รถยนต์สองคันที่มีต้นกำเนิดจากประเทศเดียวกันผลิตออกจำหน่ายในปีที่ไล่เลี่ยกันโดยบริษัทที่มีเจ้าของเดียวกันและยังใช้เครื่องยนต์รุ่นเดียวกัน รถยนต์สองคันที่มีบุคลิก-ลักษณะและฟังก์ชันที่แตกต่างกันอย่างมาก แต่จริงๆจะมีรถรุ่นใดที่สามารถเปรียบเทียบกับ Lancia Stratos (แลนเซีย สตราตอส) ได้? อย่างน้อยในบรรดารถที่ผมเคยขับผมก็คิดว่าไม่มี Stratos ยังคงมีความอุกอาจและก้าวร้าวในทุกอณูเหมือนในวันวันที่มันปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1971 ที่ตูรินมอเตอร์โชว์ และผมคิดว่าถ้าหากว่ามันจะถูกเปิดตัวในปี ค.ศ. นี้มันก็ยังไม่ลดความน่าทึ่งหรือความล้ำสมัยลงแม้แต่น้อย
เป็นที่รู้กันดีว่า Stratos มีกิตติศัพท์ว่าเป็นรถที่มีการควบคุมรถ/แฮนด์ลิ่งที่เข้าใจยากแต่ถ้าหากตกอยู่ในมือของนักขับมืออาชีพมันจะเป็นรถที่ยอดเยี่ยม พิสูจน์ได้จากการที่มันเป็นแชมป์ในการแข่งขันแรลลี่โลกถึงสามสมัย (ในปี ค.ศ. 1974 – 1976) นั่นแปลว่าสำหรับมือสมัครเล่นอย่างผมเจ้า Lancia ร่างเตี้ย-ตัวเล็กคันนี้ค่อนข้างที่จะน่ากลัว โดยเฉพาะในวันที่เปียกชื้น ณ เมืองเซอร์เรย์แห่งนี้
แล้วความแตกต่างของผลงานที่ออกจะดูประณีตและละเอียดอ่อนกว่าแต่ก็มีเสน่ห์ยั่วยวนพอๆกันอย่าง Fiat Dino Coupe (เฟียต ดีโน่ คูเป้) ซึ่งเปิดตัวในปี ค.ศ. 1976 หล่ะ หากมองผ่านๆคุณจะไม่สามารถเดาได้เลยว่าพวกมันมีอะไรหลายอย่างเหมือนกัน แน่นอนการที่เราจับมาเปรียบเทียบกันนั้นเพราะมันมีขุมพลังขับเคลื่อนที่เป็นตำนานอย่างเครื่องยนต์ Ferrari V6 “Dino”
คุณอาจจะเคยได้อ่านผ่านตามาบ้างแล้วถึงเหตุผลที่เครื่องยนต์ตัวนึ้ถูกผลลิตสู่ท้องตลาด นั่นคือพวกเขาต้องทำตามกติกาการแข่งขันใหม่สำหรับเครื่องยนต์ V6 ของรถแข่งสูตร 2 (Formula 2) ซึ่งกติกาการแข่งขันใหม่ที่ว่านี้เริ่มมีผลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 กฎการแข่งขันระบุว่าเครื่องยนต์จะต้องมีพื้นฐานมาจากเครื่องยนต์ที่ผลิตขึ้นอย่างน้อยปีละ 500 เครื่อง ปริมาณการผลิตนี้มากเกินความต้องการของเฟอร์รารี่ แต่นี่เป็นเรื่องง่ายๆสำหรับบริษัทอย่างเฟียต แล้วแผนการที่จะผลิตรถยนต์เฟียตที่มีเครื่องยนต์ Dino จึงเกิดขึ้น ทั้งรูปแบบ Spider และ Coupe
อย่างที่รู้กันดีว่าเครื่องยนต์เดียวกันนี้ยังประจำการอยู่ในเฟอร์รารี่ Dino เริ่มต้นจากรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรใน Dino 206 GT และต่อมาก็เพิ่มความจุเครื่องยนต์ขึ้นเป็น 2.4 ลิตรเพื่อให้มีพละกำลังมากขึ้นสำหรับรถ 246 GT ภายหลังจากที่ 246GT หยุดการผลิต เฟอร์รารี่ได้ตกลงทำสัญญากับ Lancia ที่จะผลิตเครื่องยนต์ Dino 2.4 ลิตร 500 เครื่องสุดท้าย สำหรับ Stratos
