม้าต่อความจุหนึ่งลิตร ซึ่งใกล้เคียงกับ 488 เลยทีเดียว แต่มันไม่มีระบบ Stability Control หรือระบบTraction control ใด ๆ นี่คือความแตกต่างของยุคสมัย คุณต้องรู้ว่าคุณกำลังเล่นอยู่กับอะไรอยู่เพราะถ้าไม่เช่นนั้นมันอาจทำอันตรายให้คุณได้
ลักษณะเด่นชัดที่สุดของF40 หรือ 288 GTO ก็คือพวกมันเป็น Ferrariเครื่องยนต์เทอร์โบและแม้ตัวเลขสเปกของพวกมันจะใกล้เคียงกับ 488 แต่มันคงไม่สามารถวิ่งได้เร็วเท่า แต่ทว่าพวกมันก็มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นตรงที่เวลาเทอร์โบคู่ของมันทำงานมันจะส่งกำลังมหาศาลดึงคุณจนหลังติดเบาะ ซึ่งนั่นเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม พวกมันทั้งคู่จึงยังคงเป็นรถที่น่าตื่นเต้นที่สุดและท้าทายให้ผู้ขับได้ปลดปล่อยอารมญ์ไปกับการขับขี่มันบนท้องถนน
F40
เครื่องยนต์ : V8 2,936 ซีซี เทอร์โบคู่ / กำลังสูงสุด : 478 แรงม้า ที่ 7,000 รอบต่อนาที / แรงบิดสูงสุด : 425 ปอนด์–ฟุต ที่ 4,000 รอบต่อนาที / ระบบส่งกำลัง : เกียร์ธรรมดา 5 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง มีลิมิเต็ทสลิป / ช่วงล่างหน้า–หลัง : ปีกนกคู่ โช้คอัพ สปริง เหล็กกันโคลง / เบรคหน้า–หลัง : ดิสเบรคแบบมีครีบระบายความร้อน ขนาด 330 มม. / ล้อ : หน้า 8×17นิ้ว หลัง 13×17นิ้ว / ยาง : หน้า 245/40ZR17 หลัง 335/45ZR17 / น้ำหนัก : 1,100 (ไม่รวมของเหลว) / แรงม้าต่อน้ำหนัก : 441แรงม้าต่อตัน / 0-60 mph : 4 วินาที / ความเร็วสูงสุด : 200 mph / ราคา : 193,000 ปอนด์ / ราคาซื้อ–ขายปัจุบัน : 1 ล้านปอนด์
288 GTO
เครื่องยนต์ : V8 2,855 ซีซี เทอร์โบคู่ / กำลังสูงสุด : 400 แรงม้า ที่ 7,000 รอบต่อนาที / แรงบิดสูงสุด : 366 ปอนด์–ฟุต ที่ 3,800 รอบต่อนาที / ระบบส่งกำลัง : เกียร์ธรรมดา 5 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง มีลิมิเต็ทสลิป / ช่วงล่างหน้า–หลัง : ปีกนกคู่ โช้คอัพ สปริง เหล็กกันโคลง / เบรคหน้า–หลัง : ดิสเบรคแบบมีครีบระบายความร้อน ขนาด 306 มม. / ล้อ : หน้า 8×16นิ้ว หลัง 10×16นิ้ว / ยาง : หน้า 225/50ZR16 หลัง 255/50ZR16 / น้ำหนัก : 1,161 (ไม่รวมของเหลว) / 0-60 mph : 4.8 วินาที(ตามสเปกโรงงาน) / ความเร็วสูงสุด : 189 mph (ตามสเปกโรงงาน) / ราคา : 72,999 ปอนด์ / ราคาซื้อ–ขายปัจุบัน : 2 ล้านปอนด์
[Note]
*1 : Gran Turismo Omologato (Italian) = Grand Tourer Homologated (English)
*2 :บทความภาษาอังกฤษใช้คำว่า less “obvious” น่าจะหมายถึงรูปร่างของ F40 ที่ค่อนข้างเหมือนรถแข่งมากกว่าที่จะเป็นวิ่งบนถนนด้วยเหตุผลนี้ 288 GTO ที่ดูเป็นรถถนนมากกว่าจึงให้ความรู้สึกที่ใช้งานได้ง่ายกว่า
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น