Fiat Dino เริ่มต้นจากการใช้เครื่องยนต์เวอร์ชั่นที่ทำจากอัลลอยด์ทั้งตัวขนาดความจุ 2.0 ลิตร และรถของ Alex Jupe ก็เป็นตัวอย่างที่ดีของรถคูเป้รุ่นนี้ในยุคแรกๆของมัน Jupe เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับ Fiat Dino เขาไม่ได้แค่สนใจมันเพียงเพราะนี่คืองานแต่เขาหลงใหลมันเป็นการส่วนตัวด้วย พ่อของเป็นคนซื้อ Dino คันนี้มาและเขา (Jupe jr.) ก็มีความทรงจำมากมายกับการเดินทางไปในที่ต่างๆบนรถคันนี้กับพ่อของเขา เป็นช่วงเวลาหลายปีที่รถคันนี้ถูกจอดไว้เฉยๆในโรงรถของเขาก่อนที่เขาจะมีเวลาและเงินมากพอที่ชุบชีวิตมันกลับขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งเขาทำมันได้อย่างยอดเยี่ยมมาก เจ้า Dino ของเขากลับมาอยู่ในสภาพเดิมเหมือนครั้งเมื่อมันออกจากโรงงานมาใหม่ๆ
แรงม้าที่ทางโรงงานให้ไว้กับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเครื่องนี้คือ 160 แรงม้า ซึ่งตัวเลขนี้น้อยกว่า Dino ของเฟอร์รารี่ถึง 20 แรงม้า ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้เพราะเครื่องยนต์รุ่นนี้ถูกผลิตออกมาจากโรงงานของเฟียตที่ตูรินเหมือนกันและตอนที่ผลิตออกมาก็ไม่ได้มีการระบุว่าเครื่องตัวไหนใช้สำหรับรถอะไร แทบจะเรียกได้ว่าพวกมันถูกสุ่มหยิบมาใช้ คำอธิบายที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือเฟอร์รารี่กับเฟียตใช้ตัวเลขแรงม้าจากการวัดค่าคนล่ะแบบ (ระหว่าง Gross horsepower กับ SAE Horsepower) ซึ่งอาจมีเหตุผลมาจากการที่เฟอร์รารี่ไม่อยากให้รถของพวกเขามีแรงม้าเท่ากับเฟียต
Fiat Dino กับ Stratos ยังมีอกอย่างที่เหมือนกันคือพวกมันถูกออกแบบขึ้นที่ Bertone (ยกเว้น Fiat รุ่น Spider ที่ถูกออกแบบโดย Pininfarina) Fiat Dino ออกแบบโดย Giorgetto Giugiaro ส่วน Stratos ออกแบบโดย Marcello Gandini ผู้สืบทอดของเขาที่ Bertone ซึ่งเป็นคนออกแบบ Lamborghini Countach ที่ออกมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
แม้ Countach ดูจะก้าวร้าวดุดันแต่สำหรับผมแล้ว Stratos สุดยอกกว่ามากและผมคงปฏิเสธไม่ได้ว่า Stratos เป็นรถที่ผมอยากขับมากกว่า ผมรออย่างใจจดใจจ่อที่จะได้ขับมันเป็นระยะเวลานานกว่า 40 ปี ผมเฝ้ามองมันผ่านหนังสือและนิตยสาร รวมไปถึงตามงานมอเตอร์โชว์ต่างๆ และที่เจ็บปวดไปกว่านั้นคือเจ้านายเก่าของผมที่นิตยสาร Car เป็นเจ้าของ Stratos สีแดงอยู่คันหนึ่ง ผมไม่เคยมีปัญหาหรือฉุดคิดแม้สักครั้งเวลาที่ขอเงินเดือนขึ้น แต่ผมไม่กล้าที่จะขอยืม Lancia คันนี้ที่เค้าหวงแหน แต่ว่าวันนี้ก็มาถึงวันที่ผมมีโอกาสที่จะได้ขับมัน
Stratos คันนี้เพิ่งได้รับการชุบชีวิตขึ้นมาใหม่จาก DK Engineering และมันก็สมบูรณ์แบบมาก ผมพินิจพิจารณามันอยู่ครู่ใหญ่ ห้องโดยสารแบบ Monocoque ทำขึ้นจากเหล็ก บานประตูและส่วนหน้าและหลังของรถทำจากไฟเบอร์กลาสแบบที่มีน้ำหนักเบาพิเศษ ฝากระโปรงหน้าและหลังเป็นแบบชิ้นใหญ่ มีคลิปล๊อคอยู่ด้านข้างตัวรถทั้งสองด้าน พอยกฝากระโปรงหลังทั้งชิ้นเปิดออกไปทางด้านหลัง ก็จะมองเห็นเครื่องยนต์ V6 2.4ลิตรที่ยึดอยู่กับซับเฟรม นอกจากกรองอากาศที่แตกต่างกันแล้ว เครื่อง Dino ที่อยู่ใน Lancia ก็เหมือนกันกับที่อยู่ใน Fiat จะต่างกันก็แค่สีของฝาครอบวาล์วเท่านั้น ที่ใน Fiat ทำเป็นสีดำ แม้ว่าความยาวฐานล้อและความกว้างฐานล้อของ Stratos จะไม่มากแต่ก็วิศวกรก็ออกแบบให้มีพื้นที่มากพอสำหรับยางเส้นใหญ่ นั่นส่งผลให้ด้านหลังของรถยกสูงขึ้น
ภานในห้องโดยสารนั้นดูราวกับเป็นรถแข่ง รถคันที่เราได้มาวันนี้ปูพรมสีแดงและมีเบาะหนังสีน้ำเงิน เมื่อถูกจับมารวมกับภายนอกสีเหลืองอร่ามแล้วช่างดูเป็นการผสมผสานที่น่าสนใจ แน่นอนว่า Stratos คันนี้เป็นรถพวงมาลัยซ้ายแต่ด้วยการวางตำแหน่งพวงมาลัยที่ค่อนข้างจะเอียงเข้ามากลางตัวรถมันจึงไม่ทำให้ไม่รู้สึกแตกต่างมาก ชุดแป้นเหยียบเองก็ไม่ได้วางไว้ตรงกลางแต่กลับเอียงไปทางด้านหนึ่ง แต่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับรถเครื่องวางกลางขับหลังที่มาจากอิตาลี่ในช่วงทศวรรต 1970s รถอย่าง De Tomas Pantera นั้นชุดคันเร่งก็เอียงไปทางกลางตัวรถแทบที่จะเข้าไปฝั่งคนนั่งเลยทีเดียว
ความประทับใจครั้งแรกของคุณเมื่อเข้าไปนั่งอยู่ภายใน Lancia คือมุมมองด้านหน้าที่เยี่ยมยอด แม้ว่ามันจะมีเสา A ที่บางเฉียบแต่การที่มันมีมุมมองที่ดีมากนั้นเป็นผลมาจากรูปทรงของกระจกหน้ารถที่ยอดเยี่ยม มันเกือบจะเป็นเหมือนการผ่าชิ้นกรวยตามแนวยาว ที่ปัดน้ำฝนแบบชิ้นเดียวทำงานได้ไม่ดีนัด แต่รูปลักษณ์ของกระจกหน้าช่วยให้อากาศไหลผ่านกวาดหยดละอองน้ำออกได้ดีในขณะที่รถมีความเร็วสูง มุมมองด้านหลังของรถไม่ค่อยดีนักจริงๆแล้วมันแย่มาก การขับรถ Stratos บนมอเตอร์เวย์นั้นค่อนข้างจะน่ากลัวเล็กน้อย
สิ่งอำนวยความสะดวกในรถมีไม่กี่อย่าง มันมีฮีตเตอร์ที่มาพร้อมลูกบิดปรับความร้อนและตัวเลื่อนซึ่งหน้าตาเหมือนของ Fiat ในยุค 70s อย่างเช่น X1/9, 124 และ 127 รวมไปถึง Lancia Beta กระจกข้างลดลงด้วยกลไกแบบกรรไกรเมื่อคุณหมุนลูกบิด มันเป็นแบบเดียวกับที่ใช้ใน Fiat Dino นั่นหมายความว่ามันจะต้องมาจากคลังอะไหล่ของ Fiat อย่างแน่นอน หน้าต่างไม่ได้ลดหายลงไปในประตูทั้งหมด มันแค่ลดลงให้เพียงพอสำหรับการระบายอากาศและการจ่ายเงินค่าผ่านทางต่างๆเท่านั้น หรือไม่ก็สำหรับการเช็คบัตรเส้นทางในการแข่งแรลลี่ แผงด้านในประตูใหญ่จนแทบจะเป็นอ่างอาบน้ำได้ มันกว้างพอสำหรับการวางหมวกกันน๊อคของทีมแรลลี่ไว้ได้ในช่วงถนนระหว่งสเตจการแข่งขันได้เลย
ผมพยายามที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ของเจ้า Stratos แต่ว่ามันจะต้องอาศัยเทคนิคเล็กน้อย ผมจึงรออีกครึ่งนาทีแล้วเหยียบคันเร่งสองสามครั้งแล้วลองสตาร์ทดูอีกครั้ง คราวนี้เครื่อง V6 เริ่มทำงาน เสียงมันช่างหนักแน่นและราวกับว่ามันอยู่ใกล้กับหลังของคุณ ซึ่งจริงๆแล้วมันอยู่แทบจะติดหลังเบาะเลย การให้ความเคารพกับเครื่องยนต์ที่โอเวอร์ฮอลมาใหม่หมายถึงนั่งอยู่ในรถและทำให้เครื่องยนต์ทำงานในรอบเดินเบาที่สูงซักหน่อยเพื่อให้น้ำมันหล่อลื่นมีอุณหภูมิอุ่นขึ้น เกียร์ที่ให้มานั้นเป็นเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ที่เหมือนใน 246 GT Dino ซึ่งเป็นเกียร์รุ่นสุดท้ายจากสามรุ่นที่ประจำการอยู่ใน Ferrari รุ่นเล็กในช่วงอายุของพวกมัน คันเกียร์เชื่อมต่อไปที่เกียร์ด้วยเส้นทางที่วกวนทำให้การใส่เกียร์ไม่ค่อยไม่แม่นยำ โชคดีที่ Stratos มีแรงบิดมากและน้ำหนักรถเบา นั่นหมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเกียร์ขึ้นและลงบ่อยๆเพื่อรักษาแรงดึงของมันเอาไว้
ด้วยพื้นผิวที่เปียกชุ่มและใบไม้ที่กระจัดกระจายไปทั่ว การเตือนสติตัวเองอยู่ตลอดเวลาเป็นเรื่องจำเป็น ยิ่งเจ้า Stratos มีชื่อเสียงในด้านพวงมาลัยที่ไวและเซ้นซิทีฟเป็นพิเศษ ซึ่งเรามักจะเรียกรถแบบนี้ว่า “มันเหมือนกับรถโกคาร์ท” (Kart-like) แต่น่าเสียดายที่พวงมาลัยใน Stratos ของเราคันนี้ค่อนข้างฝืด ไม่เพียงแต่พวงมาลัยไม่คืนตัวอย่างถูกต้อง แต่ปฏิกิริยาจากพื้นถนนที่น่าจะได้รับก็หายไปด้วย ไม่ต้องสงสัยว่าหากมีรู้สึกซักหน่อยสักหน่อยการขับขี่ก็จะง่ายขึ้นมาก เป็นที่น่าเสียดายเพราะนั่นเป็นประเด็นสำคัญในการขับขี่รถคันนี้ และการสูญเสียความรู้สึกนั้นทำให้การขับขี่ Stratos ยุ่งยากมากขึ้น หากลองพูดคุยกับเจ้าของ Stratos พวกเขาจะบอกคุณว่าชื่อเสียงของ Lancia เครื่องวางกลางที่ที่ว่าขับยากนั้นเป็นการพูดเกินจริงและตราบเท่าที่คุณระมัดระวังมันจะเป็นรถที่ยอดเยี่ยมในการขับขี่และคาดเดาได้
น้ำหนักรถของ Stradale (ชื่อรถถนนของ Stratos) อยู่ที่ประมาณ 980 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าเบาแม้ตามมาตรฐานรถยนต์ในปัจจุบัน มันเบาเพียงพอที่เครื่องยนต์ 190 bhp จะทำให้ Lancia มีอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม และเนื่องจากคุณมีเสียงเครื่องยนต์บรรเลงอยู่ด้านหลังเบาะทำให้รู้สึกว่ารถเร็วกว่าตัวเลขที่ขึ้นบนหน้าปัทม์ เจ้านายเก่าของผม Ian Fraser ซื้อ Stratos จากตัวแทนจำหน่ายในเยอรมันเมื่อปี ค.ศ. 1979 และขับรถกลับบ้านในสภาพอากาศเลวร้าย เขาบอกว่ามันดีจนน่าแปลกใจบนทางด่วนเสียง ไม่ดังเกินไป และนอกเหนือจากอาการเซเล็กน้อยจากการที่ถูกลมพัดปะทะด้านข้างแล้ว มันก็เป็นรถที่ขับระยะทางไกลได้ดี แต่มันก็ไม่ใช่รถที่คุณจะคุ้นเคยได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง
แล้ว Fiat Dino ของ Alex Jupe จะรู้สึกอย่างไรหลังจากก้าวออกจาก Stratos ที่ค่อนข้างแหกคอกแบบนั้น แน่นอนว่าเป็นไปตามการคาดการณ์มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง รูปร่างของมันทำให้ผมนึกถึง Iso Grifo ที่เล็กลงมา 10% นี่ไม่น่าแปลกใจเพราะทั้ง Dino และ Grifo ได้รับการออกแบบโดย Giugiaro ในขณะที่เขาทำงานอยู่ที่ Bertone ในทศวรรษที่ 1960s มันเป็นรถที่สง่างามและเป็นรถสี่ที่นั่งที่พอเหมาะพอดีอีกด้วย “มันเพอร์เฟค” Jupe กล่าว “มันเหมาะสำหรับการพาลูกๆ ของเราไปไหนมาไหน”
Jupe ชอบใช้รถของเขาและเขาเคยพา Dino กลับ ”บ้าน” ที่อิตาลี นี่ดูเหมือนเป็นการเดินทางที่น่าทึ่ง เขาบอกว่า “มันวิ่งได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถทำความเร็ว 110 ไมล์ต่อชั่วโมงบนมอเตอร์เวย์ได้อย่างสบายๆ”
ไม่เพียงแค่เครื่องยนต์ของ Dino ขนาด 2 ลิตรขนาดเล็กมีแรงม้าน้อยกว่าเครื่อง 2.4 ลิตร แรงบิดก็น้อยกว่ามาก “คุณต้องเร่งเครื่องยนต์ขึ้นไปที่รอบสูงเพื่อให้รถวิ่งออกไปได้ดี” Jupe อธิบาย “คุณต้องไม่กลัวที่จะทำเช่นนั้น” “แล้วคุณจะพบว่าถ้าเร่งเครื่องไม่ถึง 4000 rpm มันจะวิ่งไม่ค่อยออกเท่าไหร่ แต่มันก็จะมีแรงดึงต่อไปจนถึง 6000 rpm”
มุมมองออกไปนอกรถน่าประทับใจแม้จะไม่เหมือนใน Stratos แต่ก็ให้มุมมองกว้างแบบ 360 องศา ที่น่าแปลกใจคือการตกแต่งภายในที่หรูหรา ผมคาดหวังว่ามันจะ “มีความเป็น Fiat” มากกว่านี้ น่าแปลกที่รุ่น Spider มีการตกแต่งภายในด้วยวัสดุพลาสติกมากและใช้หนังหรือผ้าน้อยเมื่อเทียบกับรุ่น Coupé รถของ Jupe มีหนังหุ้มแผงหน้าปัดที่เย็บอย่างสวยงามและพรมคุณภาพสูงและรวมไปถึงทริมต่างๆภายในด้วย Fiat ไม่ได้นำเข้า Dino เข้ามาในสหราชอาณาจักร นั่นอาจเป็นเพราะว่ารถรุ่นนี้ผลิตขึ้นเฉพาะแบบพวงมาลัยซ้ายเท่านั้น ถ้าคุณต้องการที่จะซื้อสักคันคุณจะต้องติดต่อ Lincoln Small ที่ Radbourne Racing ในกรุงลอนดอนซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายของ Fiat และ Abarth ในเวลานั้น คุณต้องพกเงินมามากกว่าที่จะซื้อ Jaguar type E ซะอีกเพื่อที่จะซื้อ Fiat รุ่นนี้กลับไป
อย่างที่ Jupe บอกว่าคุณจะต้องเร่งเครื่อง V6 ขนาดเล็กนี้ค่อนข้างสูง แน่นอนว่าเครื่องยนต์รุ่นนี้ยังมีแรงขับเคลื่อนต่ำกว่าและ Fiat ก็หนักกว่า Lancia ประมาณ 300 กิโลกรัม มันให้ความรู้สึกแตกต่างกันไปหมดทุกด้าน เสียงของเครื่องยนต์ไพเราะมาก โดยเฉพาะเมื่อคุณเร่งผ่านรอบ 5000 rpm ไปแล้ว มันให้ความรู้สึกว่าเครื่องมีขนาดใหญ่กว่า 2 ลิตร เกียร์ธรรมดา 5 สปีดทำงานนุ่มนวลและไม่ติดขัด ตามความเห็นของ Jupe มันดีกว่าเกียร์รุ่นหลังจากนี้ที่ใช้กับเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร

Fiat Dino 2400 เป็นรถรุ่นต่อมา มันมีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่กว่าและเกียร์คนละรุ่น และมันยังมีช่วงล่างหลังแบบอิสระที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจากการเซ็ทอัพรถ Fiat 130 coupe รถของ Jupe มีช่วงล่างหลังแบบคานแข็งพร้อมเพลาขับ (Live rear axle) และโช้คสี่ต้น(ข้างละสองต้น) แน่นอนว่ามีข้อถกเถียงที่ค่อนข้างไร้สาระถึงช่วงล่างแบบคานแข็งอยู่บ้าง แต่ดูอย่างเฟอร์รารี 250 GT SWB ที่มีคานแข็งแบบนี้ที่ใช้งานได้ดีและรถก็มีแฮนด์ลิ่งที่ดี “หากคุณอยู่บนพื้นผิวถนนที่ไม่ดีคุณจะรู้สึกว่าช่วงล่างหลังแบบอิสระรับการกระแทกได้ดีกว่าทำให้นั่งสบายกว่า” Jupe กล่าว “แต่บนถนนส่วนใหญ่คานแข็งแบบนี้ก็ใช้งานได้ดี”

แน่นอนว่าไม่มีคำร้องเรียนใดๆบนถนนเหล่านี้ การใช้พวงมาลัยแบบไม่มีพาวเวอร์ชนิด worm-and-roller จะรู้สึกหนักในช่วงความเร็วต่ำและไม่แม่นยำเท่าระบบสมัยใหม่ แต่น้ำหนักพวงมาลัยจะเพิ่มขึ้นอย่างพอดีเมื่ออยู่ในความเร็ว แน่นอนนี่คือรถ Gran Turismo ไม่ใช่รถสปอร์ตและคุณควรจะขับมันอย่างที่ควร สำหรับผมมันค่อนข้างน่าสนใจที่จะจินตนาการว่าใครจะซื้อรถคันนี้ตอนที่มันเริ่มออกจำหน่าย แน่นอนใครบางคนที่มีความรักในรูปร่างหน้าตาของมันหรืออาจเป็นคนที่ให้ความสนใจและชื่นชอบรถยนต์ที่มีน้ำหนักเบาและเหมือนอัญมณีมากกว่ารถ GTs ที่หนักกว่า อย่างเช่นรถร่วมสมัย Aston Martin DB6
Lancia มีปัญหาในการขาย Stratos เพราะช่วงเวลาที่เปิดตัวไม่ดีนัก มันเข้าโชว์รูมในช่วงวิกฤติพลังงานปี ค.ศ. 1973 เช่นเดียวกับ Fiat Dino ไม่เคยมีการนำเข้าอย่างเป็นทางการไปยังฝั่งอังกฤษ พวกมันถูกจดทะเบียนสำหรับการขายเฉพาะในอิตาลี เบลเยียมและเยอรมนีตะวันตก รถคันสุดท้ายที่ถูกผลิตขึ้นในปี ค.ศ. 1975 แต่พวกเขาใช้เวลาหลายปีกว่าจะขายมันได้ เป็นผลให้ Stratos คันนั้นคงสภาพเป็นรถใหม่ของ Lancia จนถึง ค.ศ. 1980
แล้วลูกค้าที่ซื้อ Stratos หล่ะ? น่าจะเป็นคนที่ได้เห็นนักแข่งอย่าง Sandro Munari ที่ขับรถแข่งแรลลี่ Stratos ผ่านถนนกรวดและป่า แล้วก็ต้องการที่จะซื้อรถที่สเป็กใกล้เคียงกับรถแรลลี่เหล่านั้น รถแรลลี่พวกนั้นใช้เครื่องยนต์ Dino 24 วาล์ว ที่มีแรงม้าสูงถึง 320 แรงม้า Stratos นั้นยังคงชนะการแข่งขันจนเข้าสู่ยุค 80 ด้วยตำแหน่งแชมป์โลกรอบสุดท้ายที่ Rallye de Corse ในปี ค.ศ. 1981
รถสองคันที่แตกต่างกันมากที่เชื่อมโยงกันโดยเครื่องยนต์ Dino V6 แตกต่างกันทั้งประสิทธิภาพและสมรรถนะการขับขี่ แต่ก็มีสเน่ห์พอๆกัน ทั้งคู่ยังเปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์ประจำตัว พวกมันเป็นผลงานออกแบบจาก Bertone สตูดิโอและแต่ละคันก็มาจากปากกาของนักออกแบบสองคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล วันนี้ช่างเป็นวันที่ยอดเยี่ยมของผม
[spec: Fiat Dino Coupe]
เครื่องยนต์ : V6, 1987 ซีซี / กำลังสูงสุด : 160 แรงม้า ที่ 7,200 รอบต่อนาที / แรงบิดสูงสุด : 120 ปอนด์-ฟุต ที่ 6,000 รอบต่อนาที / ระบบส่งกำลัง : เกียร์ธรรมดา 5 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง ลิมิเต็ทสลิปดริฟเฟอร์เรนเชี่ยล / ระบบช่วงล่างหน้า : ปีกนกคู่ โช้คอัพ สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง / ระบบช่วงล่างหลัง : คานแข็ง แหนบสปริงแบบ Semi-Elliptic (ครึ่งวงรี) โช้คอัพข้างละ 1 คู่ / ระบบบังคับเลี้ยว : เวิร์มแอนด์โรลเลอร์ / เบรคหน้า-หลัง : ดิสเบรค / ล้อ : อลูมิเนียม อัลลอยด์ 14 นิ้ว / ยาง : 185HR14 / น้ำหนัก : 1,270 / แรงม้าต่อน้ำหนัก : 128 แรงม้าต่อตัน / 0-60 mph : 8.0 วินาที (ตามสเปกโรงงาน) / ความเร็วสูงสุด : 124 mph (ตามสเปกโรงงาน) / ราคาเปิดตัว : 3,493 ปอนด์ (เทียบเท่ากับ 55,000 ปอนด์ในปัจจุบัน) / ราคาซื้อ-ขายปัจุบัน : 35,000 – 45,000 ปอนด์
[spec: Lancia Stratos]
เครื่องยนต์ : V6, 2418 ซีซี / กำลังสูงสุด : 190 แรงม้า ที่ 7,600 รอบต่อนาที / แรงบิดสูงสุด : 166 ปอนด์-ฟุต ที่ 5,500 รอบต่อนาที / ระบบส่งกำลัง : เกียร์ธรรมดา 5 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง ลิมิเต็ทสลิปดริฟเฟอร์เรนเชี่ยล / ระบบช่วงล่างหน้า : ปีกนกคู่ โช้คอัพ สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง / ระบบช่วงล่างหลัง : แม็คเฟอร์สัน สตรัท / ระบบบังคับเลี้ยว : แร็คแอนด์พิเนี่ยน / เบรคหน้า-หลัง : ดิสเบรคแบบมีช่องระบายอากาศ / ล้อ : อลูมิเนียม อัลลอยด์ 14 นิ้ว / ยาง : 205/70 VR14 / น้ำหนัก : 980 / แรงม้าต่อน้ำหนัก : 197 แรงม้าต่อตัน / 0-60 mph : 6.7 วินาที (ตามสเปกโรงงาน) / ความเร็วสูงสุด : 144 mph (ตามสเปกโรงงาน) / ราคาเปิดตัว : 7,000 ปอนด์ (เทียบเท่ากับ 80,000 ปอนด์ในปัจจุบัน) / ราคาซื้อ-ขายปัจุบัน : 350,000+ ปอนด์
–
Translated : Chaiyapongse (Peace) Limpanonda
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น